ตอนที่ 653 เหยียบประตูใหญ่ตระกูลหลินแห่งธารประจิม โดย ProjectZyphon
“อะไรนะ! คืนนี้ท่าน… จะไปร่วมงานเลี้ยงตระกูลหลินแห่งธารประจิม?”
หลินไหวหย่วนใจสั่นสะท้าน รีบห้ามปราม “ผู้นำตระกูล ไม่ได้เด็ดขาด คืนนี้ตระกูลหลินแห่งธารประจิมรวมตัวคนใหญ่คนโตของสามตระกูลรอง เรียกได้ว่าเป็นถ้ำพยัคฆ์วังมังกร ท่านเพิ่งจะกลับมานครต้องห้าม ยังไม่รู้สถานการณ์ภายในชัดเจน จะไปเสี่ยงด้วยตัวเองได้อย่างไร”
หลินจงเองก็กล่าวว่า “นายน้อย เรื่องนี้ควรคิดการณ์ไกลให้รอบคอบ”
กลับเห็นหลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าวราบเรียบ “คนใหญ่คนโตสามตระกูลล้วนรวมตัวพร้อมกันหรือ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องไปคิดบัญชีพวกมันทีละคน!”
น้ำเสียงเจือไอสังหารเย็นยะเยียบ
ปีแรกที่เข้าสู่นครต้องห้าม เขาเคยรับปากต่อหน้าธารกำนัล ให้โอกาสสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุพิจารณาครั้งหนึ่งโดยกำหนดเวลาสามปี ภายในสามปีนี้จะไม่ลงมือกับพวกเขา
เดิมทีหลินสวินคิดว่าเงื่อนไขที่ตนเสนอให้ถือว่ายอมถอยและใจกว้างมากพอแล้ว แต่บัดนี้ผ่านไปสามปี อีกฝ่ายได้เริ่มวางแผนช่วงชิงอำนาจในภูเขาชำระจิต นี่แสดงออกชัดเจนว่าพวกเขาตัดสินใจแล้วโดยมิต้องสงสัย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินสวินไหนเลยจะสามารถอดทนต่อไปอีก
หลินไหวหย่วนกล่าวลังเล “ผู้นำตระกูล ใช่ว่าข้าปากมาก เพียงแต่ท่านน่าจะทราบดี เบื้องหลังสามตระกูลนั่น… ยังมีขุมอำนาจสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน…”
ไม่รอให้พูดจบ หลินสวินก็เอ่ยเสียงเยาะหยัน “ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอะไร ก็แค่ยิ่งใหญ่คับแผ่นดินนครต้องห้ามเล็กๆ นี้เท่านั้น”
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้า รอเมื่อข้าเหยียบประตูใหญ่ของตระกูลหลินแห่งธารประจิม ดูซิว่าพวกเขายังจะทำอะไรข้าได้! หากพวกเขาไม่ให้คำอธิบายที่น่าพึงใจแก่ข้า ก็อย่าหาว่าข้าขจัดญาติผดุงความเป็นธรรมเลย!”
แม้น้ำเสียงหลินสวินจะเป็นปกติ แต่พวกหลินไหวหย่วน หลินจง เสี่ยวเคอกลับฟังออกถึงความอาจหาญเหยียดหยันใต้หล้าจากปากเขา
สองตระกูลจั่ว ฉินซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลแห่งจักรวรรดิ เวลานี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาหลินสวิน แค่จุดนี้ก็น่าอัศจรรย์แล้ว
แต่นี่ก็เป็นความจริง หากสุ่มเลือกเผ่าใดเผ่าหนึ่งในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณออกมา ล้วนเพียงพอที่จะบดขยี้อำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงใดๆ ก็ได้ตระกูลหนึ่งอย่างสบายๆ และในตอนนั้นหลินสวินยังสังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่าเยี่ยวหดตดหาย แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏล้วนไม่อาจทำอะไรเขาได้
ดังนั้นต่อให้สองตระกูลจั่วและฉินแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จะแกร่งกว่าขุมอำนาจพวกนั้นได้หรือ
กล่าวได้ว่าผ่านประสบการณ์ในทะเลกลืนวิญญาณครั้งนี้ ทำหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์จริงๆ
เขาก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังอ่อนแอกระจ้อยร่อย ได้แต่อาศัยกลวิธีบางอย่างมาป้องกันตนเองขณะเผชิญหน้าความอัปยศอดสู การโจมตีและการแก้แค้น ที่ควรอดกลั้นก็ได้แต่อดทน
เขาในเวลานั้นไม่ว่าจะเสียใจ ผิดหวังหรือเป็นทุกข์ มุมปากยังคงแขวนประดับรอยยิ้มสดใสอำพรางความรู้สึกภายในใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองกระอักกระอ่วนเกินไป
แต่หลินสวินในตอนนี้ผ่านการเคี่ยวกรำอันตรายนานัปการ หลังก้าวสู่มรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง มุมมองและวิสัยทัศน์ได้ต่างไปจากอดีตที่ผ่านโดยสมบูรณ์!
นครต้องห้ามก่อนหน้านี้ แต่ละตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงประดุจสิ่งใหญ่โตมหึมา ทำเอาหลินสวินล้วนไม่กล้าแข็งขืนปะทะอย่างจริงจัง
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่หวั่นเกรงอะไรแล้ว
‘นายน้อยเปลี่ยนไปแล้ว เสมือนดั่งคนใหญ่คนโตที่แท้จริง สายตากว้างขวาง หยิ่งทระนงไม่แยแส ราวกับกระบี่วิเศษที่ผ่านพันค้อนร้อยหลอม และเผยความคมกริบไร้เทียมทานแก่โลกหล้าในยามนี้!’
หลินจงใจลอย ตั้งแต่วันแรกที่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม กระทั่งปัจจุบันก็ผ่านไปประมาณสามปี
ในสามปีหลินจงแทบจะมองดูว่าหลินสวินผงาดขึ้นทีละก้าวอย่างไร ทั้งเปลี่ยนเป็นทรงพลังยิ่งขึ้นทีละก้าวเช่นไร
มาบัดนี้ บางทีหลินสวินอาจเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่ง แต่ประสบการณ์และความจัดเจนของเขา พลังที่สามารถควบคุมได้ ล้วนเพียงพอที่จะเรียกอย่างภาคภูมิว่า ‘มหายุทธ์’! เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่แท้จริงคนหนึ่ง สามารถเหยียดหยันคนในระดับขอบเขตเดียวกัน อหังการทะนงตัว!
อย่างน้อยที่สุดในนครต้องห้ามตอนนี้ หลินสวินเหนือกว่าคนวัยเดียวกันอยู่โข ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตบางส่วน ก็เกรงว่ายังยากจะมีชัยได้
“ที่นายท่านกล่าวมาทั้งหมดคือที่สุด การฝึกปราณของพวกเรา จิตใจเปรียบดั่งเหล็ก อิทธิพลที่เรียกทั้งหมด ไม่ว่าจะเงินทองและความมั่งคั่ง ท้ายที่สุดล้วนแต่ว่างเปล่า มีเพียงพลังแห่งตนซึ่งยึดกุมไว้มั่น จึงจะเป็นรากฐานแห่งความยิ่งใหญ่นิรันดร์อย่างแท้จริง!”
ราชันอินทรีแดงที่อยู่อีกฟากกล่าวชื่นชม “ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านสู้ศึกในทะเลกลืนวิญญาณนานครึ่งปีด้วยตัวคนเดียว สังหารจนวีรชนคนกล้าแต่ละเผ่าถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี ราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งไม่อาจทำอะไรได้ พลังเช่นนี้มีหรือจะให้พวกมีอิทธิพลทางโลกพวกนั้นมาสบประมาทและดูหมิ่นได้”
พูดถึงตรงนี้ มหายุทธ์ชั้นยอดในหมู่อสูรมารบำเพ็ญตนนี้ถึงกับตื่นเต้นไม่หยุด กล่าวเสียงมีพลังกึกก้อง “สมัยบรรพกาล อัครบุคคลผู้หนึ่งเพียงขยับมือก็สามารถทำลายล้างผืนพิภพฟากหนึ่งได้ แค่ดีดนิ้วสามารถทำให้สุริยันจันทราจมดิ่ง สิ่งที่พึ่งพาล้วนเป็นพลังแห่งตน! ส่วนอิทธิพล ความมั่งคั่งและฐานะพวกนั้น สำหรับพวกเราก็แค่เพียงม่านหมอกผ่านตาเท่านั้น”
คำพูดพวกนี้ทำเอาหลินสวินเองยังอดประหลาดใจไม่ได้ ราชันอินทรีแดงครอบครองพลังปราณสูงสุดในระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ไม่ธรรมดาจริงๆ ดังคาด อย่างน้อยที่สุดในด้านมุมมองความรู้ความเข้าใจก็เหนือธรรมดา
พวกหลินไหวหย่วน หลินจงต่างเงียบงัน พวกเขาล้วนตระหนักได้ว่า หลังหายไปครึ่งปี หลินสวินต่างจากที่ผ่านโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว
“ผู้นำตระกูล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปเยือนพร้อมกับท่าน!”
หลินไหวหย่วนสูดหายใจลึก อาสาต้านศึกด้วยตนเอง
“นายน้อย พาข้าไปด้วยเถอะ”
หลินจงเองก็มองไปยังหลินสวิน
เห็นว่าเสี่ยวเคอเองหมายเอ่ยปาก หลินสวินกล่าวในบัดดล “ไม่จำเป็น ราชันอินทรีแดงไปกับข้าก็เพียงพอแล้ว คนไปมากกลับทำให้พวกเขาดูถูกข้าหลินสวิน!”
อันที่จริงหลินสวินตัดสินใจเช่นนี้ เพราะกังวลว่าหากหลินไหวหย่วนและหลินจงไปด้วยแล้ว จะไม่อาจฝืนทนเห็นการนองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างน่าสังเวชได้ และเอ่ยปากห้ามปรามเขา
ถึงอย่างไรสำหรับผู้อาวุโสเช่นพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ ก็ยังมีสายเลือดตระกูลหลินไหลเวียน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทนเห็นเหตุการณ์น่าอนาถฆ่าฟันกันเองจำพวกนี้เกิดขึ้น
แต่หลินสวินกลับจำเป็นต้องทำเช่นนี้!
ภัยแฝงนี้เสมือนเนื้อร้าย หากไม่ขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก วันหน้าจะต้องปะทุภัยพิบัตินานัปการไม่อาจคาดเดา
หลังจากนั้นหลินสวินยังถามถึงท่านปู่ห้าหลินเป่ยกวง หรือก็คือบิดาของหลินไหวหย่วน
จากนั้นเขาจึงได้รู้ว่าที่แท้หลินเป่ยกวงออกเดินทางไกลไปแล้ว และนานมากแล้วที่ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมา
…
เย็นย่ำ ยามสายัณห์มาเยือน
ณ ตระกูลหลินแห่งธารประจิม โถงใหญ่ของตระกูลแสงโคมสุกสว่างเรืองรอง บุคคลสำคัญชั้นแนวหน้าของสามตระกูลรอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุมารวมตัวกัน ร่ำสุราพูดคุยสัพเพเหระอย่างปราศจากกังวล รื่นเริงสนุกสนาน แต่ละคนสบายอกสบายใจ ความรู้สึกปิติยินดีสุดจะบรรยาย
“ทุกท่าน ครึ่งปีก่อนพวกเรากระสับกระส่ายหวาดผวา ถูกเจ้าลูกหมาหลินสวินนั่นบีบถึงขั้นยากแค้น เกือบตกต่ำดั่งสุนัขไร้เจ้าของ ตอนนี้พวกเราผงาดขึ้นใหม่ ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จวนเจียนจะได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานบนภูเขาชำระจิต ส่วนเจ้าลูกหมาหลินสวินนี่ไม่รู้ไปตายที่ไหนในทะเลกลืนวิญญาณ นี่มันช่างน่าสะใจยิ่งนัก! มาๆๆ ทุกท่าน พวกเราร่วมยกจอกสุรา ดื่มให้หมดจอก!”
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งยอดวายุหลินผิงตู้ชูจอกสุรา เปล่งเสียงหัวเราะลั่น
ทุกคนตอบรับสนั่นหวั่นไหว พากันยกจอกสุราขึ้นมา
“ที่ผิงตู้กล่าวมาไม่เลว แต่เหตุการณ์ยังขาดก้าวย่างสุดท้าย พวกเราไม่อาจประมาทเด็ดขาด รอหลินไหวถังมาแล้ว พวกเราค่อยยกจอกสุรายินดีก็ยังไม่สาย”
ในฐานะหัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิม หลินเทียนหลงยังรักษาสติ เพียงแต่แม้จะกล่าวเช่นนั้น ส่วนลึกในนัยน์ตาเขาก็ยังมีความได้ใจไม่อาจปกปิดไหววูบอยู่
ทุกวันนี้บนภูเขาชำระจิตอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ศึกนอกศึกในเข้าปะทะ ล่อแหลมอันตราย และทั้งหมดนี้ล้วนมาจากน้ำมือของพวกเขา!
ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังพวกเขายังมีสองตระกูลจั่ว ฉินสนับสนุน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การยึดภูเขาชำระจิตก็ง่ายดายเหมือนดั่งล้วงของในถุงหนัง
ด้วยประการฉะนี้ ในใจหลินเทียนหลงมีหรือจะไม่เกิดความกระหยิ่มยิ้มย่องและปิติยินดี
ช่วงที่หลินสวินยังอยู่นครต้องห้าม กดจนพวกเขาสามตระกูลต่างหายใจไม่สะดวก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ดาวหายนะอย่างหลินสวินนี่ในที่สุดก็สิ้นชีพ ส่วนพวกเขาก็หวนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง!
“พี่ใหญ่เทียนหลง ตอนข้าเดินทางมาร่วมงานเลี้ยง ได้ยินทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองคนหนึ่งพูดว่า มีคนเห็นเงาร่างของหลินสวินปรากฏตัว”
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งคานเมฆาหลินเนี่ยนซานพลันเอ่ยปาก ทำเอาผู้คนมากมายหนังตากระตุกอย่างอดไม่อยู่ บรรยากาศที่เดิมเบิกบานปรองดองปรากฏความเงียบชั่วขณะ
“เป็นไปไม่ได้ เนี่ยนซานเจ้าดื่มเยอะไปแล้ว อย่าไปฟังทหารยามชั้นต่ำพวกนั้นพูดเหลวไหล ข่าวลือในจักรวรรดิแปดเก้าส่วนล้วนเป็นพวกมันปล่อยออกไปเอง คำพูดของพวกมันจะเชื่อถือได้อย่างไร”
หลินเทียนหลงยิ้มเยาะ “ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวที่ว่าเจ้าลูกหมาหลินสวินสิ้นชีพในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ ได้รับการยืนยันจากราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ! ตัวหายนะอย่างเขาหากสามารถรอดชีวิตจากการไล่สังหารของราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งกลับมา ให้ข้าปาดคอฆ่าตัวตายยังได้!”
ทุกคนพลันหัวเราะลั่นทันที
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าเด็กหลินสวินนั่นหายไปครึ่งปีเต็ม สองสามเดือนก่อนถูกยืนยันว่าตายในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ ไหนเลยจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้
แต่ในเวลานี้ น้ำเสียงนิ่งสงบเย็นชาหนึ่งดังมาจากทางเข้าโถง
“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นเจ้าก็ปาดคอฆ่าตัวตายซะเถอะ!”
ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงแข็งค้าง คนใหญ่คนโตทั้งหมดต่างขมวดคิ้ว ประหลาดใจอยู่บ้าง
ในโถงใหญ่ครานี้รวมตัวคนใหญ่คนโตชั้นแนวหน้าของสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ ใครถึงกับกล้ากระทำการยั่วยุในเวลาเช่นนี้
ภายใต้สายตาที่จับจ้อง หลินสวินในชุดสีขาวพระจันทร์ รูปร่างสูงสง่า สองมือไพล่หลังพลันปรากฏตัวที่ทางเข้าโถง
บนบ่าเขายังมีอินทรีแดงตัวหนึ่งยืนเกาะอย่างหยิ่งผยอง เชิดศีรษะมองโดยรอบ
พริบตานั้นพวกหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน หลินเฟยเฟิงต่างแข็งทื่อไปทั้งร่าง ราวอสนีบาตฟาดผ่าก็ไม่ปาน ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
หลินสวิน?
เขา เขา… นึกไม่ถึงเลยว่ายังมีชีวิตอยู่?
นี่เห็นได้ชัดว่ากะทันหันเกินไป ประหนึ่งเป็นการล้อเล่นใหญ่โตโดยสิ้นเชิง ทั้งราวถูกคนฟาดกระบองใส่อย่างหนักหน่วง ทำเอาพวกเขาต่างงุนงง
แต่พวกคนที่ไม่รู้จักหน้าตาหลินสวินเหล่านั้นล้วนสีหน้าอึมครึม เด็กหนุ่มคนหนึ่งถึงกับกล้ามายั่วยุถึงถิ่นในเวลาเช่นนี้ รนหาที่ตายจริงๆ!
“ผู้คุ้มกันล่ะ! พวกเจ้าตาบอดใช้การไม่ได้รึไง ทำไมให้คนนอกบุกเข้ามาตามใจชอบ? ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!”
ผู้อาวุโสแห่งธารประจิมคนหนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้น เปล่งเสียงตวาดลั่น
แต่ที่เกินคาดหมายคือด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีคนคุ้มกันสักคนตอบกลับ
นี่ทำให้เขาบันดาลโทสะยิ่งกว่าเดิม ตัดสินใจลงมือด้วยตนเอง สายตาเย็นเยียบจ้องมองหลินสวินพลางกล่าว “ไอ้หนู เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ใด ใช่ที่ที่เจ้าสามารถมาโอหังได้รึ? รีบไสหัวไปให้ข้าซะเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น…”
ฟึ่บ!
ไม่รอให้เขาพูดจบ ภายใต้สายตาจับจ้องอย่างตื่นตะลึงของทุกคน อินทรีแดงซึ่งอยู่บนบ่าเด็กหนุ่มนั่นพลันขยับ ประดุจสายฟ้าสีชาดแดงวูบผ่าน พุ่งทะยานออกมาชั่วพริบตา
………………….