ตอนที่ 425 จ้องตาเป็นมัน / ตอนที่ 426 คำลวงใหญ่โต

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 425 จ้องตาเป็นมัน 

 

 

 

 

 

เหราเอ๋อร์? คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกใจกันหมด 

 

 

อวี้อาเหราเองก็ตกใจจนชะงักงัน รู้สึกหนาวสันหลังวาบ พวกเขาก็ไปสนิทกันถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วยังจะคำเรียกว่าเหราเอ๋อร์อีก? 

 

 

ฉู่เกอกลับยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย สายตากลับกวาดมองระหว่างพี่ชายตัวเองกับอวี้อาเหรา 

 

 

จวินจื่อหร่านชะงักค้าง “พวกเจ้า…” 

 

 

“เชิญองค์ชายใหญ่เถิด” ฉู่เกอตีสีหน้าเย็นชาอย่างไม่ลังเล 

 

 

จวินจื่อหร่านรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา เมื่อเห็นสายตาไม่ต้อนรับของทั้งสามคนก็โกรธเสียจนสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการไล่แขก สำหรับองค์ชายใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างมาก เขาเคยถูกลบหลู่เช่นนี้ที่ไหนกัน? 

 

 

ที่จริงก็ไม่ควรโทษพวกอวี้อาเหรา จวินจื่อหร่านเองนั้นละที่ทำตัวไม่เหมาะสม 

 

 

เมื่อฟู่เส่าชิงและจวินอู๋เหินเห็นว่าจวินจื่อหร่านโกรธจนเดินจากไปแล้ว เช่นนั้นจึงหยุดการทะเลาะเบาะแว้งลง 

 

 

จวินอู๋เหินเดินเข้ามา สายตามองไปทางอวี้อาเหรา แล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “อาเหรา เจ้าทำเขาโกรธอีกแล้วหรือ” 

 

 

“อย่ามาโทษที่ข้าทำให้เขาโกรธ” น้ำเสียงโกรธเคืองของอวี้อาเหราเย็นชา เมื่อคิดถึงสายตาของจวินจื่อหร่านแล้วก็ต้องถลึงตาจ้องมองเขาอย่างแค้นใจ 

 

 

ฉู่เกอรับคำต่อ “ใช่แล้ว! เรื่องนี้จะโทษพี่เหราเอ๋อร์ไม่ได้ ต้องโทษพวกท่านทั้งสอง เหตุใดต้องพาเขามาที่นี่ให้เสียบรรยากาศด้วยเล่า!” 

 

 

“เสียบรรยากาศอะไรกัน” จวินอู๋เหินแปลกใจ ลูบศีรษะอย่างไม่เข้าใจนัก “พวกเราทั้งสองเพียงอยากมาเที่ยวเล่นกันเท่านั้น แต่พบเขาเข้าระหว่างทาง เมื่อได้ยินว่าพวกเรากำลังจะมาที่นี่ก็ดึงดันจะตามมา พวกเราจะบอกได้หรือว่าอย่าตามมา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายใหญ่ อย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง” 

 

 

“เอาเถิด” เมื่อได้ยินเขาว่าเช่นนี้ ฉู่เกอก็เข้าใจ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “วันหลังพวกท่านอย่าได้พาเขามาที่นี่อีก ถ้าหากยังพาเขามาอีกก็ระวังว่าข้าจะให้หานสือไปขวางเอาไว้ เมื่อครู่นี้ท่านคงไม่เห็นกระมังว่าเขาเอาแต่จ้องข้าและพี่เหราเอ๋อร์ตาเป็นมัน ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!” 

 

 

“อะแฮ่มๆ” ฉู่ป๋ายกระแอมขึ้นมา “อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสาวเป็นนาง เหตุใดถึงกล่าววาจาออกมาเช่นนี้?” 

 

 

ฉู่ว่าส่งเสียงฮึ ไม่สนใจคำพูดของเขา 

 

 

ก็นางพูดเรื่องจริง เหตุใดจะต้องปิดบังด้วย? 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ฟู่เส่าชิงก็หันไปมองอวี้อาเหราและฉู่เกออย่างประเมิน ทันใดนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา “พวกเจ้าสองคนมีอะไรน่ามองเล่า” 

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวี้อาเหราและฉู่เกอโกรธขึ้นมาในเวลาเดียวกัน 

 

 

หญิงสาวไม่ชอบอะไรมากที่สุดน่ะหรือ? 

 

 

แน่นอนว่าย่อมไม่ชอบให้ใครมาดูถูกเสน่ห์ของตน 

 

 

“เขาหมายถึงว่า พวกเจ้าทั้งสองมีใบหน้างดงามอยู่บ้าง แต่ร่างกายของพกเจ้ามีส่วนไหนที่ดึงดูดสายตาเล่า? นอกจากเขาจะตาบอดกระมัง” จวินอู๋เหินกลั้นยิ้มแล้วตอบแทนฟู่เส่าชิง 

 

 

อวี้อาเหราจ้องมองฟู่เส่าชิงอย่างโกรธเคือง “มิน่าเล่าเจ้าถึงไม่เห็นหว่านเอ๋อร์อยู่ในสายตา ที่แท้ก็เป็นเพราะคำพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่” 

 

 

“เจ้า!” เมื่อพูดถึงเริ่นหว่านเอ๋อร์ ฟูเส่าชิงก็ถูกโจมตีเสียจนหมดคำจะตอบ ท่าทีของเขาชะงักขึ้นมาในทันที 

 

 

ฉู่เกอย่นจมูก “พี่เหราเอ๋อร์กล่าวได้ถูกต้อง!” 

 

 

แรกเริ่มที่นางเห็นอวี้อาเหราอยู่กับพี่ชายของตัวเองนั้น นางก็ตกใจเป็นอย่างมาก และเวลาเดียวกันก็รู้สึกไม่ชอบ เพราะนางมักรู้สึกว่าอวี้อาเหรานั้นมีความคิดลึกล้ำ ยากเหลือเกินที่จะมองออก ทว่าเมื่อได้รู้จักกันแล้ว นางก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย เมื่อควรยิ้มนางก็ยิ้ม เมื่อควรเกลียดนางก็เกลียด 

 

 

บางครั้ง นิสัยของนางก็ช่างคล้ายกับตนเองอยู่หลายส่วน 

 

 

เพราะฉะนั้นตนจึงเริ่มชอบนางขึ้นมา 

 

 

อีกอย่าง นางยังเป็นพี่สาวของเขา… 

 

 

อวี้อาเหรานิ่งงันไป ไม่รู้ว่าตอนนี้หว่านเอ๋อร์จะเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้ที่พบกันที่หอจุ้ยเซียนนั้นนางก็ดูไม่ค่อยน่าวางใจ แต่ก็ยากที่จะหลบเลี่ยง แต่เดิมเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้เดียงสา คนเช่นนี้มักจะส่งมอบความรู้สึกรักใคร่ของตัวเองให้ต่อชายผู้หนึ่งอย่างเต็มที่ 

 

 

แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถลำลึกเข้าไปแล้วก็ยิ่งยากที่จะถอนตัว 

 

 

เวลาเป็นการเยียวยาที่ดีที่สุดในโลก เมื่อผ่านไปนานเข้า รอยแผลในใจของนางก็คงจะค่อยๆ สมานเข้าด้วยกัน 

 

 

บาดแผลของเริ่นหว่านเอ๋อร์เองก็คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 426 คำลวงใหญ่โต 

 

 

 

 

 

“พี่เหราเอ๋อร์คิดอะไรอยู่หรือ เหตุใดถึงใจลอยเช่นนี้?” ฉู่เกอเรียกนางหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ จึงตบไหล่นางเบาๆ สองสามที 

 

 

อวี้อาเหราจึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาก แล้วเงยหน้าขึ้นในทันใด “ทำไมหรือ” 

 

 

“ท่านว่าจะเล่นว่าวกันมิใช่หรือ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ยังมีแสงตะวันอยู่บ้าง พวกเรารีบใช้โอกาสนี้ไปเล่นกันเถิด หากยังชักช้าอยู่อีกจะไม่ทันเอานะ” ฉู่เกอตอบ แล้วมองนางอย่างแปลกใจ “เมื่อครู่คิดอะไรอยู่หรือ ข้าบอกให้ไปเล่นว่าวด้วยกันท่านไม่ได้ยินหรืออย่างไร” 

 

 

“ไม่มีอะไร เมื่อครู่นี้ข้าเพียงใจลอยไปหน่อย จะไปเล่นว่าวมิใช่หรือ รีบไปกันเถิด” อวี้อาเหราสบโอกาสเลี่ยงหัวข้อนี้ แล้วพุ่งความสนใจไปยังว่าว ฉู่เกอเห็นแล้วก็สนใจ ก่อนพยักหน้าอย่างยินดี “ดี ไปเล่นว่าวกันเถิด” 

 

 

จึงเห็นว่านางนำว่าวไปแจกให้ทุกคน 

 

 

เมื่อรวมเอาฟู่เส่าชิงและจวินอู๋เหินเข้ามาด้วย ก็จะเท่ากับห้าคน แต่ว่าวนั้นมีพอสำหรับคนสิบเอ็ดคน ดังนั้นจึงมอบให้หานสือและเมี่ยวอวี้คนละตัว แต่ยังแจกไม่หมด ดังนั้นจึงเรียกผู้ที่คอยลอบคุ้มครองฉู่ป๋ายให้ออกมา 

 

 

เช่นนี้จึงจะแจกจนหมดแล้ว 

 

 

ว่าวที่มอบให้อวี้อาเหรานั้นเป็นว่าวรูปนกอะไรก็ไม่ทราบ แต่กลับเป็นสีน้ำเงิน จากนั้นก็ถามฉู่เกออย่างแปลกใจ “นี่มันว่าวอะไรกัน” 

 

 

“หือ นี่ก็ไม่ใช่นกยูงหรอกรึ” ฉู่เกอชะงัก ราวกับคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร จากนั้นเมื่อคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว จึงค่อยคิดออกว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ 

 

 

ครั้งนี้อวี้อาเหราจึงนึกย้อนไปถึงคำพูดของฉู่ป๋ายก่อนหน้านี้แล้วก็เชื่อหมดใจ แม้แต่ว่าวที่ตัวเองทำเองนางยังจำไม่ได้ อย่าได้พูดถึงงานฝีมืออย่างอื่นเลย อีกอย่าง นี่มันว่าวนกยูงอะไรกัน หากไม่ได้ยินฉู่เกอพูดขึ้นมา นางก็คงคิดว่าเป็นนกกระเต็นไปแล้ว 

 

 

เพราะว่านกที่ไหนจะมีรูปร่างเช่นนี้แล้วระบายสีฟ้ากัน? 

 

 

ดังนั้นจึงกลายเป็นนกยูงอย่างนั้นหรือ 

 

 

เมื่อว่าวลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วนางก็มองไม่ออก แม้ว่าจะสวยงาม แต่เมื่อมองใกล้ๆ ก็มองไม่ออก 

 

 

สวยก็สวยอยู่หรอก แต่มันไม่เหมือนนกยูงเลยน่ะซี! 

 

 

เมื่อคิดถึงก่อนหน้านี้ที่นางชื่นชมว่าวนี้ไปแล้ว ยามนี้นางก็อายจนอยากจะกัดลิ้นตัวเองไม่ให้พูดออกไปยิ่งนัก แต่น้ำที่หกไปแล้วก็ยากที่จะย้อนกลับคืน คำพูดที่พูดออกไปแล้วก็เช่นเดียวกัน เพียงมองเห็นว่าวเหล่านี้ ในใจของนางก็ต้องลอบถอนหายใจ 

 

 

จวินอู๋เหินมองออกไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยินดี หยิบว่าวขึ้นมาถามฉู่เกอ “ถ้าอย่างนั้น อันนี้ก็คือนกเหยี่ยวใช่หรือไม่ เหตุใดเรามองเห็นเป็นอีกาไปได้ เจ้าทำว่าวเช่นนี้ขึ้นมาแล้วยังกล้าที่จะเอามาให้พวกเรา หากเจ้าไม่ใช่ท่านหญิง เราคงจะโยนทิ้งไปนานแล้ว” 

 

 

“ท่านกล้าหรือ?” เมื่อฉู่เกอเห็นว่าวของตัวเองถูกดูถูกเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา 

 

 

จวินอู๋เหินทำทีเป็นหวาดกลัว แล้วส่ายหน้าอย่างเอาใจ “ไม่ๆๆ ข้าไม่กล้าหรอก ฉู่ฉู่ของเจ้ามองอยู่เช่นนี้ข้าจะไปกล้าทิ้งของของเจ้าได้อย่างไร” 

 

 

“เฮอะ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ หากเขาไม่อยู่แล้วท่านจะกล้าหรือ” ฉู่เกอหาช่องว่างในคำพูดของเขาสวนกลับ 

 

 

“ไม่ใช่สิ เมื่อครู่นี้ใครก็ไม่รู้ที่พูดคำโกหกคำโตขึ้นมา” จวินอู๋เหินก้มหน้าลงไปมองว่าวในมือ เบิกตากว้างแล้วพูดโกหก “เจ้าดูว่าวนี่ซี ปีกของนกอินทรีเหมือนขยับได้ ราวกับมีชีวิต เมื่อมองสี ช่างสวยงามเหลือเกิน ยังดูที่ฝีมือนี่อีก เมื่อมองไกลๆ ก็งามสง่า เมื่อมองใกล้ๆ แล้วก็งดงาม จากนั้นลองดูตามันซี ยามที่มันมองข้า ราวกับของจริงไม่มีผิด จนข้าตกใจเสียแทบแย่ ในโลกนี้คงไม่มีว่าวตัวไหนงดงามได้เท่าว่าวตัวนี้แล้ว!”