ตอนที่ 428 หญิงลึกลับ / ตอนที่ 429 ห้องลับ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 428 หญิงลึกลับ 

 

 

เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในบ้านท่านราชเลขากรมพิธีการ บ้านของเขาตั้งอยู่บนถนนขุนนาง บ้านข้างๆ กันล้วนเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก เรือนตงเตี้ยนที่เกิดเพลิงนั้นห่างจากบ้านรองเจ้ากรมอาญาฉีไท่เพียงแค่กำแพงกั้น หากตามกระแสลมที่พัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในคืนนี้ หลังแนวต้นไม้เล็กแนวหนึ่งก็คือที่อยู่อาศัยของเหอเจี่ยนสุย 

 

 

ขณะนั้นอวิ๋นเซียงฉือไม่รู้เรื่องนี้ และไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดเพลิงไหม้ขึ้นได้ เปลวไฟในบ้านสกุลหลิ่วพุ่งสูงเทียมฟ้า บรรดาเด็กและคนชราแอบอยู่ด้านหลังใต้เท้าหลิ่ว ร้องไห้กันระงมมองดูเปลวไฟบนฟ้า อันเป็นที่มาของความโศกเศร้า 

 

 

เซียงฉือกับใต้เท้าฉู่ล้วนมีใจคิดช่วยใต้เท้าหลิ่วดับเพลิง ด้วยวิธีการของเซียงฉือ ผู้คนทั้งหลายบนถนนขุนนางพากันมาช่วยเหลือ คนในบ้านสกุลหลิ่วก็รีบเร่งช่วยกันขนย้ายสิ่งของสำคัญออกมาจากเรือนด้านหลังเพื่อมิให้เกิดความเสียหายมากขึ้น 

 

 

ในเวลานั้นพวกขนย้ายของก็ขนย้ายกันไป พวกดับเพลิงก็ช่วยกันดับ ภายในบ้านสกุลหลิ่วจึงโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

พวกเซียงฉือก็พากันระแวงว่าจะมีคนถือโอกาสที่วุ่นวายอยู่นี้เข้ามาทำร้ายจิ้งเฟยกับหรงเย่ว์ ดังนั้น ถึงแม้ไฟยังโหมไหม้รุนแรง ฉู่อวิ๋นเซียวกลับเบิ่งตาจ้องกวาดไปทั่วไม่วางตาตลอดทั้งคืนโดยไม่กล้าหละหลวมแม้แต่น้อย 

 

 

ในเวลาเดียวกันบนกำแพงวังมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ เขามองดูเปลวไฟไหวๆ ที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก ชายในชุดอำพรางคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างกายเขา คุกเข่าอยู่ด้านหลังชายรูปร่างสูงใหญ่ รายงานว่า 

 

 

“นายท่าน อวิ๋นหมิงกลับมาแล้วขอรับ” 

 

 

ชายบนกำแพงเมืองสะบัดมือ ชายในชุดเดินทางกลางคืนจึงถอยออกไป จากนั้นหญิงในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งก็เผยใบหน้างดงามอ่อนช้อยของนางออกมาในความมืด นางย่อกายให้กับชายเบื้องหน้า ส่งเสียงแผ่วๆ ที่สามารถสลายกระดูกบุรุษขึ้นมา 

 

 

“เรื่องที่นายท่านสั่ง อวิ๋นหมิงไปจัดการมาแล้วเจ้าค่ะ เป็นไปตามที่นายท่านคาดว่าในห้องหนังสือมีห้องลับ แต่ข้างในได้วางกลไกไว้ หากไม่ใช่เจ้าของห้องกลับมาเร็วเกินไป ข้าจะต้องเข้าไปสำรวจได้แน่นอนเจ้าค่ะ” 

 

 

“เพียงแค่เจ้านายมีบัญชา ข้าจะนำองครักษ์มังกรฟ้าไปตรวจสอบห้องลับนั้นอย่างละเอียดเจ้าค่ะ” 

 

 

อวิ๋นหมิงอยากจะแสดงความสามารถต่อหน้าผู้ชายคนนี้มาก แต่ชายคนนั้นฟังถึงตรงนี้แล้วก็ขัดนาง เขาสะบัดนิ้วไปยังแสงเพลิงเบื้องล่าง 

 

 

อวิ๋นหมิงเข้าไปใกล้แล้วมองตามทิศทางที่นิ้วมือชายรูปร่างสูงใหญ่ชี้ไป มองเห็นเปลวเพลิงสว่างไสวไปครึ่งฟ้ายามค่ำคืนที่เบื้องล่างลิบๆ แต่นางไม่เข้าใจ 

 

 

“นายท่านหมายความเช่นไรเจ้าคะ นายท่านสั่งข้าวางเพลิงในบ้านสกุลหลิ่ว เหตุใดจึงไม่…” 

 

 

อวิ๋นหมิงยังคิดจะพูด แต่เห็นชายคนนั้นสะบัดมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ 

 

 

“มีเพียงต้องทำเช่นนี้จึงจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนได้ ข้างในนี้น้ำลึกเกินไป หากคิดจะจับปลาก็ต้องกวนน้ำเสียก่อน ปลาจะได้ตกใจแล้วกระโดดออกมา” 

 

 

น้ำเสียงชายผู้นั้นเจือยิ้มอย่างดูถูก เขาเป็นดั่งนกขมิ้นที่อยู่ข้างหลังตั๊กแตนที่กำลังจับจักจั่นอยู่ แอบอยู่ข้างหลังตั๊กแตน รอคอยการต่อสู้ถึงชีวิตที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 

 

 

“ห้องหนังสือนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องไปดูแล้ว ตอนนี้หางจิ้งจอกของศัตรูโผล่ออกมาแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอ คนคนนั้นตื่นตัวระวังอย่างยิ่ง วันนี้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในบ้านสกุลหลิ่ว ตอนนี้ขนทั้งร่างของเขาคงกำลังชูชัน เจ้าไปอีกไม่ได้ จะได้ไม่ถูกเปิดโปงตัวตน” 

 

 

“พวกเรากบดานนิ่งชั่วคราว รอคอยโอกาส” 

 

 

หญิงที่ถูกเรียกว่าอวิ๋นหมิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ยากนักกว่าจะได้เบาะแสมา แต่เหตุใดนายท่านจึงจะละทิ้งไปเล่า 

 

 

นางบังเกิดความไม่พอใจขึ้นในใจ ถึงแม้ชายร่างสูงใหญ่จะหันหลังให้นาง แต่ราวกับเขามีตาหลังจึงได้มองเห็นทุกอากัปกิริยาของนาง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 429 ห้องลับ 

 

 

ราวกับสัมผัสได้ถึงความไม่แยแสของนางจึงได้สำทับขึ้นอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

“หมากกระดานใหญ่มากนั้น ก็เหมือนนายพรานกำลังรอคอยเหยื่อที่แข็งแกร่ง ต้องรอจนเหยื่อเดินเข้ากับดักของตนด้วยความระมัดระวัง หากทำอะไรมากเกินไป รังแต่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วจะไม่ได้อะไรเลย อวิ๋นหมิง หวังว่าเจ้าจะนิ่งพอ” 

 

 

คำพูดนี้ของชายร่างสูงใหญ่ทำให้หญิงสาวพราวเสน่ห์ถึงกับสะดุ้งใจไม่กล้าคิดออกนอกลู่นอกทางอีก นางสำรวมแล้วพูดจริงจังขึ้น 

 

 

“ข้าจะจดจำไว้และจะทำตามที่นายท่านสั่งเจ้าค่ะ” 

 

 

ชายคนนั้นผงกศีรษะ หญิงสาวที่มีชื่อว่าอวิ๋นหมิงจึงสวมเสื้อคลุมแล้วสวมหมวก หมุนกายหายเข้าไปในความมืด 

 

 

ส่วนชายคนนั้นยังคงมองดูเปลวเพลิงแดงฉานที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักแล้วจมลงสู่ความคิด 

 

 

เหอเจี่ยนสุยกลับถึงบ้านสกุลเหอ เขาไม่พบความผิดปกติอะไร แต่เพลิงจากบ้านใต้เท้าหลิ่วคนนั้นโหมแรงมากและลามมาถึงบ้านสกุลเหอ ถึงแม้คนในบ้านทั้งหมดจะออกมาช่วยกันดับไฟ แต่กระนั้นก็ยังทำให้ห้องห้องหนึ่งเสียหาย 

 

 

เหอเจี่ยนสุยมองดูส่วนที่ได้รับความเสียหาย โทสะก็ผุดขึ้น 

 

 

เขาสั่งให้คนตรวจสอบความเสียหาย เพลิงครั้งนี้มีบ้านสกุลหลิ่วเป็นต้นเพลิง จะต้องส่งคนไปเรียกร้องค่าเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางเพลิงด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม ความเสียหายครั้งนี้จะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง 

 

 

“มั่ว เฝ้าประตูห้องหนังสือไว้ ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปเด็ดขาด” 

 

 

เพียงเขาพูดจบก็มีชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความมืด คุกเข่าลงเบื้องหน้าเขา ทำการคารวะ 

 

 

เหอเจี่ยนสุยไม่รอฟังคำขานรับก็เดินอย่างเร็วเข้าไปในห้องหนังสือที่ถูกเพลิงเผาไปครึ่งหนึ่ง เมื่อครู่ยังคงร้อนระอุ แต่ตอนนี้ห้องในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้กลับอุ่นเหมือนในฤดูร้อน 

 

 

เขาเดินเข้าไปอย่างไม่สู้วางใจ เรื่องเมื่อคืนยังไม่เสร็จสิ้นคืนนี้ยังมาเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านใต้เท้าหลิ่วอีก และยังส่งผลกระทบมาถึงบ้านเขาอีกด้วย นอกจากจะโกรธเคืองแล้ว ยังแฝงความระแวดระวังไว้อีกด้วย 

 

 

เขาเชื่อเสมอมาว่าความระมัดระวังจะนำพาความปลอดภัยให้ยาวนาน ดังนั้นจึงรีบเร่งเข้าห้องหนังสือ เขาขยับจานฝนหมึกมองดูชั้นหนังสือด้านหลังค่อยๆ เคลื่อนออกเป็นประตูลับพอให้คนหนึ่งคนเข้าไปได้ เขาผลักประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป 

 

 

ร่างของเขาหายไปจากห้องหนังสือ ไม่นานเท่าไหร่จึงได้กลับออกมาจากข้างในด้วยแววตาผ่อนคลายลง 

 

 

เมื่อออกจากห้องหนังสือแล้ว ชายที่ถูกเขาเรียกว่ามั่วก็หายตัวไป เขาวางใจแล้วจึงเริ่มใคร่ครวญถึงเรื่องราวในบ้านสกุลหลิ่ว 

 

 

ส่วนคนที่เขาเป็นห่วงตอนนี้หน้าขะมุกขะมอมไปด้วยขี้เถ้า แต่ก็ยังคงอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งยืนอยู่กลางลาน ฟังจากเสียงแล้ว นางกำลังปลอบขวัญเด็กน้อยในอ้อมแขน 

 

 

“องค์หญิงหรงเย่ว์ ระยะนี้องค์หญิงคงจะไม่ได้ของอร่อยอะไรจากหม่อมฉันเสียแล้วเพคะ” 

 

 

เซียงฉือมองดูเปลวไฟแล้วคิดไปถึงการลงโทษที่นางจะได้รับจากหรงจิง แม้นางขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังคงกึ่งพูดเล่นเพื่อปลอบเด็กหญิง 

 

 

หรงเย่ว์เอาแต่จ้องมองดูกองเพลิงใหญ่เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ แต่เมื่อได้ยินเซียงฉือพูดว่าไม่มีของกินอร่อยให้แล้วจึงได้เคลื่อนดวงตากลมโตเปียกชื้นมามองเซียงฉือ 

 

 

“ทำไมล่ะ เซียงฉือพูดเองไม่ใช่หรือว่าต่อไปจะให้ของอร่อยข้า จะมาพูดเล่นๆ ไม่ได้นะ เดี๋ยวกลายเป็นคางคกไม่รู้ด้วย” 

 

 

เซียงฉือถูกคำพูดของหรงเย่ว์ทำให้ขบขันขึ้นมา นางกลั้นยิ้มไว้แล้วพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร 

 

 

“ไฟไหม้บ้านสกุลหลิ่วแล้ว ราชเลขาหลิ่วท่านตาขององค์หญิงจะต้องไปทูลเสด็จพ่อขององค์หญิงแน่ๆ ถึงตอนนั้นหม่อมฉันคงต้องถูกตีแล้วเพคะ แบบนั้นก็จะเดินไม่ไหว แล้วจะนำของอร่อยไปถวายองค์หญิงได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

พอเซียงฉือพูด หรงเย่ว์ถอนหายใจยาว นางขมวดคิ้วทำให้ยิ่งแลดูเหมือนกับหรงจิงมากขึ้น