ตอนที่ 555 เพียงกระบวนท่าเดียว

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

แน่นอนว่าโม่จิ่นรู้ถึงความกังวลของสหาย เขาอดไม่ได้ที่จะกลอกตา อย่าว่าแต่หนึ่งขั้นเลย ต่อให้นางสูงกว่าสิบขั้น นางก็รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

โม่จิ่นเชื่อใจมู่เฉียนซีมาก ทําให้โม่ซางคงรู้สึกวางใจไม่น้อย

ทว่าคําพูดสบาย ๆ ของมู่เฉียนซีกลับทําให้ทุกคนอ้าปากค้าง

“ประลองกับเจ้า แค่หนึ่งกระบวนท่าของข้าก็เพียงพอแล้วล่ะนะ”

หนึ่งกระบวนท่า! จะบ้าไปแล้วรึ ?!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้มีพลังธาตุเหมือนกันและยังสูงกว่านางถึงหนึ่งขั้น กลับยังกล้ากล่าวออกมาเช่นนี้อีก

ชิงฮุ้ยโกรธมู่เฉียนซีจนแทบระเบิดพลังธาตุอัคคีออกมาอย่างบ้าคลั่งอยู่รอมร่อแล้ว

“เจ้าไปตายซะเถอะ!”

“นกกระจอกเพลิงคลั่ง”

ธาตุอัคคีร้อนระอุอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก่อตัวเป็นนกกระจอกเพลิงขนาดมหึมากลางอากาศ และพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีอย่างเหี้ยมโหด

มู่เฉียนซีตะเบ็งเสียง “มังกรวารีพิฆาต!”

ความหนาวเหน็บทําให้นกกระจอกเพลิงตัวนั้นแข็งทื่อกลางอากาศ เมื่อทุกคนเห็นฉากที่แปลกประหลาดนี้ ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่ออย่างที่สุด

“นี่… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ?”

“ทั้งที่นางระดับต่ำกว่าหนึ่งขั้น! ทําไมนกกระจอกเพลิงของคุณหนูรองชิงถึงถูกสะกดข่มไว้อย่างสมบูรณ์เช่นนั้นได้”

“ต้องเป็นทักษะวิญญาณแน่ ๆ  ทักษะวิญญาณของสาวน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา”

ทักษะวิญญาณที่สืบทอดกันมาของแหวนนิรันดร์ ต่อให้เป็นทักษะวิญญาณขั้นต้นก็ใช่ว่าระดับพลังของสํานักนิกายระดับหนึ่งจะเทียบได้

นกกระจอกเพลิงถูกมังกรวารีสังหาร เข็มสีดํานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังร่างมู่เฉียนซี

“อ๊าย!” ชิงฮุ้ยที่โดนโจมตีร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ร่างทั้งร่างลอยกระเด็นออกไป

กระบวนท่าเดียว ใช้เพียงแค่กระบวนท่าเดียวจริง ๆ!

— ฟึ่บ! —

ชิงฮุ้ยหวาดกลัวขึ้นมาอย่างน่าสมเพช โลหิตสดเปื้อนเปรอะคาที่มุมปาก นางจ้องมู่เฉียนซีด้วยความหวาดหวั่น แต่นางกลับพูดออกมาประหนึ่งตนเป็นต่อ “เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าเจ้าชนะแล้ว ? ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้าแพ้แล้ว”

ทุกคนต่างงุนงง เห็นได้ชัดว่าคุณหนูรองชิงพ่ายแพ้ แล้วเหตุใดนางถึงบอกว่าคุณหนูมู่แพ้

สมองกลับแล้วกระมัง!

สีหน้าของโม่ซางคงเปลี่ยนไป เขาเอ่ยกับโม่จิ่น “อาวุธลับของชิงฮุ้ยเมื่อครู่นี้ เกรงว่าจะมีพิษ”

มุมปากโม่จิ่นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสนุก “พิษรึ ? เหอะ ๆ”

กับนางหมื่นพิษผู้นี้ หอชิงลั่วรนหาที่ตายแท้ ๆ พวกเขาคงถึงจุดจบแล้ว

“เจ้า… เจ้าไม่เป็นไรได้ยังไง ?”

ชิงฮุ้ยโซซัดโซเซจนแทบจะล้มลงกับพื้น แต่มู่เฉียนซีกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งยังดูสง่าอีกต่างหาก

“หลีกไป”

ไม่! นางไม่เชื่อ นางมีความมั่นใจในอาวุธลับของตนเองเป็นอย่างมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น

มู่เฉียนซียกมือขึ้น ปลายนิ้วเรียวบางคีบเข็มบาง ๆ ไว้สองสามเล่ม นางถามขึ้นว่า “เจ้าหมายถึง พวกนี้หรือ ?”

“อาวุธลับ! คุณหนูรองแห่งหอชิงลั่วประลองกับแม่นางน้อยผู้นี้ ถึงกับต้องใช้อาวุธลับเลยเชียวรึ ?” คนของสํานักเทียนกังกล่าวเย้ยหยัน

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ” แต่ชิงฮุ้ยกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังเสียสติ “เข็มพิษนี้มีพิษร้ายแรง เพียงแค่เจ้าแตะต้องมันเจ้าก็จะตายอย่างน่าสังเวช”

“เฮือก!” ทุกคนสูดลมหายใจเข้า เดิมทีคิดว่าคุณหนูรองผู้นี้เพียงแค่มีนิสัยหยิ่งยโสและเอาแต่ใจไปสักหน่อย ใครเลยจะคาดคิดว่านางมีความโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

“พิษเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่น่ะรึ ที่จะทําให้ข้าตายอย่างน่าสังเวช ?” มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย นางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

พิษเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาหมอปีศาจอย่างนางแม้แต่น้อย นางเพียงขยับข้อมือ เข็มพิษหลายเข็มนั่นก็ถูกส่งคืนกลับไป

ชิงซ่านคํารามอย่างเกรี้ยวกราดทันใด “สาวน้อย คุณหนูรองแพ้แล้ว เจ้าอย่าได้ลงมือวางยาพิษนางอีกสิ!”

เขารีบลงมือเตรียมป้องกันเข็มพิษนั้น ชิงฮุ้ยที่บาดเจ็บหนักในตอนนี้คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น

มู่เฉียนซีสาวน้อยกล้าทําเรื่องไม่ดี โม่จิ่นที่เป็นผู้ติดตามจะยอมให้คนมาพังเรื่องดี ๆ ของนางได้อย่างไรกัน

โม่จิ่นลงมือเช่นกัน

— ปัง! —

การโจมตีของชิงซ่านได้ถูกขัดขวางเอาไว้ เขาถลึงตาใส่โม่จิ่นอย่างโกรธเกรี้ยว “โม่จิ่น เจ้า…”

“อ๊าย!”

เสียงกรีดกร้องดังขัดจังหวะ เข็มพิษแทงเข้าไปในจุดชีพจรของชิงฮุ้ย นางเจ็บปวดมากล้นเหลือคณานับ แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กลับตายไม่ได้ นางทําได้เพียงแค่แหกปากตะโกนออกมาเท่านั้น

ชิงซ่านรีบไปประคองนางไว้ คิดจะเอาเข็มออกให้นางแต่กลับต้องหดมือกลับไป เขายังไม่ลืมว่าชิงฮุ้ยบอกว่านั่นเป็นพิษร้ายแรง หากแตะต้องมีสิทธิ์ตายได้

แม้ว่าเขาจะเป็นจะยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิ แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง

เขาคํารามอย่างเกรี้ยวกราด “สาวน้อย เจ้ามันชั่วร้ายนัก ถึงกับลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้”

ดวงตาดำงามของมู่เฉียนซีมองเขาอย่างงุนงง “ชั่วร้ายรึ ? ข้าแค่หวังดีเอาของของนางคืนให้นางก็เท่านั้นเอง มันชั่วร้ายอย่างไรล่ะ ?”

“ก็นางพ่ายแพ้เจ้าแล้ว เจ้ายังลงมืออีกทำไม ?”

“แพ้ ? แต่ข้าไม่ได้ยินว่านางยอมแพ้เลยนะ”

โม่จิ่นยิ้ม  กล่าวว่า “ใช่แล้ว ชิงฮุ้ยนางยังไม่ยอมแพ้ ขอผู้อาวุโสที่สองอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลองครั้งนี้เลย”

เวลานี้ชิงฮุ้ยรู้สึกเจ็บปวดจนพูดไม่ออก แต่นางไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!

ผู้อาวุโสที่สองกล่าว “พอเถอะ ข้าขอยอมแพ้แทนคุณหนูรองเอง”

แพ้แล้ว คุณหนูรองอัจฉริยะแห่งหอชิงลั่วพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชเสียแล้ว

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าแพ้แล้ว ก็ส่งของเดิมพันที่ตกลงกันไว้ออกมาซะ! พวกเจ้าเป็นถึงสํานักนิกายระดับสอง คงจะไม่กลับคำกระมัง”

นอกจากคนในสนามประลองกับโม่จิ่นและโม่ซางคงแล้ว สีหน้าของคนอื่น ๆ พลันเปลี่ยนไป

โม่ซางคงกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าไม่อยากให้ข่าวลือออกไปว่าตําหนักโม่อวี่ของพวกเราไม่รักษาคำพูด”

ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดแข็งทื่อ แต่เขาเลือกที่จะยิ้ม “แน่นอน ข้าเพียงแค่คิดว่าที่ตัวข้ามีสมุนไพรวิญญาณไม่มากนัก เกรงว่าแม่นางมู่จะไม่พอใจ”

เขานำสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดออกมาด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ยอมมอบมันให้กับนาง คนอื่น ๆ ในตําหนักโม่อวี่จึงมิอาจปฏิเสธได้

พวกเขาเสียใจยิ่งนัก หากรู้แต่แรกก็จะลงเดิมพันว่าแม่นางมู่ชนะ

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวว่า “ข้าคิดว่าหอชิงลั่วของพวกเจ้าคงจะรักษาคำพูดเช่นกัน”

ชิงซ่านแค่นเสียงเย็นชา “นางทําคุณหนูรองของพวกเราบาดเจ็บ แล้วยังจะอยากได้ของของพวกเราอีกรึ ?”

ดวงตาประหนึ่งเหยี่ยวของโม่จิ่นฉายแววเย็นยะเยือก “นี่เป็นการประลอง! การได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่ก็เป็นข้อเสนอของคุณหนูรองชิงเอง ตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บก็อย่าได้โทษผู้อื่น”

“หากว่าหอชิงลั่วของพวกเจ้าจะใช้เหตุผลเช่นนี้ในการกลืนคำพูด นั่นก็ช่างน่าทุเรศ ได้ยินแล้วอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง”

นายน้อยเทียนฉีของสํานักเทียนกังยิ้ม “ใช่แล้ว สำนักเทียนกังของพวกเราจะไม่มีทางกลับคำอย่างแน่นอน เชิญแม่นางมู่มารับของเดิมพันไปได้ตามสบาย”

เขาเผยรอยยิ้มแลดูหยิ่งยโสออกมาในตอนที่ยื่นมือมอบสมุนไพรวิญญาณให้กับมู่เฉียนซี

อีกสองสำนักอื่นนั้นก็ได้ส่งมอบเรียบร้อยแล้ว สำนักชิงลั่วยังมัวชักช้าอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็ยอมส่งมอบไป

อย่างไรเสีย การออกมาเพื่อไปที่จวนชางไห่ในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้นำสมุนไพรวิญญาณที่ลำค่ามากมาด้วย

“ส่งคุณหนูรองกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บ” อาการบาดเจ็บของชิงฮุ้ยเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรีบไปจวนชางไห่ ผู้อาวุโสที่สองจึงได้แต่ส่งคนไปส่งนาง

ผู้อาวุโสสูงสุดของตําหนักโม่อวี่กล่าว “เวลาใกล้จะหมดแล้ว พวกเราก็ควรออกเดินทางไปจวนชางไห่ได้แล้ว”

“ขอรับ”

ในตอนแรกลมทะเลแสนสงบนิ่ง แต่แล้วคลื่นลูกใหญ่ก็พัดเข้ามาอย่างกะทันหัน

มู่เฉียนซีเห็นสัตว์สีฟ้าขนาดมหึมาโผล่ออกมาจากก้นทะเล เสาน้ำก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “จวนชางไห่ออกมาแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”

มู่เฉียนซีนิ่งอึ้ง นางมองโม่จิ่นแล้วกล่าวว่า “โม่จิ่น จวนชางไห่ที่พวกเจ้าพูดถึงคือวาฬตัวนั้นรึ ?!”

นั่นเป็นปลาวาฬ ใช่แล้ว แม้ว่ามันจะใหญ่กว่าปลาวาฬยุคปัจจุบันเหล่านั้นก็ตาม

“นี่คือสัตว์เทพพิทักษ์ของจวนชางไห่ พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”

— ฟึ่บ! —

ผู้คนจากสามกองกําลังนิกายระดับหนึ่ง พุ่งเข้าไปในจวนชางไห่