แดนนิรมิตเทพ บทที่ 741
นักศึกษามองเฉินโม่ ความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขาหายไป และกลับมาเป็นปกติ

กระทั่งมีความเหยียดหยามปรากฏอยู่บนใบหน้าของนักศึกษาบางคน ถ้าเฉินโม่ไม่สามารถพิสูจน์มุมมองของตนเองได้ และการที่เขาบอกว่าการหลุดพ้น มันก็จะเป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย

ความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นในดวงตาของเสิ่นเจี้ยนเหวินอีกครั้ง เพราะการให้นักศึกษาที่เพิ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแสดงมุมมองของตนเอง เป็นเรื่องที่ยากมาก

เขามั่นใจว่าเฉินโม่ไม่สามารถตอบได้ แล้วการหลุดพ้น จะกลายเป็นเพียงคำพูดที่ไร้ความหมาย ซึ่งมันทำให้คนหัวเราะเยาะเท่านั้น

แม้แต่พวกจี๋ต๋าจิ่วตูและเล่หรูหั่ว ต่างรู้สึกว่าคำถามของศาสตราจารย์เสิ่นยากเกินไป

กู่หลินเฟิงที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์ ผมคิดว่าการให้นักศึกษาปีหนึ่งพิสูจน์มุมมองของตนเอง มันเป็นเรื่องที่ยากเกินไป โปรดยกเลิกคำถามนี้ด้วยเถอะ!”

เฉินโม่เคยช่วยกู่หลินเฟิงแก้ไขวิกฤติ กู่หลินเฟิงต้องการหาโอกาสที่จะตอบแทนเฉินโม่เสมอ เมื่อเห็นว่าเฉินโม่ลำบากใจ กู่หลินเฟิงเสี่ยงที่จะล่วงเกินอาจารย์ และลุกขึ้นออกหน้าแทนเฉินโม่

ศาสตราจารย์เสิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่มีเจตนาที่จะทำให้เฉินโม่ลำบากใจ เขาเป็นคนที่บ้าวิชาการ เมื่อเขาได้ฟังมุมมองใหม่ของเฉินโม่แล้ว เขาเลยรีบชักนำและเข้าสู่เนื้อหาทันที เพื่อต้องการพิสูจน์มุมมองนี้

เขาลืมไปว่าคนที่หยิบยกมุมมองนี้เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนนักวิชาการของเขา

โชคดีที่กู่หลินเฟิงเตือนเขาทันเวลา ศาสตราจารย์เสิ่นถึงได้สติกลับมา ถึงแม้ว่าเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถพิสูจน์มุมมองนี้กับนักศึกษาต่อไปได้ แต่เขาในฐานะครูที่ยึดถือจรรยาบรรณของครูอย่างเคร่งครัด เขาจึงไม่สามารถทำให้นักศึกษาของตนเองลำบากใจได้

“ขออภัยด้วย อาจารย์ใจร้อนเกินไป และรีบร้อนที่จะพิสูจน์มุมมองนี้ โดยลืมสถานะตัวตนของนักศึกษาคนนี้ไป โปรดอภัยด้วย!” ศาสตราจารย์เสิ่นเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา เขาโค้งคำนับขอโทษเฉินโม่ต่อหน้านักศึกษาทุกคน โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเอง

เสิ่นเจี้ยนเหวินมองกู่หลินเฟิงที่ยืนออกมาอย่างกะทันหัน ด้วยสีหน้าเกลียดชัง “สารเลว โอกาสดี ๆ ที่จะทำให้เฉินโม่อับอายขายหน้า แต่กลับถูกเขาทำลายไปแบบนี้”

นักศึกษาคนอื่น ๆ ที่รอดูเฉินโม่กลายเป็นตัวตลก ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความผิดหวังออกมาทางสีหน้า ศาสตราจารย์เสิ่นขอโทษเขาด้วยตนเอง เฉินโม่ได้รับเกียรติอย่างเต็มที่ แล้วเขาก็ไม่ต้องพิสูจน์มุมมองของตนเองอีกด้วย และกลายเป็นตัวเด่น

เพียงแต่ เมื่อทุกคนคิดว่าเรื่องนี้มันจบแล้ว เฉินโม่ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วเดินไปตรงหน้าต่างที่มีกระถางดอกกล้วยไม้วางอยู่

“ชีวิตของมนุษย์มีเวลาจำกัด แต่สามารถเพิ่มอายุขัยและเพิ่มความแข็งแกร่งผ่านวิวัฒนาการได้ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีหนึ่ง และการฝึกบู๊ก็เป็นวิธีหนึ่งเช่นกัน นี่คือกระบวนการของการหลุดพ้นของชีวิต”

เฉินโม่พูดขณะที่เดิน เสียงของเขาเลื่อนลอยและชวนให้คิดตาม

“ถึงแม้ว่าสายนี้จะยาวไกล แต่ถ้าอดทนยืนหยัด สักวันหนึ่งก็จะเห็นแสงสว่าง”

“แต่ถ้ารู้เพียงแค่การสืบทอดเท่านั้น โดยฝากความหวังในเรื่องที่ตนเองไม่สามารถทำสำเร็จได้ แล้วส่งต่อไปให้คนรุ่นหลัง หากวันหนึ่งเมื่อมีคนที่แข็งแกร่งกว่าบุกรุกเข้ามา มนุษย์ก็จะถูกกดขี่และถูกกำจัด”

“มีเพียงต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และหลุดพ้นจากทุกสิ่งเท่านั้น ถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง!”

หลังจากกล่าวจบ เฉินโม่ยื่นฝ่ามือออกไป แล้วชี้ไปที่กระถางกล้วยไม้

กล้วยไม้สีเขียวเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

นี่มัน!

ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง รวมทั้งศาสตราจารย์เสิ่นด้วย!

เฉินโม่ไม่รีบร้อน มีประกายแสงที่ไม่สามารถสังเกตเห็นปรากฏขึ้น หลังจากนั้นขวดหยกสีขาวเล็ก ๆ ก็ปรากฏอยู่ในมือของเฉินโม่

เฉินโม่หยดน้ำลงบนกล้วยไม้ที่เหี่ยวแล้ว จากนั้นกล้วยไม้ก็ฟื้นขึ้นมาทันที ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และมันสวยยิ่งกว่าเดิม