บทที่ 234 สุดยอดเพลงกระบี่

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 234 สุดยอดเพลงกระบี่[ฟรี]

ตามความคิดของจี้จู่ เมื่อเขาเข้าไปในรถม้าเขาจะพาตัวโจวจื่อซินออกไปในทันทีด้วยความสามารถในการเดินทางผ่านมิติ หรือฆ่านางและเอาร่างของนางยัดลงในแหวนมิติไป

จากนั้นเขาจะรวมกับอสูรโลหิตของเขาและสังหารผู้คนในคฤหาสน์สราญรมย์ทั้งหมด เพื่อที่จะทำให้ความคิดของคนอื่น ๆ ที่ต้องการกินคนของพวกเขานั้นต้องหวาดกลัว

จากนั้นเขาถึงจะกลับไปยังสันเขาหมื่นอสูรเพื่อรายงานความสำเร็จ

อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาเข้าไปในรถม้า เขาก็รู้ตัวว่าเสียท่าไปแล้ว

“อาณาเขตสวรรค์เทียม?” เขาอุทาน

ปรากฎว่านี่ไม่ใช่รถม้า แต่เป็นอาณาเขตสวรรค์เทียมที่ถูกสร้างขึ้น

การถลำตัวเข้าไปในอาณาเขตสวรรค์เทียมของผู้อื่น มันก็เทียบเท่ากับการส่งตัวเองเข้าไปในอาณาเขตสวรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์

เมื่อจี้จู่ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเลวร้ายแน่นอน เขาก็โคจรพลังวิญญาณและใช้ความสามารถพิเศษของเขาหนีออกไปทันที

แต่ในขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนย้ายออกไป พื้นที่รอบ ๆ ตัวเขาก็ถูกผนึก

ในเวลานี้ หลิงฟ่างหัวกำลังควบคุม ‘ประตูมิติ’ และผนึกมิติภายในอาณาเขตสวรรค์เทียมอย่างแน่นหนา

นางได้รับคำเตือนจากหลิงตู้ฉิงมานานแล้วว่าตราบใดที่ใครก็ตามเข้ามาในรถม้า นางต้องใช้ประตูมิติของนางผนึกการเชื่อมต่อมิติภายในรถม้ากับมิติอื่น ๆ ทันที

อย่างไรก็ตามการระดับการบ่มเพาะของนางต่ำเกินไป แม้ว่านางจะยืมพลังส่วนใหญ่จากประตูมิติมาใช้แต่นางก็ยังสามารถผนึกมิติได้เพียงแค่ช่วงเวลาอึดใจเดียว

อย่างไรก็ตาม การหยุดชั่วขณะนี้ทำให้จี้จู่เสียจังหวะและไม่สามารถออกไปได้ จากนั้นหลิงตู้ฉิงที่รอโอกาสนี้อยู่แล้วก็เข้ามาทันที

เขาหน้าซีดด้วยความตกใจขณะที่เขาอุทานว่า “มิติถูกผนึก!”

นี่คือสิ่งที่เขากลัวที่สุด

หากไม่มีความสามารถในการเดินทางผ่านมิติ เขาก็เป็นเพียงแค่อมนุษย์ธรรมดา

โชคดีที่พบว่าสามารถเคลื่อนย้ายได้ทัน เขาตื่นตระหนกและวิ่งผ่านอวกาศเพื่อออกไป

“เจ้ายังหนีได้อยู่อีกเหรอ!” หลิงตู้ฉิงสบถ

ด้วยการโบกมือของหลิงตู้ฉิง ร่างของจี้จู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งภายในอาณาเขตสวรรค์เทียม

ตราบใดที่หลิงตู้ฉิงอยู่ในอาณาเขตสวรรค์เทียมที่เขาสร้างขึ้นพร้อม ๆ กับจี้จู่ที่ยังอยู่ และใช้พลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลกของภายในอาณาเขตสวรรค์เทียม จี้จู่จะไม่สามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน

จี้จู่ที่เข้าใจว่าเขาเดินทางมาหลายสิบกิโลเมตรแล้ว ทำไมเขาถึงยังอยู่ในอาณาเขตสวรรค์เทียม? ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่าง

“การขยายตัวของพื้นที่!” จี้จู่คร่ำครวญ

ถ้าเขาได้พบกับคนที่ใช้พลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลก เขาย่อมไม่มีโอกาสหลบหนี

เมื่อเห็นว่าจี้จู่ไม่สามารถหนีไปไหนได้แน่นอน หลิงตู้ฉิงจึงพุ่งไปหาและเอื้อมมือไปคว้าตัวจี้จู่ไว้ และปิดผนึกระดับการบ่มเพาะทั้งหมดของจี้จู่โดยการช่วยเหลือของพลังอาณาเขตสวรรค์เทียม

“ฟ่างหัว นี่เป็นของขวัญที่พ่อเตรียมไว้ให้เจ้า เอ้า รับไป” หลิงตู้ฉิงโยนจี้จู่ไปหาหลิงฟ่างหัว จากนั้นก็หมุนตัวและบินออกจากรถม้า

“ขอบคุณ ท่านพ่อ!” หลิงฟ่างหัวพูดอย่างมีความสุข

แต่ในขณะที่นางกำลังมีความสุขกับการได้รับจี้จู่มาจากพ่อของนาง นางก็พบว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของนางหลายคน และแม้แต่หมิงจู้ก็ยืนอยู่ตรงหน้านาง ทุกคนมองนางด้วยสายตาเป็นปรปักษ์

“คืนไข่มุกของข้ามา!” หลิงว่านถิงตะโกน

เมื่อมาถึงตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาหัวขโมยที่พวกเขาตามหาในคฤหาสน์สราญรมย์คือใคร

พวกเขาที่ต่างรู้สึกฉงนกันมาตั้งนานว่าคฤหาสน์สราญรมย์ไม่ใช่สถานที่ที่คนนอกจะเข้ามาได้ และหลิงตู้ฉิงผู้ซึ่งรู้จักกฎของมิติก็คงจะไม่ทำอะไรที่น่าเบื่อเช่นการขโมยของของคนอื่น ในที่สุดพวกเขาก็ตาสว่างและเตรียมตัวที่จะลงทัณฑ์กับผู้ที่สร้างความรำคาญใจให้กับพวกเขามานานหลายปี

“เค้กข้าวเหนียวของข้า เจ้าเอาไปกินใช่ไหม!?” หลิงว่านจุนพูดอย่างรวดเร็ว

“น้องห้าเจ้าเอาจี้หยกของข้าไปใช่ไหม?” หลิงเทียนหยุนพูดอย่างเหนื่อยใจ

หลิงฟ่างหัวที่ถูกจับได้ก็กลอกตาไปมาและพูดว่า “เอ่อ…ข้าคิดว่าข้าได้กินอะไรคล้าย ๆ เค้กข้าวเหนียวเข้าไปเหมือนกันนา…แต่ข้ายังมีมันเหลืออยู่ที่ข้าอีกนะข้าจะแบ่งมันคืนให้ท่านก็ได้พี่สี่… ส่วนพี่สองท่านอยากจะกินมันด้วยไหม…อ๋อ นี่คือไข่มุกของท่านรึเปล่า? และพี่สามนี่คือจี้หยกของท่าน…”

หลิงยี่เทียนพูดด้วยความไม่พอใจ “แล้วข้าล่ะ”

หลิงฟ่างหัวสวมบทพี่สาวทันทีและตะโกนขึ้น “อะไร? ข้าเอาอะไรของเจ้าไป?”

“ข้าจะฟ้องท่านพ่อว่าท่านรังแกข้า!” หลิงยี่เทียนตะคอกกลับ

มี่ไลที่เห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “เอาล่ะ ๆ เด็ก ๆ ทั้งหมดนี่มันก็แค่ของเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อจบเรื่องแล้วน้าจะไปซื้อคืนให้ พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันได้แล้ว!”

“น้ามี่ ท่านไม่รู้หรอกว่าพวกเราลำบากแค่ไหนในการพยายามหาหัวขโมยคนนี้ที่กวนใจพวกเรามาตั้งนาน!” หลิงว่านถิงบ่น “และโดยเฉพาะที่เวลาตอนตื่นขึ้นมาแล้วเห็นของต่าง ๆ มันหายไปมันน่ารำคาญใจสุด ๆ ไปเลย!”

เหลียงเฟ่ยเอ๋อรีบเดินเข้ามากอดหลิงว่านถิงอย่างรวดเร็วและปลอบนาง “ไม่เป็นไร ๆ แล้วเดี๋ยวไว้น้าจะซื้อให้ใหม่ ตอนนี้พวกเราไปดูกันก่อนว่าพ่อของพวกเจ้าจะจัดการกับศัตรูเหล่านั้นด้วยวิธีการไหน อย่าลืมกันสิว่าข้างนอกนั่นยังมีคนเลวจำนวนมากรอให้พ่อของพวกเจ้าได้สำแดงเดชอีก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้บรรดาเด็ก ๆ จึงจ้องเขม็งไปที่หลิงฟ่างหัวอยู่สักพัก และจากนั้นพวกเขาก็เบนหน้าหันไปมองยังนอกหน้าต่างของรถม้า

พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะสนใจสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลิงฟ่างหัวขโมยไปนัก แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะโมโหเนื่องจากตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่พวกเขาพยายามหาตัวหัวขโมยมาโดยตลอดซึ่งมันน่ารำคาญใจเป็นอย่างมาก และเมื่อพวกเขารู้ว่าใครเป็นคนขโมยแล้วพวกเขาจึงต้องการระบายอารมณ์ออกมาบ้างก็แค่นั้น

และอีกอย่างพวกเขาก็ไม่อยากที่จะกดดันหลิงฟ่างหัวมากเกินไป เพราะถ้าหากนางเกิดผูกใจเจ็บขึ้นมา ด้วยความสามารถของนางที่สามารถเดินทางผ่านมิติ ของของพวกเขาอาจจะหายมากกว่าเดิมในทุก ๆ วันโดยที่พวกเขาไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย ซึ่งมันจะยิ่งทำให้พวกเขารำคาญใจมากขึ้นด้วยซ้ำ

หลิงฟ่างหัวหดคอและไม่ได้โต้ตอบใคร นางมองไปข้างนอกอย่างประหม่า

สำหรับจี้จู่ ตอนนี้เขาก็ยังคงถูกตรึงอยู่ในอาณาเขตสวรรค์เทียม และถูกผนึกทั้งความสามารถของสายเลือดและระดับการบ่มเพาะอย่างแน่นหนา

หลังจากจับจี้จู่ได้แล้ว หลิงตู้ฉิงย่อมไม่สุภาพอีกต่อไป เขาถือกระบี่และยืนอยู่หน้าทางเข้าของรถม้า เขาเหลือบมองไปที่ขันทีที่กำลังพุ่งเข้ามาพร้อมกับเหล่าอสูรโลหิตและคนอื่น ๆ ทั้งหมดที่ต้องการตัวของโจวจื่อซิน เขาพูดกับโม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนที่กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังว่า “ถอยกลับมา ที่เหลือข้าจัดการต่อเอง!”

โม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนที่ได้ยินคำสั่ง พวกเขารีบผลักคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งหลายให้กระเด็นออกไป จากนั้นพวกเขาจึงถอยกลับมาที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง

เมื่อทุกคนได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะโจมตี นอกเหนือจากอสูรโลหิตและขันที ทุกคนต่างตกตะลึง

พวกเขาที่เข้าใจว่าพลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลกได้ถูกปิดผนึกไปแล้ว ฉะนั้นหลิงตู้ฉิงจะโจมตีได้อย่างไร?

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ยินมามากเกี่ยวกับชื่อเสียงของหลิงตู้ฉิงและพวกเขาจึงบังเกิดความไม่แน่ใจทันที พวกเขาจึงรีบหยุดพุ่งเข้าใส่และถอยออกห่างจากหลิงตู้ฉิงโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม ทั้งขันทีและอสูรโลหิตต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหลิงตู้ฉิง หรืออาจพูดได้ว่าพวกเขาเคยได้ยินมาก่อนแต่ไม่ได้สนใจ เพราะพวกเขาเป็นคนที่มาจากโลกภายนอกที่กว้างใหญ่กว่า

ทั้ง 12 ตัวและ 12 คน จึงกระโจนเข้าใส่หลิงตู้ฉิงทันที

ในขณะนี้พลังของอาณาเขตสวรรค์เทียมได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิงและกระบี่ยาวในมือ เมื่อหลิงตู้ฉิงรู้สึกได้ว่าพลังที่ได้รับมานั้นเพียงพอแล้ว เขาก็เฉือนกระบี่ออก

“ธารกระบี่แยกสวรรค์!”

ในพริบตาที่หลิงตู้ฉิงเฉือนกระบี่ออก ลำแสงกระบี่ที่พร่างพราวก็ได้ปรากฎขึ้นแก่สายตาของทุกคน

เมื่อพวกเขามองไปที่ลำแสงของกระบี่นี้ มันราวกับว่าพวกเขาได้มองเห็นแม่น้ำแห่งกระบี่ทอดยาวต่อหน้าต่อตาพวกเขา

แต่จากนั้นเมื่อทุกคนยิ่งมองนานไปทุกคนก็รู้สึกราวกับว่าโลกที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาถูกแยกออกจากกัน กลายเป็นโลกที่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ

ความสวยงามแปลกตาแบบนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง

แต่หลังจากนั้นเสียงที่ดังขึ้น ‘ฉัวะ ฉัวะ’ ก็ได้ทำให้ทุกคนตื่นขึ้น ด้วยอาการตะลึง

เมื่อมองไปที่สถานการณ์ตรงหน้าพวกเขา ทุกคนก็ตกตะลึงอีกครั้ง

ขันทีทั้ง 12 คนกลายเป็นขันที 24 ร่างด้วยการเฉือนกระบี่เพียงครั้งเดียว พวกเขาทั้งหมดถูกแบ่งครึ่ง อสูรโลหิตทั้งสิบสองก็กลายเป็น 24 เช่นกัน และแน่นอนสภาพศพของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากเหล่าขันที

หลังจากการตายของอสูรโลหิต ชั้นของหมอกโลหิตที่ปกคลุมบนร่างกายของพวกมันก็สลายไป จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าร่างที่แท้จริงของอสูรโลหิตเป็นอะไรที่ดูเหมือนค้างคาว

พวกมันมีปีกสองข้าง ขาโก่งและหัวลีบ ซี่งดูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก

นี่คงอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมอสูรโลหิตถึงต้องปกคลุมตัวเองด้วยหมอกเลือดตลอดเวลา และทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกมันได้ชัดเจน?

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้สนใจถึงความน่าเกลียดของอสูรโลหิตอีกต่อไป พวกเขามีเพียงความคิดเดียวคือ ต้องเผ่น!

แต่พวกเขาจะหนีไปได้อย่างงั้นเหรอ?