บทที่ 1854+1855

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1854 บุพเพสันนิวาสสุขียั่งยืน 4

อวิ๋นเยียนหลีขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยขึ้น “หย่าเอ๋อร์ ไม่อนุญาตให้พูดเหลวไหล! ความจริงแล้วถุงหนังจะอัปลักษณ์หรืองดงามก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น พวกเราล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไยต้องใส่ใจด้วยเล่าว่าถุงหนังน่ามองหรือไม่? เราผู้เป็นอ๋องให้แม่นางกู้ถอดหน้ากาก ก็เพียงเพราะเคารพต่อกฎเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่น เชื่อว่าไม่ว่าทุกคนจะเห็นรูปโฉมนางเป็นอย่างไร ก็ล้วนไม่ดูหมิ่นด้วยจุดนี้…”

ถึงแม้เขาจะพูดเพื่อกู้ซีจิ่ว แต่ในใจก็คล้ายว่าจะตัดสินไปแล้วเช่นกันว่าเหตุผลที่กู้ซีจิ่วสวมหน้ากากเช่นนี้ เพราะรูปโฉมน่ารันทดจริงๆ…

หลงซือเย่พลันเปิดปากเอ่ยขึ้น “นางไม่ได้อัปลักษณ์! นางงามมาก!”

องค์หญิงหย่าขำคิกๆ คราหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ความหมายของการหัวเราะกลับชัดเจนอยู่แล้ว

ที่กู้ซีจิ่วละล้าละลังเมื่อครู่นี้คือกำลังคุยกับหยกนภาอยู่ ถามมันว่าแดนพ้นโศกมีกฎข้อนี้อยู่จริงหรือ หลังจากได้รับคำตอบจากหยกนภาแล้วว่าจริง เธอจึงคิดจะถอดหน้ากากแล้ว

เธอไม่ได้แล่นขึ้นมายังดินแดนเบื้องบนเพื่อหาเรื่องวิวาท อีกถึงถึงอย่างไรก็หัวเดียวกะเทียมลีบ อย่างที่สุภาษิตว่าไว้เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เธอไม่จำเป็นต้องขัดแย้งต่อต้านผู้อื่น

อีกอย่างใบหน้าของเธอก็ไม่ได้มีอะไรที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้…

เธอกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเพียงแต่สวมหน้ากากจนเคยชินแล้ว มิได้มีสิ่งใดที่ให้ผู้อื่นเห็นไม่ได้” ยื่นมือขึ้นปลดหน้ากากบนหน้าลง เผยโฉมหน้าแท้จริงเบื้องหลังหน้ากากออกมา

รอบข้างเงียบกริบลงทันที

นางไม่เพียงแต่ไม่อัปลักษณ์เท่านั้น ยังงดงามยิ่งนักด้วย!

เครื่องหน้างดงามล้ำเลิศ คิ้วคมเข้ม ดวงเนตรดุจดารา คงจะเป็นเพราะไม่ได้พบแสงแดดมานานปี ริมฝีปากของนางจึงซีดจางเล็กน้อย แต่รูปปากกลับงดงามสมบูรณ์แบบยิ่ง

เกศานิลอาภรณ์ดำ ผิวพรรณของนางที่ลอดออกมาขาวกระจ่างปานหยกมันแพะ ไม่มีตำหนิเลยสักนิด

บุคลิกของนางเย็นชา กายคนดั่งเมฆาที่ล่องลอยอยู่บนนภาสูง ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้วแต่กลับข่มใจไม่อยู่ปรารถนาจะชิดใกล้…

ความงามของนางมีผลกระทบรุนแรงเหลือเกิน ทำให้บุรุษทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์มองกันจนทึ่มทื่อไปหมดแล้ว! กลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

แม้แต่ดวงตาของอวิ๋นเยียนหลีก็สาดแสงแวบหนึ่ง ตะลึงไปชั่วครู่

ดวงหน้าพริ้มเพราขององค์หย่าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีดแล้ว!

รูปโฉมของนางเป็นอับดันต้นๆ ของภพเซียน ไม่มีคู่เปรียบเทียบก็ไม่มีความเสียหาย นางหลงนึกไปว่าจะสามารถใช้รูปโฉมทำให้กู้ซีจิ่วอับอายได้ กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อเทียบกับรูปโฉมของกู้ซีจิ่ว นาง…เป็นฝ่ายเสียหายแล้ว…

สามัญจนไม่อาจสามัญไปกว่านี้ได้อีก!

สตรีที่อยู่ในเหตุการณ์นอกจากองค์หญิงหย่ากับสาวใช้ของนางอีกสองคน ก็มีเพียงกู้ซีจิ่วเท่านั้น

แต่สาวใช้สองคนนั้นถอยไปอยู่วงนอกแล้ว ดังนั้นสายตาของฝูงชนจึงอดไม่ได้ที่จะมองสลับไปมาระหว่างกู้ซีจิ่วกับองค์หญิงหย่า ทำการเปรียบเทียบตามสัญชาตญาณ

ผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบคือองค์หญิงหย่าพ่ายแพ้หลุดลุ่ย…

ผู้คนล้วนมีสัญชาตญาณในการไล่ตามความงาม โดยเฉพาะกับเหล่าบุรุษ ไม่ว่าจะบำเพ็ญถึงระดับใดแล้ว การชมชอบมองโฉมงามล้วนเป็นสัญชาตญาณของพวกเขา ด้วยเหตุนี้สายตาที่ร่อนลงบนใบหน้าของกู้ซีจิ่วจึงเพิ่มมากขึ้น…

ถึงแม้ทุกคนจะไม่พูดอะไร แต่สายตาเหล่านั้นทำให้องค์หญิงหย่าพานโกรธขึ้นมา นางหัวเราะหยันคราหนึ่ง “แม่นางกู้ผู้นี้มีดวงหน้าเลิศล้ำ เพียงแต่รูปร่างนี้…”

องค์หญิงหย่าอกอวบสะโพกผาย รูปร่างเลิศล้ำยิ่ง!

โฉมงามจะประชันความงามหาใช่ที่โฉมหน้าเท่านั้น รูปร่างก็สำคัญมากเช่นกัน

กู้ซีจิ่วคร้านจะสนใจนาง อีกทั้งเธอไม่ได้มาเพื่อประชันความงาม!

ดังนั้นเธอก็สวมหน้ากากลงบนใบหน้าอีกครั้ง เอ่ยอย่างเฉยชา “ยามนี้ไม่มีเรื่องใดแล้วกระมัง? ขอตัวลาแล้ว” หันหลังจากไปเลย

ฝูงชนล้วนเศร้าเสียดาย พวกเขายังมองไม่พอเลย…

องค์หญิงหย่าเสียหน้าแล้ว ในใจโกรธเกรี้ยว ทว่าไม่กล้าแสดงออกมาต่อหน้าอวิ๋นเยียนหลี ดึงมืออวิ๋นเยียนหลีไว้อย่างเอาอกเอาใจ “ข้าบ่มสุราโพธิ์ชนิดใหม่แล้ว เสด็จพี่อยากตามข้าไปชิมหรือไม่?”

“ไม่ต้องหรอก หย่าเอ๋อร์ พี่ต้องมีธุระต่อ เจ้าไปเล่นคนเดียวเถิด ส่วนสุราวันหน้าพี่จะหาเวลาไปดื่ม” อวิ๋นเยียนหลีชักมือตัวเองออก หันหลังจากไปเช่นกัน

—————————————————————-

บทที่ 1855 หมกมุ่น

‘เจ้านาย ท่านว่าองค์ชายอวิ๋นเยียนหลีผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง?’ หยกนภาสอบถาม

“เป็นอย่างไรเช่นใด?”

‘อืม ท่านคิดว่าเขา…เขาเป็นคนยังไง?’

“เจ้าแผนการยิ่งนัก เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง”

‘เช่นนั้นท่าน…ชอบคนประเภทเขาหรือไม่? ข้าเห็นท่านมองเขาอยู่หลายแวบเลย…’

กู้ซีจิ่วตอบมันเพียงสี่คำ “เจ้าคิดมากแล้ว!”

เธอแค่สนใจในอาภรณ์สีม่วงของเขาเท่านั้น โดยเฉพาะฉากที่เขาควบขี่อาชาสวรรค์เข้ามาค่อนข้างมีผลกระทบต่อเธอ ราวกับเคยเห็นฉากนี้ที่ไหนมาก่อน…

‘เจ้านาย ตอนนี้พวกเขามาถึงดินแดนเบื้องบนแล้ว ท่านดีใจบ้างไหม? ต่อไปพวกเราต้องทำอะไรต่อ?’

ดีใจไหมน่ะหรือ?

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองดีใจเลย

ส่วนการดำเนินการขั้นต่อไปเธอยังไม่มีเป้าหมายอะไรเช่นกัน สัญชาตญาณของเธอต้องการตามหาบางอย่าง แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองต้องการตามหาอะไรกันแน่

ตามหาบุรุษในชุดม่วงหรือ?

ตอนนี้หาพบคนหนึ่งแล้ว แต่สัมผัสได้ว่าไม่ใช่…

“ไปเดินเล่นรอบๆ ดินแดนเบื้องบนแห่งนี้ก่อนเถอะ” เธอก้าวเดินไปพลาง ชมดูทิวทัศน์รอบข้างอย่างเรื่อยเปื่อยไปด้วย

ความจริงแล้วแดนพ้นโศกแห่งนี้ไม่ต่างไปจากแดนมนุษย์มากนัก มีผู้คนสัญจรไปมา

และมีตลาด มีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ นานา

ที่แตกต่างไปจากแดนมนุษย์คือ ข้าวของที่ขายในตลาดล้วนเป็นวัตถุวิญญาณ สัตว์วิญญาณ โอสถวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณ ข้าววิญญาณ แป้งวิญญาณ…เครื่องเรือนที่สร้างจากพฤกษาวิญญาณหินวิญญาณ ซ้ำยังมีของวิเศษบางอย่าง ศาตราวุธต่างๆ ด้วย มากมายละลานตา

ในตลาดมีผู้คนไม่น้อยเลย สวมใส่แต่งกายเช่นใดล้วนมีหมด แต่ก็มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นกัน

สีสันของเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ล้วนเข้ากับระดับบำเพ็ญของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่นเสี่ยวเซียนล้วนสวมใส่สีฟ้าอ่อน หยวนจวินล้วนสวมใส่สีขาวซีด เสินจวินเป็นสีชมพูอ่อน…

ถึงแม้สีสันจะเป็นเช่นเดียวกัน แต่รูปแบบยังคงมีการประดับประดาเสียใหม่ ดูๆ ไปแล้วก็วิจิตรงดงามเช่นกัน

พลังวิญญาณที่แดนพ้นโศกแห่งนี้หนาแน่นกว่าที่โลกเบื้องล่างมากจริงๆ ฝึกฝนอยู่ที่นี่หนึ่งวันเทียบได้กับฝึกฝนอยู่ที่โลกเบื้องล่างหนึ่งเดือน

ที่แดนพ้นโศกแห่งนี้ ไม่พบเห็นผู้คนที่สวมใส่สีดำเลย กู้ซีจิ่วจึงดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นยามที่เดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน ย่อมดึงดูดให้ฝูงชนมุงดูคาดเดา

โชคดีที่ความเร็วของกู้ซีจิ่วว่องไวนัก เมื่อถูกมุงดูจนรำคาญ ก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายเสีย ทำให้คนพวกนั้นมองไม่เห็นเธออีก

‘เจ้านาย ที่แดนพ้นโศกไม่มีใครใส่ชุดดำเลย คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเป็นตัวแทนของความมืดมน ท่านสวมชุดดำจึงสะดุดตาเกินไป’หยกนภาเกลี้ยมกล่อมเธอ ‘ไม่สู้ท่านเปลี่ยนไปใส่สีอื่นจะดีกว่า?’

กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยถามเสียเลย “จากที่เจ้ากล่าวมาคือ ผู้คนของภพมารสวมใส่สีดำงั้นหรือ?”

‘เรื่องนี้…ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน ข้าก็ยังไม่เคยเห็นภพมารของที่นี่เลย’ หยกนภาตอบ

กู้ซีจิ่วนั่งลงบนต้นไม้ใหญ่ที่ที่ดูคล้ายกับต้นไป๋อวี้ มองดูฝูงคนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านล่าง แลดูเฉื่อยชาอยู่บ้าง

หยกนภาเห็นว่านางยังคงมีท่าทางเซื่องซึมไม่สดใสอยู่เช่นเดิม จึงค่อนข้างกลัดกลุ้ม เอ่ยแนะว่า ‘เจ้านาย ทิวทัศน์ของที่นี่แตกต่างจากที่นั่นของพวกเรามากเอาการ พวกเราไปเดินดูกันอีกรอบไหม?’

กู้ซีจิ่วมองคนที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้น จู่ๆ ก็เอ่ยถามหยกนภาประโยคหนึ่ง “เจ้าว่าด้วยวรยุทธ์ของข้า หากว่าโบยบินขึ้นมาสู่ที่นี่ สมควรจะใส่อาภรณ์สีใด?”

หยกนภาเงียบงัน เรื่องนี้มันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

เจ้านายบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว หากว่าตอนนั้นนางไม่ใช่ว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ ก็คงทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมาแล้ว โบยบินขึ้นมาเป็นเซียน…

แต่พลังยุทธ์ของเจ้านายในตอนนี้…

แม้แต่หยกนภาก็หยั่งระดับความลึกล้ำของนางไม่ได้แล้ว!

อย่างไรเสียนับตั้งแต่ตี้ฝูอีดับขันธ์ไป เธอก็ไม่เคยประมือกับผู้ใดอีก นานๆ ครั้งถึงจะลงมือสักหนก็รุนแรงดุจสายฟ้า

———————————-