ตอนที่ 398 ช่วยเหลือ

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันเข้าไปสั่งให้ในครัวจัดโต๊ะอาหารสำหรับงานเลี้ยงใหญ่ แล้วนางยังถึงขั้นลงมือทำน้ำแกงด้วยตัวเอง นี่เป็นน้ำแกงที่นางเตรียมเอาไว้ให้หลี่เย่โดยเฉพาะ…ในเมื่อจัดงานเลี้ยงขึ้น แน่นอนว่าจะขาดการดื่มเหล้าไปไม่ได้ ดังนั้นจึงทำน้ำแกงแก้เมาเตรียมเอาไว้เสียก่อน ดีกว่าพอถึงเวลาที่ต้องใช้แล้วไม่มี

ส่วนทหารองครักษ์ที่ขันทีเป่าฉวนพามาด้วยนั้น ถาวจวินหลันก็สั่งให้คนจัดการให้เรียบร้อย และจัดโต๊ะอาหารส่งออกไปให้ นอกเหนือจากนั้น ยังได้ให้คนจัดถุงอั่งเปาที่มีเงินและทองส่งไปมอบให้คนละหนึ่งถุง

แน่นอนว่า คนในบ้านพักก็ได้รับรางวัลเช่นกัน หนึ่งคนได้รางวัลเป็นเงินหนักหนึ่งตำลึง บวกกับผ้าเนื้อดีหนึ่งพับ ถึงอย่างไรการได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋องก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ หากไม่ใช่เป็นเพราะอยู่ที่บ้านพัก เกรงว่าในตอนนี้นางคงจะต้องครุ่นคิดถึงเรื่องการเชิญญาติและเพื่อนสนิทมาร่วมงานเลี้ยงแล้ว

ถึงอย่างไร มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ก็จะปล่อยให้เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้มิใช่หรือ? ต้องจัดงานให้คึกคักเสียหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากออกหน้าออกตา แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องกัดฟันออกหน้าออกตาแล้ว ช่วยไม่ได้ เพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ

ด้วยหลี่เย่ต้องคอยต้อนรับขันทีเป่าฉวน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเตรียมโต๊ะอาหารไว้ในเรือนด้านหลังอีกโต๊ะเพื่อที่นางและกู่อวี้จือกับจิ้งหลิงจะได้ร่วมฉลองด้วยกัน

เทียบกับความดีใจของพวกบ่าวที่ไม่รู้เรื่องมากแล้ว ใบหน้าของจิ้งหลิงกับกู่อวี้จือต่างก็มีความกังวลแสดงออกมาเล็กน้อย

ถาวจวินหลันมองออก แต่นางกลับทำเป็นไม่เห็นอะไร เรื่องนี้ถึงแม้นางจะพูดอะไรออกไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่ต้องเกิดก็ต้องเกิด เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

แต่ทว่าถาวจวินหลันก็ยังพูดเตือนทั้งสองคนขึ้นมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไร “ต่อไปหากไม่มีธุระอะไร พวกเจ้าก็พยายามอย่าออกจากจวนอ๋อง นอกเหนือจากนั้นคนที่ไม่รู้พื้นหลังเป็นอย่างดี ก็อย่าเอามาไว้ข้างกาย หากรู้สึกว่าคนผู้นั้นมีอะไรผิดปกติ ก็ให้ส่งออกไปนอกจวนอ๋องจะดีที่สุด” เรือนเฉินเซียงนั้นนางไม่กังวล แต่นางกังวลเรือนของผู้อื่นมากกว่า

ถึงแม้ว่าหลี่เย่จะไปเรือนอื่นน้อยครั้งมาก แต่ถึงอย่างไรเพื่อไว้หน้าแล้วก็จะต้องไปบ้างเป็นบางครั้ง ถึงแม้ว่าจะไปเพื่อนั่งอยู่สักพักก็เท่านั้น

“อีกทั้ง อย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อย เรื่องอะไรที่รู้ก็เก็บเอาไว้ในใจ เรื่องที่ไม่รู้ก็อย่าคาดเดามั่วซั่ว” ถาวจวินหลันถอนใจเล็กน้อย “ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดี พวกเจ้าควรจะดีใจซี ไม่อย่างนั้นหากใครมาเห็นเข้า จะรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่ประสงค์ดีเอาได้”

กู่อวี้จือและจิ้งหลิงต่างออกมาจากวังหลวง ย่อมเข้าใจความหมายของเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี จึงต่างรับคำ

ตกดึกรอจนหลี่เย่กลับมาแล้ว ถาวจวินหลันก็เอาน้ำแกงแก้เมาให้หลี่เย่ดื่ม แล้วก็ช่วยอาบน้ำให้เขา…ในตอนนี้หลี่เย่จะอาบน้ำเองก็ไม่สะดวกเท่าไรนัก จึงต้องมีคนคอยช่วยเขา

ตอนอาบน้ำนั้น หลี่เย่กลับไม่ทำอะไรรุ่มร่ามเหมือนที่ผ่านมา แต่นั่งทำหน้านิ่งขรึม

ถาวจวินหลันเห็นแล้ว ก็รู้ว่าขันทีเป่าฉวนต้องพูดอะไรอย่างแน่นอน นางจึงรู้สึกแปลกใจ หลังจากควบคุมตัวเองอยู่สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวถามออกไปว่า “มีเรื่องอะไรรึ?”

“เสด็จพ่อมอบทหารองครักษ์ให้ข้า” หลี่เย่ไม่ปิดบังนาง แล้วพูดต่อ “บอกว่าเพื่อดูแลความปลอดภัยของข้า”

ถาวจวินหลันรู้ถึงความเย้ยหยันในน้ำเสียงของเขา หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพักก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “นี่เป็นเรื่องดี…ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อไปไม่ว่าท่านจะไปที่ใด จะทำอะไรก็จะปลอดภัยอย่างมาก”

“แต่ข้างกายข้าก็จะมีคนคอยสอดแนมเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย” สีหน้าของหลี่เย่ดูเย็นชา “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปไม่ว่าข้าจะทำอะไร ต่างก็อยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด” พูดตรงๆ ก็คือ ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะไม่เชื่อใจเขา

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สักพักถึงได้พูดโน้มน้าวว่า “ถึงอย่างไรพระองค์ก็เป็นเสด็จพ่อของท่าน อีกทั้งพระองค์ยังเป็นฮ่องเต้” สักพักก็รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองดูล่องลอยไม่มีน้ำหนักมากเกินไป จึงพูดต่ออีกว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี นอกจากจะได้ปกป้องความปลอดภัยของท่านแล้ว ยังใช้โอกาสนี้เพิ่มความเชื่อใจจากฮ่องเต้มากขึ้นได้มิใช่รึ? เพียงแค่พวกเราไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำ ฮ่องเต้ต้องเข้าใจความคิดของพวกเราอย่างแน่นอน”

หลี่เย่ขมวดคิ้ว “แต่มีเรื่องบางอย่างที่ต่อไปจะไม่สะดวกแล้ว” เช่นเรื่องความเคลื่อนไหวบางอย่างที่เป็นความลับ เรื่องพวกนี้ไม่สามารถทำได้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะบอกว่าเขายิ่งมีฐานะสูงส่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการถูกควบคุม

“ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางตามท่านเข้ามาในเรือนด้านในได้” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “หากท่านอ๋องเชื่อใจข้า ข้าก็เป็นคนกลางที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ได้ ยืมมือของผู้หญิงในเรือนด้านในคอยส่งข่าว เรื่องนี้เกรงว่าฮ่องเต้คงคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน”

ถึงอย่างไร ในบ้านทั่วๆ ไป เวลาที่ผู้ชายทำเรื่องอะไรลงไปก็ไม่มีทางเอามาบอกกับหลี่เย่ทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรียกผู้หญิงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ แต่จำต้องพูดว่า ใช้ผู้หญิงส่งข่าวถือว่าเป็นเรื่องสะดวกอย่างมาก

เนื่องจากคนอื่นต่างก็คิดไม่ถึง ย่อมไม่มีทางสงสัย แล้วถึงแม้ว่าจะสงสัย แต่ก็สืบหาอะไรไม่ได้

ท่าทีของหลี่เย่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็ค่อยๆ หัวเราะออกมาเบาๆ “นี่ถือเป็นวิธีปกปิดผู้อื่นอย่างดีที่สุด” ผู้หญิงที่อยู่แต่ในเรือน จะมีใครมาสนใจ? อีกทั้ง ในตอนนี้ถาวจวินหลันจะต้องคอยดูแลเรื่องภายในของจวนอ๋องอยู่ทุกวัน จะต้องเจอกับผู้หญิงที่ช่วยนางจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ไม่น้อย หากใช้วิธีนี้ส่งข่าวก็ถือว่าง่ายดายเลยทีเดียว

ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่าเขาคิดบางอย่างได้แล้ว จากนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้…สำหรับนางการที่ช่วยเหลือเขาได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่นางดีใจที่สุด

“หลิวเอินคอยดูแลเรื่องกิจการค้าขาย ถึงอย่างไรก็จะต้องเข้ามาในจวนอ๋องบ่อยๆ อยู่แล้ว” หลี่เย่คิดแล้ว ก็รู้สึกว่าเลือกคนที่เหมาะสมได้แล้ว “อีกทั้งเขายังเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาด อีกทั้ง เขาเองก็เคยช่วยข้าจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ไม่น้อย ตอนนี้มอบเรื่องนี้ให้เขา ข้าเองก็วางใจ อีกทั้งเขายังเป็นขันที จะเข้าออกเรือนด้านในก็ถือว่าสะดวก”

“ท่านจัดการให้ดีเถิด ส่วนที่เหลือก็มอบให้ข้า” ถาวจวินหลันพูดอย่างมั่นใจ

หลี่เย่พยักหน้า แล้วก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ รอจนกระทั่งคิดไปสักพัก ฉับพลันก็คิดอย่างหนึ่งได้ แล้วก็เอ่ยปากถามถาวจวินหลันไปว่า “ตอนนี้ได้รับแต่งตั้งเป็นชินอ๋องแล้ว อย่างไรก็จะต้องเข้าวังไปขอบพระทัย เพียงแต่ตอนนี้พวกเรายังอยู่ที่บ้านพัก เจ้าว่า พวกเราควรรีบกลับไปเมืองหลวงดีรึไม่?”

ถาวจวินหลันชะงัก แม้แต่มือที่คอยเอาน้ำลูบบนตัวของหลี่เย่ก็ชะงักกึก ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก นางถึงพูดออกมาว่า “หากไม่เข้าวังไปขอบพระทัย ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่รู้จักกฎระเบียบ แล้วยังยโสโอหัง แต่ระยะทางก็ไกล อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บ…หากว่ารีบร้อนกลับไปเช่นนี้ ก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเราเป็นพวกเห็นแก่ได้จนเกินไป”

“เกรงว่าจะมีใครคอยจ้องจับผิดเอาได้” หลี่เย่พูดเสริม

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถือว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยาก”

หลี่เย่ถอนใจ “เป็นเรื่องยากจริงๆ เมื่อครู่ข้าถามขันทีเป่าฉวน แต่ขันทีเป่าฉวนเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง จึงไม่ยอมปริปากแสดงความเห็นแม้แต่น้อย”

ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “เขาช่วยท่านมาไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เรื่องนี้ก็น่าจะแสดงความคิดออกมาเสียหน่อย”

“เรื่องนี้ เขาจะเลือกแทนข้าได้อย่างไร?” หลี่เย่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ขันทีพวกนี้ แต่ละคนต่างเจ้าเล่ห์และรู้จักเอาตัวรอดกันทั้งนั้น”

ถาวจวินหลันเข้าใจเป็นอย่างดี “ถึงอย่างไรสภาพในวังหลวงก็เป็นเช่นนั้น ใครจะไม่กลัวตายกันเล่า? ใครจะอยากสละชีวิตตัวเองกัน? จะระแวดระวังตัวก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว โดยเฉพาะข้ารู้สึกว่าคนอย่างพวกเขานี่แหละ ถึงเป็นคนที่มองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งที่สุด” ต้องประจบประแจงใคร ต้องจงรักภักดีกับใคร พวกเขาต่างรู้ดีแก่ใจยิ่งกว่าใคร แน่นอนว่า ใครเป็นคนที่ดูแล้วมีอนาคตมากที่สุด สายตาของพวกเขามองออกได้อย่างชัดเจน

หลี่เย่พยักหน้า แล้วสลัดเรื่องพวกนี้ออกไป “ขันทีเป่าฉวนยังบอกข้าอีกเรื่อง…เสด็จพ่อยึดอำนาจการจัดการฝ่ายในของฮองเฮาแล้วมอบให้เสด็จแม่ของจวงอ๋องและอู่อ๋อง”

ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วพูดอย่างมั่นใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฐานะของจวงอ๋องและอู่อ๋องก็ถือว่าสูงขึ้น ท่านว่าต่อไปฮ่องเต้จะทรงสนพระทัยพวกเขาทั้งสองคนมากขึ้นหรือไม่?”

หลี่เย่พยักหน้า “หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น”

เขาและถาวจวินหลันต่างเดาความคิดของฮ่องเต้ออก ทำลายความไม่เท่าเทียมในตอนนี้ แล้วกดอำนาจของฝ่ายฮองเฮาลง แน่นอนว่า ในนั้นก็รวมถึงคังอ๋องอีกด้วย

“เหิงกั๋วกงเสนอให้แต่งตั้งคังอ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เสด็จพ่อทรงปฏิเสธ แต่เหิงกั๋วกงกลับกล้าแสดงท่าทีบีบบังคับต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เสด็จพ่อทรงกริ้วเป็นอย่างมาก” หลี่เย่เอาเรื่องที่ขันทีเป่าฉวนเล่าให้ฟังมาประติดประต่อกัน “เสด็จพ่อทรงเขียนราชโองการแต่งตั้งข้าเป็นชินอ๋อง จากนั้น โรคเก่าของฮองเฮาก็กำเริบ แล้วเสด็จพ่อก็ทรงยึดอำนาจการดูแลฝ่ายในจากฮองเฮา”

ถาวจวินหลันรู้สึกใจเต้น “ท่านว่า ฮ่องเต้ทรงตั้งใจเช่นนี้หรือไม่?”

หลี่เย่ขมวดคิ้ว “ทำไมรึ?”

“อำนาจของเหิงกั๋วกงมีมาก ที่สำคัญก็มาจากฮองเฮาและคังอ๋อง ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วเหิงกั๋วกง ทรงอยากกดอำนาจของจวนเหิงกั๋วกง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือกดอำนาจของฮองเฮาไปก่อน เพื่อเป็นการเตือน ส่วนฮองเฮานั้นเกรงกลัวท่านมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านกลับมาพูดได้ ท่านว่า หลังจากฮองเฮาทรงทราบว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็นชินอ๋องแล้วจะมีท่าทีเช่นไร? คิดว่าจะต้องนั่งไม่ติดอย่างแน่นอน ส่วนฮองเฮายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ฮ่องเต้ก็ทรง…เป็นการวางแผนมาอย่างดีแล้ว อีกทั้งท่านยังเป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่ให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยจนลงมือทำเรื่องเลวร้ายได้ แน่นอนว่า ท่านเป็นเครื่องมือทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย”

ยิ่งถาวจวินหลันพูดมากขึ้นเท่าไร รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของหลี่เย่ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น พอถาวจวินหลันพูดจบแล้ว ใบหน้าเย้ยหยันของหลี่เย่ก็ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ “ใช่ซี ผลประโยชน์ของเรื่องนี้มีมากมายมหาศาล ตอนนี้ดูไปแล้ว ตำแหน่งชินอ๋องของข้า ก็มีประโยชน์ขึ้นมาไม่น้อยเลย”

“ท่านอายุน้อยเช่นนี้ หากพูดตามจริงล่ะก็ จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร?” เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น ถาวจวินหลันจึงแกล้งพูดล้อเล่นไปว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าท่านยังอายุไม่ถึงสามสิบ เกรงว่าท่านอายุสี่สิบกว่าแล้ว ก็อาจจะไม่ได้รับตำแหน่งชินอ๋องนี้ด้วยน่ะซี”

พอพูดเช่นนี้แล้ว หลี่เย่ก็หัวเราะออกมาทันที “ใช่น่ะซี ถือว่าข้าได้ผลประโยชน์แล้ว เจ้าว่า เวลานี้บรรดาพี่ชายน้องชายของข้าจะรู้สึกเช่นไร?”

“คังอ๋องจะต้องนั่งไม่ติดเป็นแน่ ส่วนจวงอ๋องและอู่อ๋อง จะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วหรี่ตาพูดด้วยท่าทีเยาะเย้ย

หลี่เย่หัวเราะออกมา “ไม่เพียงแต่อิจฉา เกรงว่าคงไม่ยอมรับ แต่ไหนแต่ไรสองคนนั้นก็ไม่เห็นพี่รองที่ไร้ค่าเช่นข้าอยู่ในสายตา รู้สึกว่าพวกเขาต่างดีกว่าข้าไปเสียทุกอย่าง”

“ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้พวกเขารักตัวกลัวตาย ไม่กล้าออกไปรบกันเล่า?” ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ถึงแม้ว่าฮ่องเต้ทรงอยากจะแต่งตั้งพวกเขา ถึงอย่างไรก็จะต้องมีเหตุผลมิใช่หรอกรึ? พวกเขาวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นสนุก พวกเขาทำอะไรบ้าง?”

ถาวจวินหลันไม่ชอบจวงอ๋องและอู่อ๋องมาแต่ไหนแต่ไร…ตั้งแต่ที่อยู่ในวังหลวง บางทีสาเหตุอาจด้วยคำพูดพวกนั้นที่องค์ชายเจ็ดพูดออกมา ถึงได้ทำให้นางรู้สาเหตุจริงๆ ที่หลี่เย่ต้องได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น

สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าหลี่เย่จะเป็นเช่นไร ก็เป็นพี่รองของพวกเขา ทำแบบนี้กับพี่น้องของตัวเอง…ดูออกจะไร้คุณธรรมมากเกินไปหน่อย