ตอนที่ 657 สตรีชั่วช้า
อาหญิงดูเหมือนไม่เข้าใจคำถามของอันหลิงเกอ นางจึงเงยหน้ามองอันหลิงเกอนิ่ง ๆ เหมือนกำลังรอให้อันหลิงเกออธิบายอยู่ จนกระทั่งอันหลิงเกอหัวเราะออกมาเพราะอีกฝ่ายช่างไร้สติปัญญาเสียจริง เฝิงเยว่เอ๋อช่างเหมือนอาหญิงไม่มีผิดเพี้ยน
“ข้าถามว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนทำร้ายนาง ? ” อันหลิงเกอตั้งใจแสร้งทำมิรู้เรื่องที่เฝิงเยว่เอ๋อพยายามผูกคอตาย ประโยคนั้นทำให้ทุกคนนิ่งงันเพราะอันหลิงเกอมิใช่คนที่ทำร้ายเฝิงเยว่เอ๋อจริง ๆ
“หากเจ้ามิได้พูดจาว่าร้ายนางแล้วนางจักคิดสั้นได้เยี่ยงไร ! ”
ได้ยินดังนั้นแล้ว คนที่อยู่รอบข้างก็ต้องการทวงความเป็นธรรมให้แก่เฝิงเยว่เอ๋อ แต่ละคนจึงเริ่มต่อว่าอันหลิงเกอ เพราะเดิมทีพวกเขามิได้ชื่นชอบพระชายาผู้นี้อยู่แล้ว
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านก็บีบให้สนมจากเผ่าพิษหนอนกู่ฆ่าตัวตายเช่นกัน” หนึ่งในคนเหล่านั้นเอ่ยเสริมขึ้นมา คำพูดของมนุษย์ช่างน่ากลัวยิ่งนัก มินานทุกคนก็ล้อมเข้ามาจ้องอันหลิงเกอราวกับเป็นนักโทษที่ทำผิดมหันต์
“ใช่ใช่ใช่ ชื่อว่าอันใดนะ ฟางหย่าเกอใช่หรือไม่ มิหนำซ้ำสตรีนางนั้นกำลังตั้งครรภ์บุตรของท่านอ๋องด้วย” อีกคนทำทีพูดออกมาราวกับสงสารคนตายเสียเต็มประดา ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาเองก็ดูถูกอนุภรรยาผู้นั้นเช่นกัน
“เป็นอย่างไร คงมิต้องให้ข้าพูดอันใดแล้วกระมัง ? ” เมื่ออาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อเห็นคนมากมายกล่าวแทนเช่นนี้จึงมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใดอีก นางเชิดหน้ามองอันหลิงเกอทันที
“เหลวไหล พวกเจ้าต้องการมาสอบสวนข้าเรื่องในอดีตหรือมาตำหนิข้าเรื่องวันนี้กันแน่ ! ” น้ำเสียงของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความแข็งกระด้างพลางถลึงตาจ้องไปที่อาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อโดยไม่กะพริบ
เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิงเกอแล้ว นางก็มิกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก ทำได้เพียงดึงชายเสื้อของผู้เป็นสามีโดยหวังว่าเขาจักช่วยทวงความยุติธรรมให้หลานสาวและภรรยาได้
“สตรีผู้นี้ป่าเถื่อนยิ่งนัก ! ” ท่านอาของเฝิงเยว่เอ๋อแค่เอ่ยปากก็โยนความผิดทั้งหมดให้แก่อันหลิงเกอทันที นางอดหัวเราะเยาะออกมามิได้ ท่าทางถือดีราวกับตนเป็นผู้อาวุโสนี้ได้มาจากที่ใดกัน
ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็เห็นว่าด้านหลังของฉากกันลมมีคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามา ชุดคลุมสีดำสนิทนั้นทำให้อันหลิงเกอรู้ได้ทันทีว่าคือมู่จวินฮานอย่างแน่นอน
‘เพียะ’
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าอันหลิงเกอคงจะพูดอันใดมิออก นางก็ยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของอาหญิงอย่างแรง ตบนี้แรงกว่าที่อีกฝ่ายตบนางเมื่อครู่มากนัก
“เจ้ามิใช่พ่อแม่ของข้า ทั้งยังมิใช่ญาติพี่น้องของข้าด้วย มองจากตำแหน่งแล้วยังต่ำต้อยกว่าข้ามากนัก แล้วมีสิทธิ์อันใดมาตบหน้าข้า ! ” อันหลิงเกอสะบัดฝ่ามือที่ชาไปมาพร้อมจดจ้องใบหน้าอาหญิงขณะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เมื่อได้ยินดังนั้นอาหญิงถึงขั้นตกตะลึงทันที พริบตาเดียวใบหน้าของนางก็เห่อบวม มองแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก ใบหน้าที่งดงามบวมแดงไปด้วยรอยนิ้วมือเสียแล้ว
“ท่านอ๋องไปเอาสตรีชั่วช้าเช่นเจ้ามาจากที่ใด ! ” อาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อราวกับคนเสียสติก็มิปาน จากนั้นนางก็พุ่งตัวเข้าใส่อันหลิงเกอโดยมิสนใจสิ่งรอบตัวอีกแล้ว
ส่วนอันหลิงเกอค่อย ๆ หลับตาลง ทว่าสีหน้ามิได้มีความหวาดกลัวเลย
เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ อาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อมิได้เข้าถึงตัวนางด้วยซ้ำ
เมื่ออันหลิงเกอลืมตาขึ้นก็พบว่ามู่จวินฮานมายืนอยู่เบื้องหน้าของนางแล้ว อีกทั้งฝ่ามือข้างหนึ่งของเขายังต้านแรงอาหญิงไว้อีกด้วย
อาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อก็ตกตะลึงเช่นกัน เดิมทีพวกนางคิดว่าท่านอ๋องคงอยู่กับเฝิงเยว่เอ๋อจึงกล้ามากล่าวโทษอันหลิงเกอเช่นนี้
“สตรีชั่วช้าอย่างนั้นหรือ ? ” ใบหน้าของมู่จวินฮานเผยรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจออกมา เขาก้มมองสตรีผู้นั้นเพื่อกดดันให้ตอบคำถามของตน
ตอนนั้นเอง ท่านอาของเฝิงเยว่เอ๋อจึงรีบดึงอาหญิงให้คุกเข่าลง คนที่โอหังและอวดดีเมื่อครู่บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว พวกเขาต่างหวาดกลัวมู่จวินฮานจับใจ
รอยนิ้วมือบนใบหน้าของอันหลิงเกอบาดตามู่จวินฮานถึงเพียงนี้ เขาปล่อยให้นางถูกทำร้ายอีกแล้ว จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ใช้มือลูบไล้ไปตามรอยแดงบนแก้มของนาง
อันหลิงเกอรับรู้ถึงสัมผัสเย็น ๆ ขณะที่มู่จวินฮานลูบไล้ใบหน้าของนาง เพียงมินานความเจ็บก็เหมือนจะจางลงมิน้อย
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้นมู่จวินฮานก็ดันตัวอันหลิงเกอให้มาอยู่ด้านหลังของเขาแทน จากนั้นก็มองไปยังกลุ่มคนที่มากล่าวโทษโดยเฉพาะอาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อที่โดนสายตาของเขาสะกดไว้
เมื่อเห็นสายตาที่มองมา อาหญิงก็ได้แต่กลัวจนตัวสั่นเพราะนึกมิถึงว่ามู่จวินฮานจักมาที่นี่
เวลานี้มู่จวินฮานควรอยู่กับเฝิงเยว่เอ๋อที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมาถึงจะถูก เหตุใดจึงมาที่นี่ได้ แต่เรื่องเหล่านี้หาได้สำคัญไม่ เพราะพวกเขาล้วนเกรงกลัวมู่จวินฮานจนตัวสั่นไปหมด
หลังจากนั้นพวกคนที่ตามมาด้วยก็ลอบสบตากันก่อนจะพากันแยกย้ายโดยไม่มีผู้ใดกล้าอยู่ต่อ
เหลือเพียงท่านอาและอาหญิงของเฝิงเยว่เอ๋อที่เวลานี้มิสามารถไปไหนได้ พวกเขาทำได้เพียงก้มหน้าลงและคุกเข่าอยู่ตรงเบื้องหน้าของมู่จวินฮาน มิกล้าลุกขึ้นและมิกล้าเงยหน้าขึ้นอีกด้วย
เพราะแววตาที่น่ากลัวของมู่จวินฮานราวกับสัตว์ร้ายที่ดูอันตรายยิ่งนักและคนทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม
“เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าสตรีชั่วช้าอย่างนั้นหรือ ? ” มู่จวินฮานเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มิรู้เพราะเหตุใด อันหลิงเกอจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงเวลาโมโหของมู่จวินฮานช่างรื่นหูยิ่งนัก เสียงที่น่าฟังนั้นดังก้องอยู่ภายในเรือนฝูหลิง
แต่สองคนที่อยู่บนพื้นไม่คิดเช่นนั้น พวกเขารับรู้เพียงความโกรธเกรี้ยวและการคุกคามที่อยู่ในน้ำเสียงของมู่จวินฮานจนมิกล้ากล่าวอันใดออกมาและมิกล้าเงยหน้า แม้กระทั่งขยับตัวก็ยังไม่อาจทำได้
“หากนางเป็นสตรีชั่วช้า ดังนั้นเจ้าบอกหน่อยสิว่าเปิ่นหวางเป็นคนเช่นไร ? หลานสาวสุดที่รักของเจ้าเป็นเช่นไร ? ” ขณะที่พูดกระบี่ในมือของมู่จวินฮานก็ตวัดลงไปใต้คางของอาหญิงเพื่อบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมา
“เรียนท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าน้อยมิได้ตั้งใจที่จะมาหาเรื่อง เพียงแต่ เพียงแต่เป็นห่วงเยว่เอ๋อเท่านั้นขอรับ” ท่านอาของเฝิงเยว่เอ๋อรีบคลานเข้ามา มือข้างหนึ่งจับปลายกระบี่ที่อยู่ในมือของมู่จวินฮานไว้ เพราะเกรงว่ามู่จวินฮานจักโมโหจนสังหารภรรยาของตน
“เปิ่นหวางกำลังถามนางอยู่” น้ำเสียงของมู่จวินฮานแม้ฟังเหมือนมิได้โมโหเท่าตอนแรก แต่อันหลิงเกอรู้ดีว่าความอดทนของเขามาถึงขีดสุดแล้ว หากอีกฝ่ายยังมิให้คำตอบที่เขาพอใจแล้ว จะเกิดอันใดขึ้น นางก็มิอาจคาดเดาได้
ดูเหมือนอาหญิงคาดเดาความคิดของหมู่จวินฮานออกจึงรีบเงยหน้าขึ้นและปล่อยให้กระบี่ของมู่จวินฮานจ่อที่ลำคอของตนพลางรีบโขกศีรษะลงพื้นแล้วส่งเสียงสะอื้น มือก็ดึงชายเสื้อคลุมของมู่จวินฮานเอาไว้
“ท่านอ๋อง มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยแค่โกรธแล้วก็เป็นกังวล ท่านก็รู้ว่าตอนนี้เฝิงเยว่เอ๋อ…” นางกล่าวไปพลางก็ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้ามู่จวินฮานไปด้วย
“เฝิงเยว่เอ๋อเป็นเช่นไรบ้าง ? ”
อันหลิงเกอถามประโยคนี้ออกมาเพราะรู้เพียงว่าเฝิงเยว่เอ๋อฆ่าตัวตายแต่มิรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วอาการเป็นเช่นไร เมื่อเห็นอาหญิงกล้าใช้นางมาเป็นข้ออ้างเช่นนี้ก็เกรงว่าอาการของเฝิงเยว่เอ๋อคงหนักมิน้อย