บทที่ 1105 หกปราชญ์ออกมาพร้อมกัน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1105 หกปราชญ์ออกมาพร้อมกัน โดย Ink Stone_Fantasy

ไม่ผิดหรอก! ตอนสู้กับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่จำเป็นต้องหนีไปตั้งแต่ก่อนจะเจอหน้า อย่างน้อยก็ได้สู้กันนิดหน่อย มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

แต่ลูกศิษย์พวกนี้ไม่รู้ว่าทวนวิเศษในมือเหมียวอี้แหลมคมขนาดไหน เหมียวอี้ไม่ปะทะกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาเลย แค่แทงทวนออกมาตรงๆ ก็พอ เฟิงเป่ยเฉินหาอะไรมาป้องกันไม่ได้แล้วจริงๆ ขนาดงานช่างไม้ก็ทำมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังต้านทานไม่ไหว ถ้าไม่หนีแล้ววจะยังทำอะไรได้อีก

ท่านอาจารย์ที่เมื่อครู่นี้ยังเป็นผู้สูงส่งเยือกเย็นราวกับอยู่เหนือโลก ชั่วพริบตาเดียวก็ฉุกละหุกหนีไปแล้ว กลุ่มลูกศิษย์รับความจริงข้อนี้ได้ยากจริงๆ โดยเฉพาะเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ในฐานะตัวประกันที่หลุดออกมาได้ มาถึงข้างกายอาจารย์แล้วนึกว่าจะมีที่ให้พึ่งพิง ตอนนี้กลับตกตะลึงอ้าปากค้าง เหม่อค้างแล้ว!

กำลังพลของนภาอู๋เลี่ยงที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ก็งงเหมือนกัน ท่านปราชญ์หนีไปจริงๆ เหรอ? ทั้งยังสั่งให้พวกลูกน้องขวางไว้ให้อย่างโจ่งแจ้งอีกเหรอ?

รอจนพวกเขาได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็โบกมือเก็บเพลิงจิตแล้ว ไม่สนใจทหารเล็กๆ พวกนี้เลย เขาพุ่งตัวขึ้นฟ้าไปโดยตรง การไล่สังหารเฟิงเป่ยเฉินต่างหากที่สำคัญที่สุด

ที่จริงในใจเหมียวอี้ก็กำลังด่าเหมือนกัน มากดาเจ้าเถอะ หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีท่วงท่าที่สง่างามเลยสักนิด อย่างน้อยเจ้าก็ต้องแข่งกับข้าสักสองสามท่าสิ พอเห็นหน้าแล้วหนีมันใช่เรื่องเหรอ?

ถ้าเฟิงเป่ยเฉินรู้ว่าเขาคิดแบบนี้จะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่ จะให้ข้าเอาอะไรมาแข่งกับเจ้าล่ะ? จะให้เอาชีวิตมาแข่งเหรอ?

“หลิงเทียน!” เหมียวอี้ที่พุ่งพรวดขึ้นข้างบนตะโกนเรียก โบกมือเรียกหลิงเทียนออกมาจากกระเป๋าสัตว์

พอหลิงเทียนที่สวมชุดผ้าแพรสีม่วงปรากฏตัว ก็โบกแขนสองข้าง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม ถึงแม้ตัวจะอยู่ที่พิภพเล็ก แต่พวกพี่น้องที่ไปพิภพใหญ่ก็ไม่ได้ลืมเขา กอปรกับอวิ๋นจือชิวนำของขวัญมามอบให้ทุกปี วรยุทธ์เลื่อนจากบงกชทองขั้นสองเป็นขั้นสามแล้ว

ตอนนี้พอออกมาจากกระเป๋าสัตว์ ก็กางแขนสองข้างหมุนวนขึ้นบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ปราณปีศาจลอยออกมาจากตัว ระเบิดแสงสีทองออกมา ร่างกายระเบิดเป็นเงามายา ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเหยี่ยวม่วงรูปร่างใหญ่หลายจั้งตัวหนึ่ง มีขนสีม่วง มีเท้าและปากสีทอง สายตาคมกริบมีแวว ส่งเสียงร้องของเหยี่ยวดังก้องสะท้านฟ้า

การกลับคืนร่างเดิมและร่ายอิทธิฤทธิ์บิน เขาถึงจะสามารถแสดงความสามารถในการบินได้เร็วที่สุด เพียงแต่พลังโจมตีกลับอ่อนแอแล้ว สาเหตุเป็นเพราะรูปร่าง บอกได้เพียงว่ามีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป พรตปีศาจบางคนก็มีพลังโจมตีร้ายกาจยิ่งขึ้นเมื่อกลับร่างเดิม

หัวเหยี่ยวขนาดมหึมาเงยขึ้นฟ้า ขนนกสีม่วงกะพริบรัศมีสีโลหะ พอตาเหยี่ยวที่เป็นประกายเห็นเหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้า เขาก็กระพือปีก ทำให้เกิดลมคลั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง สมกับชื่อ[1]ของเขา ช่างมีพลังอำนาจยามทะยานขึ้นฟ้าจริงๆ

พอพุ่งขึ้นฟ้าและใช้แผ่นหลังยันสองเท้าของเหมียวอี้ ก็ตีปีกติดต่อกันหลายครั้ง บนฟ้าเกิดเงามายาสีม่วงสายหนึ่ง ไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังหลบหนี

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้เห็นว่าเหมียวอี้โจมตีเฟิงเป่ยเฉินให้หลบหนีได้อย่างไร แต่เมื่อได้เห็นเฟิงเป่ยเฉินลนลานหลบหนีกับตา ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมแล้ว อยู่ภายใต้การข่มของหกปราชญ์ รู้สึกเคียดแค้นเต็มที่แล้วจริงๆ

พวกหลี่โม่จินที่อยู่ข้างล่างรีบเหาะขึ้นฟ้าไล่ตามไป นักพรตระดับต้านทอากาศนับร้อยที่วางกำลังอยู่รอบๆ ก็เหาะขึ้นฟ้าตามไปเช่นกัน

ท่านปราชญ์ถูกคนไล่สังหาร ไม่สนว่าจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำพอเป็นพิธี หากท่านปราชญ์ไม่เป็นอะไรขึ้นมา แบบนั้นก็จะแย่แล้ว

แม้แต่โม่หมิงก็ยังดึงโม่จวินหลันให้ตามไปประสมโรงด้วย ฉินซีที่ค่อนข้างเป็นห่วงผลลัพธ์ก็เหาะออกมาจากที่ซ่อนตัวเช่นกัน

แม้แต่กระบองไม้ใหญ่คู่เดียวยังเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ เฟิงเป่ยเฉินนับว่าเข้าใจแล้วว่าตัวเองทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เลย ความคิดที่จะฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียวดับสูญไปแล้ว กำลังเตรียมจะหนีตายไปหาเพื่อนบ้าน หนีไปหาปราชญ์พุทธะฉางเหลย

ทว่ายังไม่ทันได้หนีไปไกล ก็เห็นเหมียวอี้ขี่สัตว์เทพที่เชี่ยวชาญเรื่องการบินไล่ตามมา ด้วยความเร็วแบบนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหนีไม่พ้น ได้แต่มองดูทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว เขาค่อนข้างงงเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือเขาสามารถนำสมบัติทั้งหมดของตัวเองออกมาได้ แต่ไม่มีสมบัติชิ้นไหนที่สามารถต้านทานอาวุธในมือเหมียวอี้ได้เลย ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย!

เขาพลิกตัว พลันดิ่งลงด้านล่างโดยใช้หัวลง ตอนที่ใกล้จะถึงพื้น ก็พลันชกหมัดออกมาหนึ่งที

บึ้ม เรียกได้ว่าภูเขาทลายแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าปลิววุ่นวาย หินดินพุ่งขึ้นฟ้าอย่างมโหฬารพันลึก เขากางแขนสองข้างพุ่งเข้าไป หินดินที่พุ่งขึ้นฟ้าชนเหมียวอี้ที่ไล่ตามมา

ใช้มุกนี้อีกแล้ว! เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย โบกทวนฟันหนึ่งที ทำให้หินดินก้อนใหญ่ที่พุ่งเข้ามาชนหมุนวนเป็นระลอกคลื่น แต่ชั่วพริบตาเดียวรอบข้างก็มืดลง หินดินที่อยู่ทั่วสารทิศปกคลุมเขาเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว ท้องฟ้าราวกับมืดลงในฉับพลัน

สู้ตอนแรกที่อยู่ชายฝั่งทะเลไม่ได้ ในแนวก้อนน้ำยังมีแสงสว่าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดจนกางมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้าแล้ว

พรึ่บ! เพลิงเดือดระเบิดขึ้นมาบนตัวเหมียวอี้ ส่องแสงสว่างรอบข้างแล้ว บินร่อนชนดินหินไปทั่วทุกที่ เหยี่ยวม่วงที่อยู่ใต้เท้ากำลังพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์กระพือปีก โบกพัดหินดินให้ปลิวไป แบกเหมียวอี้บุกชนไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่เหมือนจะไม่มีวันหาปลายทางพบเลย

หลิงเทียนที่อยู่ใต้เท้าเอ่ยว่า “คุณชายห้า! แย่แล้ว พวกเราติดอยู่ในโลกไร้ขอบเขต!”

“ข้ารู้แล้ว! รอให้ข้าฝ่าไปได้ก่อน!” เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวนระแวดระวังรอบด้าน แล้วใช้สองนิ้วของมืออีกข้างแตะตรงหว่างคิ้วตัวเอง

ในปีนั้นตอนที่เขาประมือกับเฟิงเสวียน ของเฟิงเสวียนนั้นฝ่าได้ง่าย สาเหตุหลักเป็นเพราะเฟิงเสวียนไม่ได้รับสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ ของเฟิงเป่ยเฉิน อีกทั้งพลังอิทธิฤทธิ์ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่วรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินนั้นไม่เหมือนกัน

ส่วนเฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ ในที่สุดก็ได้โล่งใจแล้ว กำลังยืนอยู่บนพื้นที่ถูกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์ขูดผิวดินไปหลายชั้น ขณะที่กำลังควบคุมพายุหมุนที่ปนด้วยหินดิน มืออีกข้างก็หยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า

พอเขน่าเสร็จหนึ่งอัน ก็หยิบอีกอันมาเขย่าต่อ

ในเมื่อเหมียวอี้ต้องการจะไล่ตามเขาไม่ยอมปล่อย เช่นนั้นเขาก็ยอมแลกทุกอย่างแล้ว ไม่ฮุบของเอาไว้คนเดียวแล้ว ให้ทุกคนมาแบ่งกันก็ได้ ไม่สนใจด้วยว่าจะเสียหน้าหรือไม่เสียหน้า ยังดีกว่ารักษาชีวิตไว้ไม่ได้เป็นไหนๆ

ณ นภาจอมมาร เมฆมารที่พัดม้วนปกคลุมอยู่เหนือหลังคาของตำหนักจอมมารราวกับร่มฉัตรถูกเก็บกลับไปแล้ว ประตูตำหนักพลันเปิดออก เงาคนคนหนึ่งถลันออกมายืนเงียบๆ อยู่บนบันไดนอกประตู

ผมดำขลับดุจน้ำหมึกของเขาปกคลุมสยายไปด้านหลัง ยาวลงไปถึงเอว มีคิ้วกระบี่ดกดำและมีจอนยาวสองข้าง แววตาเป็นประกายดุร้ายน่าตกใจ จมูกเหมือนถุงน้ำดี ริมฝีปากหนาไร้หนวดเครา หน้าตาดูทรงพลัง แขนสองข้างเผยกล้ามเนื้อราวกับเป็นตะปุ่มตะป่ำ สวมเสื้อเกราะแขนกุดสีดำ ขากางเกงยาวแค่เข่า กำลังยืนเปลือยเท้า

ลักษณะทรงพลัง มีความน่าเกรงขามในตัวเอง ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!

เงาสีขาวถลันเข้ามา ตาเฒ่าเฉียวที่แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย  ผมขาวชุดขาว บนใบหน้ามีรอยยิ้มลึกลับอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา โค้งกายเล็กน้อยพร้อมถามว่า “นายท่าน เป้นอะไรไปขอรับ?”

“เหมียวอี้กับเฟิงเป่ยเฉินสู้กันแล้ว เฟิงเป่ยเฉินสู้ไม่ไหว ขอกำลังเสริมจากข้า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ

ในที่สุดตาเฒ่าเฉียวก็ยิ้มไม่ออกแล้ว ถามอย่างตกใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“เจ้าเฝ้าบ้าน ข้าจะออกไปดูสักหน่อย!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ ผมยาวที่คลุมหลังพลันปลิวสะบัดโดยไร้ลม ทั้งตัวหายไปจากที่เดิมในฉับพลัน

ตาเฒ่าเฉียวเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นอ้าวเทียน เห็นเพียงเมฆมารที่พัดม้วนกลุ่มหนึ่งลอยไปทางเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง

เนื่องจากปัญหาด้านระยะทาง อวิ๋นจือชิวในตอนนี้ยังอยู่ระหว่างทาง ยังไม่ถึงนภาจอมมาร

สำหรับอวิ๋นจือชิว เรื่องที่เดิมทีกำชับกับเหมียวอี้ไว้อย่างดีแล้ว ถ้ารอให้กำลังคนมากันครบก่อน ต่อให้รอประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรมาครบแล้วค่อยลงมือ เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่มีโอกาสส่งข่าวขอความช่วยเหลืออยู่ดี

ต่อให้เหมียวอี้จะบอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไกลมาก ถ่วงเวลาเฟิงเป่ยเฉินได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำแบบนี้ ทว่าเหมียวอี้ดันบุ่มบ่ามลงมือไปแล้ว ทำแผนพังในรวดเดียว ทำเอาอวิ๋นจือชิวมาห้ามอวิ๋นอ้าวเทียนที่นภาจอมมารไม่ทัน

แต่สำหรับเหมียวอี้ ถ้าเป็นเรื่องที่มีความมั่นใจสักส่วนเดียว เขาก็สามารถลองทำได้เสมอ มิหนำซ้ำยังมั่นใจด้วยว่าสามารถสู้กับเฟิงเป่ยเฉินได้ ผู้หญิงของตัวเองตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการช่วยชีวิตฉินเวยเวยออกมาก่อน ถ่วงเวลานิดหน่อยก็พอไหว แต่คงไม่ดีที่จะปล่อยให้ฉินเวยเวยได้รับความทรมานทางร่างกาย

กอปรกับพวกอวิ๋นจือชิวปิดบังแผนการนี้กับเหมียวอี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ถึงความหนักเบาของเรื่องราว เหมียวอี้จะถ่วงเวลาต่อไปได้อย่างไร นิสัยเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ช่วยชีวิตฉินเวยเวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน…

แดนโพ้นสวรรค์ มู่ฝานจวินกำลังนั่งฝึกตนอยู่ที่ห้องสมาธิของตำหนักเก้าชั้นฟ้า นางคว้าระฆังดาราเอาไว้ แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า “หยางชิ่งเพิ่งจะออกไป ทำไมเฟิงเป่ยเฉินมาขอกำลังเสริมแล้ว? ลงมือเร็วขนาดนี้เลยเหรอ แผนการของคนพวกนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

นางถลันตัวออกจากเตียงหยก นางถลันตัววกวนอยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้าพักหนึ่ง แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไฟ อยากจะไปดูสถานการณ์สักหน่อย

นภาหมื่นปีศาจ ประตูใหญ่ของตำหนักเก่าแก่โบราณที่กว้างใหญ่ไพศาลเปิดออก ขณะที่ปราณปีศาจพรั่งพรูออกมา ก็ได้พ่นชายชราใบหน้าตึงเหมือนแม่พิมพ์และไว้หนวดยาวทรงเลขแปดจีน[2]ออกมาคนหนึ่ง บนศีรษะสวมมงกุฎสีทอง ทั้งตัวสวมชุดผ้าแพรสีเงิน เขาคือปราชญ์ปีศาจจีฮวน

ทันใดนั้น ปราณปีศาจก็หดกดลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว หายหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว จีฮวนสะบัดแขนเสื้อสองข้าง แล้วกลายเป็นภาพมายาหายไปที่เส้นขอบฟ้า

แดนสุขาวดี เงาคนคนหนึ่งแฉลบขึ้นมาจากด้านล่าง ตอนนี้กำลังลอยอยู่บนฟ้า คนผู้นี้สวมจีวรสีทองระยิบระยับทั้งตัว อ้วนเตี้ยผิวขาว หน้าอ้วนหูใหญ่ ใบหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด บนใบหน้าอมยิ้มอย่างมีเมตตากรุณาอยู่เสมอ ปราชญ์พุทธะฉางเหลย

หลังจากก้มมองดินแดนที่ปราศจากโลกีย์เบื้องล่าง ฉางเหลยก็ประนมมือกล่าวว่า “อามิตาพุทธ” แล้วสะบัดแขนเสื้อต้านอากาศเหาะออกไป

นภาหยินหยาง ในแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่มีหมู่ขุนเขาล้อมรอบ ทุกที่มีแต่ภูเขาหินสูงตระหง่านที่วังเวงหนาวเหน็บ ในภูเขาเตี้ยลูกหนึ่งที่มีโพรงเล็กๆ อยู่มากมายราวกับเป็นปูยักษ์ จู่ๆ ก็มีปราณหยินพ่นออกมาจากโพรงนับไม่ถ้วน

ราวกับสัตว์ร้ายอ้าปาก ตรงปากถ้ำหลักที่สลักรูปกลุ่มผีเอาไว้ รูปร่างสูงผอมของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวถูกหุ้มไว้ด้วยชุดคลุมสีดำ บนใบหน้าสวมหน้ากากผีสีขาว มองไม่เห็นหน้าตาที่ชัดเจน ตอนนี้เขากำลังก้าวเดินช้าๆ เคลื่อนย้ายรองเท้ายาวทรงกระบอกสีดำพื้นขาวออกมาเงียบๆ ท่ามกลางปราณหยินที่เย็นเยียบ พอออกจากปากถ้ำ เขาก็สะบัดชุดคลุมยาว ปราณหยินกระเพื่อมไปสี่ทิศ ร่างพุ่งขึ้นฟ้าออกไปแล้ว…

หลังจากติดต่อกับห้าปราชญ์เรียบร้อยแล้ว เฟิงเป่ยเฉินที่เก็บระฆังดาราก็เหยียบบนดินก้อนใหม่ที่ถูกขูดหน้าดินออกไปหลายชั้น โบกมือชี้ไปบนฟ้าไกลๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์หัวเราะอย่างชั่วร้าย “ไอ้เหมียวจัญไร! วันนี้คือวันตายของเจ้า!”

บนท้องฟ้า ท่ามกลางหินดินที่ม้วนกลิ้งปิดบังฟ้าบังตะวัน เหมียวอี้แสยะยิ้มถามมาว่า “เฒ่าจัญไร อาศัยแค่เจ้าน่ะเหรอ?”

เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ไอ้จัญไร อย่าลืมนะว่าใต้หล้านี้เป็นของใคร! นี่คือใต้หล้าของหกปราชญ์! ทวนวิเศษของเจ้าคมใช้ได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกคน ต่อให้เป็นอาวุธที่คมกว่านี้ แต่ถ้าสู้กับอวิ๋นอ้าวเทียน ซือถูเซี่ยว จีฮวนไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้อย่างไร!”

พวกหลี่โม่จินที่อยู่รอบๆ เห็นท่านอาจารย์คุมสถานการณ์ได้แล้ว ก็โล่งใจในใจทันที ฉินซีที่อยู่ไกลๆ เพียงลำพังแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว ร้อนใจราวกับมีไฟเผา แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างนาง ต่อให้พุ่งเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ นางเข้าใจเฟิงเป่ยเฉินดีเกินไป ตอนนี้ต่อให้นางคุกเข่าจอร้องก็ไม่มีปะรโยชน์

หลิงเทียนกำลังตีปีกอย่างบ้าคลั่งเพื่อโจมตีหินดินที่พุ่งเข้ามามาในโลกไร้ขอบเขต เมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจทันที ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “แย่แล้ว! เฟิงเป่ยเฉินต้องติดต่อพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแล้วแน่ๆ พวกเราต้องคิดหาทางออกไป ไม่อย่างนั้นจะยุ่งยากมาก”

“ยุ่งยากเหรอ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าจะทำให้ไอ้เฒ่าเฟิงมันร้องไห้สักรอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

…………………………

[1] หลิงเทียน 凌天 แปลว่าทะยานขึ้ฟ้า

[2] หนวดเลขแปดจีน 八 หรือทรงหนวดคอนนาเซอร์