ตอนที่ 300 การกลับมาของแมงป่องกระดูกขาว

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 300 การกลับมาของแมงป่องกระดูกขาว โดย Ink Stone_Fantasy

ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวเรื่องจุดประสงค์การก่อตั้งพันธมิตรของนิกาย ด้านหนึ่งเป็นการปรับอิทธิพลนิกายของมนุษย์ อีกด้านหนึ่งเป็นการรวบรวมทรัพยากรทั่วทั้งแผ่นดิน เพื่อแผนการ ‘หกแก่นสามศิษย์’ เพื่อหวังให้มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนจนไปถึงแก่นแท้เกิดขึ้นในแผ่นดินอวิ๋นชวน จะได้รับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรที่นับวันยิ่งแข็งแกร่งได้

พอข่าวอันน่าตื่นตะลึงนี้ปล่อยออกไป ย่อมทำให้เกิดความฮือฮาในหมู่ผู้ฝึกฝนในอวิ๋นชวน

พอผ่านไปไม่นาน กลุ่มพันธมิตรที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ปล่อยข่าวเรื่องการคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์ออกมา ทำให้ผู้ฝึกฝนจำนวนมากรู้สึกตื่นตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

สามแก่นที่พูดถึง เป็นการคัดเลือกจากผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย ซึ่งในแผ่นดินอวิ๋นชวน มีผู้ฝึกฝนระดับนี้แค่สิบกว่าคนเท่านั้น

พอถึงเวลา เพียงแค่ให้เฒ่าประหลาดเหล่านี้ประลองกันสักรอบ ก็สามารถเลือกผู้แข็งแกร่งสามคนได้อย่างง่ายดาย

แต่การคัดเลือกหกศิษย์ที่กล่าวถึง กลับซับซ้อนยิ่งกว่า!

เริ่มตั้งแต่คนที่เข้าร่วมคัดเลือกหกศิษย์ แต่ละนิกายสามารถเสนอมาได้ โดยที่นิกายเล็กสามารถเสนอได้คนเดียวเท่านั้น ส่วนนิกายใหญ่สามารถเสนอได้สองสามคน

ศิษย์ที่นิกายเสนอมาเหล่านี้ อย่างน้อยต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

ประการแรก อายุต้องไม่เกินห้าสิบปี ประการที่สอง ต้องมีระดับการฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นไป และต่ำกว่าระดับผลึก สุดท้ายต้องมีคุณสมบัติเก้าชีพจรจิตวิญญาณขึ้นไป ไม่อย่างนั้นก็มีร่างจิตวิญญาณในตำนานถึงจะได้ มิเช่นนั้นต่อให้ทางนิกายจะเสนอมา ก็จะไม่ถูกพันธมิตรเลือกเด็ดขาด

ด้วยนิกายที่มีจำนวนมากในแผ่นดินอวิ๋นชวน ศิษย์ที่ถูกเสนอมาย่อมมีจำนวนหลายร้อยคน พอถึงเวลา ทางพันธมิตรจะคัดเลือกตามลำดับขั้นตอน เพื่อให้ได้ศิษย์ที่มีศักยภาพมากที่สุดจำนวนหกคน

แน่นอน บรรดาผู้ฝึกฝนอิสระในแผ่นดินอวิ๋นชวน หากมีใครเชื่อว่าตนเองมีศักยภาพอันน่าตกใจ ก็สามารถเข้าไปอยู่ในหกศิษย์ และสามารถไปสมัครที่พันธมิตรได้

เพียงแค่ถูกตรวจสอบความจริงเล็กน้อย ก็เข้าร่วมการคัดเลือกของพันธมิตรได้

แต่ผู้ฝึกฝนอิสระที่กล้าทำเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอยู่น้อยมาก

เพราะผู้ฝึกฝนอิสระที่มีคุณสมบัติเล็กน้อย ต่างก็ถูกชักจูงให้เข้านิกายต่างๆ ตั้งแต่แรกแล้ว ที่เหลืออยู่ข้างนอกมีอยู่น้อยมาก

มิเช่นนั้นในบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระ คงไม่ถึงกับมีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวน้อยเช่นนี้

แม้หลิ่วหมิงจะเก็บตัวฝึกฝนมาโดยตลอด แต่ด้วยที่ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวในนิกาย ย่อมมีศิษย์สาขาเก้าทารกมารายงานเรื่องทั้งหมดให้เขาตั้งแต่แรกแล้ว

พอเขารู้เรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียด ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าหลังจากถูกเผ่าเจ้าสมุทรรุกราน และยึดแคว้นตามชายแถบทะเลแล้ว นิกายทั้งหลายในอวิ๋นชวนก็ละทิ้งคงามแค้นที่มีต่อกันทั้งหมด และรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทร

แต่ตามเงื่อนไขของแผนการสามแก่นหกศิษย์ที่พันธมิตรประกาศออกมา ผู้ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขสามแก่นนั้น ทั่วทั้งแคว้นต้าเสวียนมีแค่เหลิ่งเยวี่ยซือไท่จากนิกายจันทราสวรรค์ที่พอจะผ่านเงื่อนไขนี้ได้

ส่วนเงื่อนไขของหกศิษย์ กลับลดหย่อนลงมาหน่อย แต่ละนิกายสามารถเสนอศิษย์ที่โดดเด่นของตนเองออกมาได้

แต่สำหรับอิทธิพลของนิกายปีศาจแล้ว มีอำนาจเสนอได้เพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้ คนที่ถูกเลือกแปดถึงเก้าส่วนย่อมเป็นเกาชง

เพราะศิษย์ระดับของเหลวใหม่ในนิกายที่อายุน้อยกว่าห้าสิบ มีแค่เขา หยางเฉียน และเกาชงเท่านั้น

เขาไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าในด้านพลังจะมีมากกว่าทั้งสอง แต่ครั้งนี้เป็นเลือกหกศิษย์ที่มีศักยภาพ ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณที่เขามี บวกกับไม่ได้มีร่างจิตวิญญาณอันน่าตกใจอะไร แค่นี้ก็ไม่ตรงกับเงื่อนไขของพันธมิตรแล้ว

แม้หยางเฉียนจะก็มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณเหมือนกัน และดูเหมือนว่าจะมีร่างจิตวิญญาณด้วย แต่เมื่อเทียบกับชีพจรจิตวิญญาณพสุธาของเกาชงแล้ว ยังห่างกันขั้นหนึ่ง

แม้ว่าอาจารย์อาเยี่ยน และประมุขนิกายปีศาจจะถูกใจเขา แต่คงไม่เสนอให้เขาเข้าร่วมการคัดเลือก

จากนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็พอๆ กับที่หลิ่วหมิงเคยคาดเดาไว้

ผ่านไปไม่นาน อาจารย์อาเยี่ยนก็เรียกผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายมาหารือกันรอบหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจให้เกาชงเข้าร่วมคัดเลือกหกศิษย์

หยางเฉียนกับหลิ่วหมิงไม่ได้มีข้อคัดค้านใดๆ ในเรื่องนี้

ตอนที่อาจารย์อาเยี่ยนประกาศออกมา สีหน้าเกาชงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว

สองเดือนต่อมา อาจารย์อาเยี่ยนก็พาเกาชงไปที่ตั้งของพันธมิตรด้วยตนเอง

หลังจากที่ทั้งสองจากไปหลายวัน หลิ่วหมิงก็ได้ต้อนรับศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่งที่มาหาเขาตรงถ้ำที่พัก และรับกล่องหยกสีขาวจากฝ่ายตรงข้ามมาใบหนึ่ง หลังจากเปิดดูแล้ว ก็พบว่าด้านในมียันต์สีทองจางๆ สามผืนวางอยู่

หลิ่วหมิงหยิบออกมาผืนหนึ่ง หลังจากสำรวจดูเล็กน้อย ก็แสดงสีหน้าพอใจออกมา

“เป็นสิ่งที่ข้าต้องการจริงๆ ด้วย ตอนที่ผู้อาวุโสเย่ให้เจ้ามา ได้กล่าวอะไรไว้หรือไม่?” หลิ่วหมิงวางยันต์ลงไปในกล่องและปิดฝา จากนั้นก็กล่าวกับหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้าด้วยท่าทีสงบ

“เรียนอาจารย์อา ปรมาจารย์เย่ให้ข้ามาบอกให้อาจารย์อาวางใจได้ ท่านส่งคนไปหาของที่ท่านอยากได้ทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว พอได้ข่าวคราวก็จะให้คนส่งข่าวกลับมา แต่พอถึงเวลานั้น ขึ้นอยู่กับท่านเองแล้วล่ะ ว่าจะเอามาอย่างไร” ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม และสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างอดไม่ได้

สำหรับศิษย์ที่มีระดับการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้นี้ เรื่องราวเกี่ยวกับผู้ที่อยู่ตรงหน้า ได้ถูกเล่าลือไปทั่วนิกายจันทราสวรรค์ตั้งนานแล้ว

ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเป็นที่ยอมรับในนิกายจันทราสวรรค์ว่า เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเทียบกับจางซิ่วเหนียงได้

แล้วจะไม่ให้หญิงสาวที่ชื่นชมจางซิ่วเหนียง รู้สึกสนใจหลิ่วหมิงได้อย่างไร

“ดีมาก! ข้าเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสเย่แล้ว เจ้าไปได้” หลิ่วหมิงใจเต้นเล็กน้อย แต่ก็กล่าวอย่างสงบ

หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก หลังจากตอบรับแล้วก็ถอยออกไป

ยันต์ทั้งสามนี้ ย่อมเป็นยันต์วิเศษที่ควบคุมการถูกยึดร่างได้ และเป็นหนึ่งในการตอบแทนที่เย่เทียนเหมยได้ให้สัญญาไว้

เช่นนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ลดความกังวลทั้งหมดไปได้

เขาเพียงแค่แปะยันต์ไว้บนตัว อย่างน้อยในระยะเวลาหลายปีนี้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว

ส่วนเย่เทียนเหมยจะหาอาวุธจิตวิญญาณที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่นั้น คงต้องอาศัยดวงแล้ว

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็เข้าไปฝึกฝนในห้องลับ

หลังผ่านการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาหนึ่งปี ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้เขารับรู้ได้ว่าระดับการฝึกฝนของเขาอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นกลางไม่มากแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงขยันฝึกฝนมากกว่าเดิม

สามเดือนต่อมา!

หลิ่วหมิงกำลังฝึกฝนอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พักอย่างเงียบๆ อยู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความดีใจ

เขาขยับตัวกลายเป็นไอดำพุ่งออกไปจากประตูห้องลับ

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ตรงประตูทางเข้านิกายปีศาจ ศิษย์ลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่ามีเสียงดังขึ้น จากนั้นเงาร่างที่มีไอดำล้อมรอบ ก็ปรากฏเหนือศีรษะพวกเขา

คนเหล่านี้ตกใจจนบางคนรีบหยิบอาวุธอาญาสิทธิ์ออกมา

“หยุดก่อน คืออาจารย์อาหลิ่ว!”

แต่ในกลุ่มศิษย์เหล่านี้ ย่อมมีคนจำหลิ่วหมิงได้ จึงหลุดปากออกมา

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง และพอสังเกตดูดีๆ แล้ว ก็ก้าวไปคารวะและกล่าวคำว่า “อาจารย์อา” ออกมา

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างมีหลายคนที่มีใบหน้าคุ้นเคย

คนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง ชายหญิงอายุสามสิบกว่าปีกว่าคู่หนึ่ง ทำให้เขาจดจำได้อย่างลึกซึ้ง

พอเห็นสายตาหลิ่วหมิงมองมาที่ตนเองกับภรรยา ชายฉกรรจ์หน้าดำที่อยู่ด้านล่างก็แอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด หญิงที่มีแส้ยาวรัดอยู่ตรงเอว ก็มีสีหน้าขาวซีดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ทั้งสองคนนี้ก็คือสือเจียนกับลวี่ห์อวิ๋นที่เป็นคู่สามีภรรยากันนั่นเอง

ในขณะที่หลิ่วหมิงยังไม่บรรลุระดับของเหลวนั้น ทั้งสองเคยข่มขู่เขาเรื่องของมู่หมิงจู แต่หลังจากหลิ่วหมิงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว สามีภรรยาคู่นี้ย่อมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ปกติเวลาอยู่ในนิกาย พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เขาเก้าทารกเลยแม้แต่น้อย บางครั้งเวลาเห็นเงาหลิ่วหมิงไกลๆ ก็รีบหลบซ่อนอย่างรวดเร็ว

วันนี้กลับคิดไม่ถึงว่า ภารกิจธรรมดาๆ ของหอดำเนินการ กลับทำให้ต้องมาเผชิญหน้ากับหลิ่วหมิง

พอสองสามีภรรยาคู่นี้ นึกถึงเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามสังหารอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางของเผ่าเจ้าสมุทรได้ ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ด้วยสถานะของหลิ่วหมิงในตอนนี้ เกรงว่าเพียงแค่จ้องมองทั้งสองโดยที่ไม่ต้องกล่าวอะไรออกมา ก็ไม่รู้ว่ามีศิษย์จิตวิญญาณจำนวนมากเท่าไหร่ที่สร้างความลำบากใจให้พวกเขาทั้งสอง เพื่อประสบสอพลอเขา

แต่สายตาหลิ่วหมิงเพียงแค่หยุดนิ่งอยู่ที่สองสามีภรรยาครู่เดียว จากนั้นก็กวาดผ่านไปราวกับมองไม่เห็น ขณะเดียวกันก็กล่าวกำชับอย่างราบเรียบ

“พวกเจ้าลาดตระเวนต่อเถอะ ข้ามีเรื่องต้องออกไปทำ ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”

ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างย่อมกล่าวตอบรับกลับไป

ขณะนี้ไอดำบนร่างหลิ่วหมิงก็สั่นไหวในทันที จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งทะยานออกไป

สือเจียนกับลวี่ห์อวิ๋นเห็นเช่นนี้ ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง ก็รู้สึกราวกับว่าผ่านด่านเคราะห์ไปได้ และรู้สึกว่ามีเหงื่อผุดออกมาตรงหลังเป็นจำนวนมาก

หลิ่วหมิงมีชื่อเสียงในนิกายมาก ที่เขามาปรากฏตัว ณ สถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากพูดคุยกันเบาๆ แล้ว ก็ไปลาดตระเวนทิศทางอื่นต่อ

ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวเหนือป่าดงดิบที่อยู่ห่างจากนิกายไปเจ็ดแปดลี้ และค่อยๆ ร่อนลงตรงชายป่า

“ฟู่!”

เงาดำบางอย่างพุ่งขึ้นจากพื้นบริเวณนั้น ผ่านไปไม่นาน มันเคลื่อนไหวทีเดียว ก็เกือบตกลงบนไหล่ของหลิ่วหมิง

แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดังขึ้น “ตุ๊บ!”

หลิ่วหมิงขยับแขนอย่างพร่ามัว และคว้าเงาดำที่อยู่บริเวณนั้นไว้ได้

มันคือสัตว์ประหลาดที่ดูคล้ายอสรพิษแต่ไม่ใช่อสรพิษ ดูคล้ายแมงป่องแต่ก็ไม่ใช่แมงป่อง

ดูจากรูปร่างของมันแล้ว คงเป็นแมงป่องอย่างแน่นอน แต่ร่างเดิมของแมงป่องกระดูกขาว กลับถูกเกล็ดสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วปกคลุมไว้

ที่ทำให้รู้สึกตกใจยิ่งกว่าก็คือ หางตะขอดำๆ กลายเป็นหัวอสรพิษสีดำที่มีสามเขา

แม้ว่าหัวอสรพิษนี้จะไม่มีดวงตา แต่ในปากของมันมีตะขอสีม่วงดำที่แหลมคมเป็นอย่างมาก

มันคือแมงป่องกระดูกขาวนั่นเอง

แม้ร่างของมันในตอนนี้จะเล็กกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งมีขนาดแค่ครึ่งฉื่อเท่านั้น แต่กลิ่นไอระดับของเหลวที่แผ่ออกมานี้ไม่ผิดอย่างแน่นอน และยังทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกว่า อันตรายกว่าระดับของเหลวขั้นต้นโดยทั่วไปมาก

เมื่อแมงป่องกระดูกขาวได้เจอนายอย่างหลิ่วหมิง มันก็ส่ายหางอยู่ไม่หยุด และส่งเสียงร้องประหลาดออกมา เห็นได้ชัดว่าชื่นชอบเป็นอย่างมาก

………………………………………