ตอนที่ 298 ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ
“คุณแม่คุณอย่างนั้นเหรอครับ?” คุณหมอสีหน้าประหลาดใจ เขากวาดสายตามองเธอ “คุณคือคุณเฉียวหรือเปล่าครับ?”
เธอชะงักเล็กน้อย พลันรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก “คุณคือคุณหมอคนนั้น?”
คุณหมอพยักหน้า “ที่แท้ก็คุณนี่เอง คุณกำลังตามหาคุณแม่อยู่ใช่ไหมครับ?” เขาเอ่ยพลางพาเธอเดินไปยังห้องคนไข้ “ที่แท้คนไข้ก็ชื่อเวินเยวี่ยฉิงนี่เอง คือว่าอย่างนี้ เธอไม่ได้พกบัตรประจำตัวมาด้วย เราเลยไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไรน่ะครับ”
“อย่างนั้นเหรอคะ” เธอหน้าแดงระเรื่อ “ขอโทษด้วยค่ะ พอดีฉันใจร้อนมากไปหน่อย”
แม้คุณหมอจะใส่หน้ากากอนามัย แต่ก็ดูออกว่าภายใต้หน้ากากอนามัยนั้นเขากำลังยิ้มอยู่ “ไม่เป็นไร ก็คุณทำเพื่อคุณแม่นี่นา”
ระหว่างที่เดินไปคุยไป ในที่สุดเธอก็เห็นคุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เธอรีบเดินเข้าไปใกล้ “คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ?”
ทันทีที่เห็นสภาพของคุณแม่ เธอก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ตัวสั่นไปทั้งร่าง “คุณแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนทำคะ?”
สภาพของเวินเยวี่ยฉิงบนเตียงคนไข้ดูน่าเวทนามาก ใบหน้าบวมช้ำ ปากแตก บนศีรษะพันผ้าพันแผลเอาไว้ แถมยังมีเลือดซึมออกมาอีกต่างหาก เห็นแล้วก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน นี่เป็นเพียงรอยแผลที่มองเห็นเท่านั้น ไม่รู้ว่าตามร่างกายยังมีบาดแผลอีกมากน้อยแค่ไหน
เฉียวซือมู่เห็นสภาพคุณแม่แล้วโกรธจนพูดไม่ออก เวินเยวี่ยฉิงที่ยังมีสติอยู่มองเฉียวซือมู่แล้วเอ่ยขึ้น “มาแล้วเหรอ? แม่ไม่ได้เป็นอะไร ลูกอย่าเอะอะโวยวายไปสิ”
เฉียวซือมู่แผดเสียงแหลมทันที “ให้หนูเอากระจกให้คุณแม่ส่องหน้าดูก่อนไหมคะ? นี่คุณแม่พูดได้ยังไงว่าไม่เป็นอะไร? ต้องเจ็บหนักขนาดไหนถึงจะเป็นอะไร? ต้องรอให้แขนขาดขาขาดก่อนหรือไงคะ?
เวินเยวี่ยฉิงกระวนกระวายใจจนไอค่อกแค่ก พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง
คุณหมอมองเวินเยวี่ยฉิงด้วยความเห็นใจ “นอกจากบาดแผลตรงศีรษะแล้ว ที่เหลือก็เป็นแผลฟกช้ำดำเขียวภายนอกเท่านั้น ดูเหมือนว่าคนไข้จะถูกตีด้วยของไม่มีคม จำเป็นต้องทำซีทีสแกนถึงจะรู้ว่ามีเลือดคั่งหรือเปล่า ไม่มีน่ะดีที่สุด และต้องระวังเรื่องสมองถูกกระทบกระเทือนด้วย เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ต้องคอยระวังอาการของคนไข้เป็นพิเศษ อย่างเช่นมีอยากอาเจียน ปวดหัวรุนแรงหรือเปล่า ถ้ามี ต้องรีบแจ้งให้หมอทราบทันที”
คุณหมออธิบายยืดยาว เฉียวซือมู่จดจำทุกคำพูดเอาไว้จนขึ้นใจ ความกรุ่นโกรธในใจเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อคุณหมอใช้คำว่าถูกตี นั่นหมายความว่าคุณแม่ต้องถูกคนทำร้ายร่างกายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เธอหันไปมองคุณแม่ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ? ใครเป็นคนทำร้ายคุณแม่?” เธอเอ่ยถามพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก “หนูจะแจ้งความ”
เธอเพิ่งจะแนบหูกับโทรศัพท์มือถือ เวินเยวี่ยฉิงก็รีบร้องห้ามทันที “ไม่ได้นะ ไม่ได้” เธอร้อนใจมากจนแทบจะกระโดดลงจากเตียงคนไข้
เฉียวซือมู่รีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้ “คุณแม่ก็บอกมาสิคะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เธอทั้งโกรธทั้งน้อยใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่กันแน่ หรือว่ายังมีเรื่องที่บอกเธอไม่ได้อีก? หรือว่ามีความลับอะไรที่ทำให้คุณแม่ถูกทำร้ายขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอีก
เธอทั้งโมโหทั้งร้อนใจ คุณหมอเห็นสถานการณ์ชักไม่ดี จึงเดินออกจากห้องเงียบๆ และไม่ลืมปิดประตูให้สนิท
เฉียวซือมู่มองหน้าคุณแม่ โมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ “คุณแม่ต้องรอให้ถูกทำร้ายจนตายก่อนถึงจะยอมพูดหรือไงคะ?”
ตอนที่ 299 เค้นถาม
เธอเห็นสีหน้าผิดปกติของคุณแม่แล้วหัวใจกระตุกวูบ “เรื่องคราวนี้เกี่ยวกับข้องกับเรื่องที่คุณแม่หายตัวไปหลายวันเมื่อคราวก่อนใช่ไหมคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “เปล่า ไม่ใช่นะ ลูกอย่าคิดไปเรื่อยสิ” แม้จะพูดแบบนั้น แต่เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายน้ำเสียงกลับเผยพิรุธอย่างชัดเจน
เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หมุนตัวเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นจ้องคุณแม่นิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณแม่คิดว่าหนูเป็นเด็กๆ หรือไงคะ? ชัดเจนขนาดนี้แล้ว คุณแม่ยังคิดจะปิดบังหนูอีกเหรอคะ?”
เธอเอ่ยพลางจ้องคุณแม่นิ่ง น้ำเสียงตัดพ้อ “คุณแม่ยังเห็นหนูเป็นลูกอยู่หรือเปล่า? คุณแม่คิดบ้างไหมว่าหนูเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่คนเดียวของคุณแม่แล้ว? เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณแม่ไม่คิดจะบอกหนู แล้วคุณแม่คิดจะบอกใครคะ? หรือว่าคุณแม่อยากถูกคนอื่นทำร้ายอีกรอบ?”
เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “ไม่หรอก เขาเอาเงินไปแล้วคงไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ”
“เขา?” เฉียวซือมู่หรี่ตาแคบอย่างจับผิด “เขาเป็นใครคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดไปแล้วจึงรู้สึกเสียใจมาก รีบปิดปากสนิท ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“คุณแม่! หนูล่ะอยากจะบ้าตายจริงๆ!”
เฉียวซือมู่โกรธจัด ชี้นิ้วต่อว่าเธอ
เวินเยวี่ยฉิงมองหน้าเฉียวซือมู่ที่โกรธจัดจนซีดเผือดแล้วรู้สึกผิดไม่น้อย เธอเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “มู่มู่ อย่าถามอะไรอีกเลยนะ ลูกรู้เอาไว้เถอะว่าที่แม่ไม่พูดก็เพื่อลูกทั้งนั้น เรื่องแบบนี้ให้แม่จัดการเองดีกว่า อย่าให้ต้องเปื้อนมือลูกเลย”
“แล้วคุณแม่คิดว่าหนูจะยอมมองดูคุณแม่ถูกคนอื่นทำร้ายอย่างนั้นเหรอคะ? ลูกสาวที่คุณแม่เลี้ยงจนโตด้วยความยากลำบากคนนี้เป็นลูกอกตัญญูแบบนั้นเหรอคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงเบือนหน้าหนีอย่างจนคำพูด “แม่พูดความจริง เรื่องนี้ลูกไม่รู้จะดีกว่า แผลพวกนี้ก็แค่แผลภายนอกเท่านั้น พักผ่อนแค่วันสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว จริงนะ”
“ค่ะ แผลภายนอกเท่านั้น หนูยังไม่เคยเห็นเลยนะคะว่าแผลภายนอกจะทำให้กระทบกระเทือนสมองได้” เธอประชด “ตอนนี้หนูชักสงสัยแล้วสิว่าคุณแม่ถูกวางยาหรือเปล่า เกิดเรื่องขนาดนี้แล้วถึงไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง หรือว่าคุณแม่ต้องการปกป้องคนที่ทำร้ายคุณแม่คนนั้นคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงจ้องเฉียวซือมู่เขม็ง “แม่ทำเพื่อลูกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะลูก ป่านนี้แม่…” คำพูดของเฉียวซือมู่ทำให้เธอโกรธมาก เธอตะคอกเสียงดัง แต่สุดท้ายก็พูดเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ
“ป่านนี้ก็อะไรคะ? พูดต่อสิคะ” เฉียวซือมู่เดินไปหยุดยืนตรงหน้าเวินเยวี่ยฉิงพลางจ้องหน้าเธอนิ่ง “คุณแม่ เรามีกันอยู่แค่สองคนนะคะ คุณแม่ไม่ยังไม่รู้จักนิสัยหนูอีกเหรอคะ? หนูจะบอกอะไรให้ ถ้าวันนี้หนูไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจหนูก็จะไม่ไปไหน หนูจะอยู่กับคุณแม่ที่นี่อย่างนี้แหละ”
“เฮ้อ ลูกคนนี้นี่ แล้วนี่ลูกไม่คิดจะกลับบ้านหรือไง? ระวังจิ้นหยวนไม่พอใจนะ” เวินเยวี่ยฉิงเริ่มกระวนกระวายใจ
เฉียวซือมู่แอบยิ้มในใจ เรื่องที่คุณแม่กลัวที่สุดก็คือกลัวเธอจะมีปัญหากับจิ้นหยวน และนั่นเป็นสิ่งยืนยันถึงความห่วงใยที่คุณแม่มีต่อเธอ “ค่ะ เดี๋ยวหนูโทรบอกเขาเอง เขาดีกับหนูมาก ถึงคุณแม่เขาจะไม่ค่อยชอบหนูสักเท่าไหร่ แต่เขาก็อยู่ข้างหนูตลอด คุณแม่สบายใจเถอะค่ะ”
เห็นท่าทางเด็ดขาดของลูกสาวแล้ว เวินเยวี่ยฉิงได้แต่เอ่ยอย่างขัดเคืองใจ “ลูกไปเรียนวิธีนี้มาจากไหน จริงๆ เลย…”
เธอได้แต่ทอดถอนใจอย่างยอมแพ้ “ก็ได้ แม่บอกก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกต้องรับปากแม่ก่อน”
“ได้ค่ะ คุณแม่พูดมาเถอะค่ะ หนูรับปากคุณแม่ทุกอย่าง” เฉียวซือมู่ตกปากรับคำทันทีอย่างกระตือรือร้น