ส่วนที่ 5 ตอนที่ 31-2 ยากจะเข้าใจ

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

เซี่ยฟางหวาลงจากเตียง เดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งมาให้ฉินเจิง 

 

           “เจ้าช่วยใส่ให้ข้าหน่อย” ฉินเจิงยื่นแขนออกมา 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าเขาออกจากจวนไปแค่สองวัน กลับมาก็กลายเป็นเด็กคนหนึ่งแล้ว เรียกร้องนั่นเรียกร้องนี่ ตามติดไม่ห่างกาย จึงมองเขาอย่างหมดคำพูดครู่หนึ่ง เห็นว่าเขายืนยันจะให้นางช่วยก็จนปัญญา ได้แต่ช่วยแต่งตัวให้เขา 

 

           ฉินเจิงปล่อยให้นางสวมเสื้อผ้า รองเท้า สางผมอย่างชื่นอกชื่นใจ 

 

           พักใหญ่ถัดมา แต่งตัวให้เขาเรียบร้อยแล้ว เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยเร่ง “ออกไปได้แล้ว” 

 

           ฉินเจิงยกเท้าเดินออกไปอย่างเชื่องช้า เปิดประตูออก กุมไหล่พึงขอบประตูมองเยี่ยนถิงด้วยท่าทางเฉยเมย “เจ้าสบายใจเกินไปใช่หรือไม่ ข้าเพิ่งกลับมา เจ้าก็วิ่งมาก่อเรื่องแล้ว” 

 

           เยี่ยนถิงกระแอมขึ้น “ข้าไหนเลยจะรู้ว่าเจ้ากลับมาก็นอนแต่หัววัน” 

 

           “มีเรื่องใด” ฉินเจิงมองเขาด้วยความเย็นชา 

 

           “ข้ามาเพื่อถามเจ้าดู เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองวันนี้เจ้าคงรู้แล้วใช่หรือไม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร”  

 

เยี่ยนถิงตอบ  

 

           “เรื่องอะไร” ฉินเจิงถาม 

 

           “เจ้าไม่รู้” เยี่ยนถิงมองเขา 

 

           “ข้าควรรู้รึ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

           เยี่ยนถิงท้อใจ “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง จวนเสนาบดีฝ่ายขวา และจวนองค์หญิงใหญ่” 

 

           ฉินเจิงเลิกคิ้ว ราวกับไม่รู้เรื่องจริงๆ 

 

           “เจ้ากลับเมืองมาไม่ได้ถามหรือ” เยี่ยนถิงหมดคำพูด  

 

           “อย่ามัวไร้สาระ” ฉินเจิงพูดขัด “มีธุระก็พูดมา ถ้าไม่มีก็ไสหัวกลับไป ข้าไม่มีอารมณ์มาพูดจาอ้อมค้อมกับเจ้า” 

 

           เยี่ยนถิงพูดไม่ออก หลังเงียบไปพักหนึ่งก็ก้าวขึ้นมา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองวันนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด 

 

           ฉินเจิงฟังจบแล้วก็หรี่ตาลง “เจิ้งเซี่ยวหยาง” 

 

           “เจ้ารู้จักเขา” เยี่ยนถิงถามทันที 

 

           ฉินเจิงแค่นเสียง “ข้ากลับมาก็เพราะเขา” 

 

           เยี่ยนถิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เขาเป็นคนมีพรสวรรค์” 

 

           “ถ้าไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ จะเก็บดอกฉิงเหรินบนยอดหน้าผาสูงชันบนเขาชางอู๋มาได้อย่างไร เซี่ยอวิ๋นจี้ไปช้าก้าวหนึ่ง ไล่ตามจนวิ่งม้าตายไปสองตัวก็ตามเขาไม่ทัน จึงส่งจดหมายมาหาข้า ให้ข้าขวางเขาไว้” ฉินเจิงตอบ 

 

           “เจิ้งเซี่ยวหยางคนนี้แตกต่างจากคำร่ำลือ ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์” เยี่ยนถิงเบิกตากว้าง  

 

           “มีชื่อเสียงเจ้าสำราญ ต้องไร้ประโยชน์เสมอไปรึ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ  

 

           เยี่ยนถิงนิ่งชะงัก 

 

           ฉินเจิงเหล่มองเขา “ฉินอวี้ให้เจ้ามาก่อกวนข้ารึ” 

 

           “เจ้ารู้ได้อย่างไร” เยี่ยนถิงมองเขา  

 

           “เจ้ากลายเป็นคนวิ่งงานให้ฉินอวี้ไปตั้งแต่เมือไรแล้ว” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

           เยี่ยนถิงแค่นเสียง “ข้ามีธุระเข้าวังไปหาเขาพอดี รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว เขาบอกว่าจนป่านนี้แล้วหรือว่าเจ้ายังนอนอยู่ ให้ข้ามาดูเจ้า ข้าอยากมาดูพอดีก็เลยมา” 

 

           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็มองท้องฟ้าซึ่งมืดสนิทแล้ว กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปสั่งงานหน่อยว่าให้เตรียมรถ ข้าจะเข้าวังตอนนี้” 

 

           “เดี๋ยว ให้ข้าไปสั่งงาน” เยี่ยนถิงชี้จมูกตัวเอง 

 

           “เจ้ามิใช่เต็มใจเป็นคนวิ่งงานหรอกหรือ” ฉินเจิงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนสะบัดหน้าเดินเข้าไปในห้อง 

 

           เยี่ยนถิงเรียกสองครั้ง แต่ฉินเจิงก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง และไม่สนใจเขา เขาหมดคำพูด พักใหญ่ถัดมาก็ออกจากเรือนลั่วเหมย 

 

           เซี่ยฟางหวาจัดการความเรียบร้อยของตัวเองเสร็จแล้ว กำลังลุกขึ้นพอดี ฉินเจิงเดินกลับเข้ามายืนซ้อนหลังนาง ขมวดคิ้วมองนางที่สะท้อนในกระจก “ดึกแล้ว แต่งตัวสวยถึงเพียงนี้ให้ใครดูกัน” 

 

           “ข้าแต่งตัวที่ไหนกัน เจ้ากับเยี่ยนถิงคุยกันสั้นขนาดนี้ มีเวลาพอให้ข้าทำอะไรบ้าง ผมยุ่งแล้ว ข้าก็เลยหวีใหม่เท่านั้นเอง” เซี่ยฟางหวากลอกตา  

 

           “ถึงอย่างนั้นก็งามเกินไปแล้ว” ฉินเจิงเริ่มหวง 

 

           เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด มองกระจกแล้วถามเขา “นี่ต่างจากเมื่อก่อนตรงไหน หรือว่าข้าต้องตะกุยผมยุ่งเหยิง แล้วออกไปทั้งแบบนี้กับเจ้า” 

 

           “อย่างไรก็งามเกินไป” ฉินเจิงบอก 

 

           เซี่ยฟางหวาปัดมือเขาออก ลุกขึ้นยืน ทั้งโมโหทั้งยิ้ม “เจ้ายังมีอารมณ์มาคลอเคลียอีก ฉินอวี้คงร้อนใจอยากพบเจ้าจะแย่แล้ว” 

 

           “เจ้าจะเข้าวังกับข้าด้วย” ฉินเจิงมองนาง 

 

           “ไม่ได้หรือ” เซี่ยฟางหวาก็มองเขาเช่นกัน 

 

           ฉินเจิงคิดหนักอยู่พักหนึ่ง ก่อนกุมมือนาง กล่าวด้วยความท้อใจ “ช่างเถอะ เข้าวังกับข้าแล้วกัน ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็กลับมาถึงเย็นมากแล้ว ไม่อยากทิ้งเจ้าไว้ในบ้านคนเดียว” 

 

           เซี่ยฟางหวาแย้มยิ้มกว้าง 

 

           ฉินเจิงจูงมือนางเดินออกมาจากเรือนลั่วเหมย 

 

           เซี่ยฟางหวาเรียกซื่อฮว่ามาสั่งงาน “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ว่าเราจะเข้าวัง คงดึกกว่าจะกลับมา ไว้พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยไปหาพวกเขา” 

 

           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าเดินไปเรือนหลักทันที 

 

           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเดินมาถึงหน้าจวน เยี่ยนถิงสั่งงานสี่ซุ่นไว้แล้ว สี่ซุ่นจึงให้คนเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้วเช่นกัน 

 

           ฉินเจิงจูงเซี่ยฟางหวาขึ้นรถม้า ปล่อยม่านลง โบกมือไล่เยี่ยนถิงว่า “เจ้าควรทำอะไรก็ไปทำ” 

 

           เยี่ยนถิงถลึงตามอง 

 

           ฉินเจิงออกคำสั่งเสียงหนึ่ง รถม้าแล่นออกจากหน้าจวนอิงชินอ๋อง 

 

           เยี่ยนถิงกลอกตามองฟ้าหลายหน “คนอะไร ยังเป็นพี่น้องกันหรือไม่” 

 

           “ท่านโหวน้อยเยี่ยน เข้าไปดื่มน้ำชาในจวนสักถ้วยหรือไม่” สี่ซุ่นหัวเราะ  

 

           “ไม่ดื่มแล้ว น้ำชาในจวนพวกเจ้าลวกคน” เยี่ยนถิงเอ่ยทิ้งท้ายแล้วหมุนตัวเดินออกไป 

 

           สี่ซุ่นปิดประตูใหญ่ 

 

           บนรถม้า เซี่ยฟางหวากดเสียงทุ้มต่ำถามฉินเจิง “เมื่อครู่เจ้าก็ได้ฟังเยี่ยนถิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองวันนี้แล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางคิดจะทำอะไรกันแน่” 

 

           “ออกไปครั้งนี้ พบว่าสายสอดแนมเป่ยฉีฝังตัวอยู่ลึกมาก แถมยังแข็งแกร่งด้วย มีเชือกเส้นหนึ่งมัดไว้อย่างแน่นหนา ข้าตอนแรกแก้ไม่ออก ต่อมาเจ้าก็ส่งข่าวมาบอกเรื่องตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ข้าจึงเข้าใจทุกสิ่ง” ฉินเจิงก็กดเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “การกำจัดสายสอดแนมเป่ยฉียากกว่าที่ข้าคิดไว้ รากฐานหลายยุคสมัย ย่อมมิอาจจัดการได้ง่ายๆ” 

 

           “เจ้าจัดการไปเท่าไร” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

           “ร้อยกว่า แต่ไม่เกินหนึ่งถึงสองจากสิบ” ฉินเจิงตอบ 

 

           “เหตุใดจู่ๆ ถึงกลับเมือง ส่วนที่เหลือจัดการไม่ได้หรือ” เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเคร่งขรึม  

 

           “มิใช่ว่าจัดการไม่ได้เสียทีเดียว” ฉินเจิงเม้มปาก “มีคนลอบผูกเงื่อนตาข่ายระหว่างที่ข้าลงมือ ฝีมือว่องไวนัก มิอาจดูถูกได้ ถ้าไม่สืบตัวคนผู้นี้ให้ชัด ไม่เข้าใจสาเหตุ ก็มิอาจจัดการได้” 

 

           “เป็นผู้ใด” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

           “ข้าตามร่องรอยมา คนผู้นั้นเข้ามาในเมือง” ฉินเจิงพลันหัวเราะออกมา “น่าจะเป็นคุณชายรองเจิ้งเซี่ยวหยางของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางท่านนี้แล้ว” 

 

           เซี่ยฟางหวามิได้แปลกใจ ได้ยินแบบนั้นก็ลดเสียงลง “ตั้งแต่ได้พบเจิ้งเซี่ยวหยางวันนี้ เขาก่อความวุ่นวายในเมือง ข้ารู้ว่าเขามิใช่คุณชายเจ้าสำราญที่ไม่เอาการเอางานอย่างที่เห็นภายนอกแน่” 

 

           ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

           เซี่ยฟางหวาบอกการสังเกตของตัวเอง พูดจบก็เสริมว่า “แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งเซี่ยวหยางกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนี้น่าแปลกใจนัก เขาดูถูกตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง แต่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกลับปกป้องเขาอย่างดี อีกอย่างผู้นำตระกูลก็ราวกับไม่กล้ายั่วโทสะเขา เจิ้งเฉิงดูจนปัญญากับเขา เจิ้งเซี่ยวฉุนก็รักและปกป้องน้องชายจนผิดปกติ” 

 

           ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “นี่คือสาเหตุที่แท้จริง เป็นเรื่องที่ข้าต้องการความกระจ่างถึงกลับมา” 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

           “ตามหลักแล้ว ถ้าข้าลงมือกำจัดสายสอดแนมเป่ยฉี คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางควรรู้สึกตัวตั้งแต่ทีแรก และโจมตีกลับเต็มที่ หรืออำพรางไว้ หรือไม่ก็หาวิธีการอื่นต่อต้าน แต่นี่ไม่มีเลย คนผู้นี้ทำการผูกเงื่อนตาข่ายทันทีหลังข้าเริ่มกำจัดสายสอดแนม ราวกับสกัดช่องทางที่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจะส่งข่าวสู่ภายนอก” ฉินเจิงกล่าว  

 

           เซี่ยฟางหวาชะงัก “เจ้าหมายถึง ตาข่ายนั้นมิได้ตรึงเจ้า แต่ช่วยคุ้มกันเจ้าหรือ เพื่อมิให้ถูกตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางรู้เข้า แล้วโจมตีเจ้ากลับ” 

 

           ฉินเจิงผงกศีรษะ “และคนผู้นี้คือคุณชายรองเจิ้งเซี่ยวหยางของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เป็นลูกหลานแท้ๆ ในตระกูล แต่กระทำการตอบโต้แบบนี้ มิใช่แปลกมากหรือ” 

 

           “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางปกป้องเจิ้งเซี่ยวหยางขนาดนี้ แต่เหตุใดเขาถึงทำแบบนั้น” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ  

 

           ฉินเจิงส่ายหน้า “หากรู้ข้าคงไม่ต้องกลับเมืองมากับเขาแล้ว” 

 

           เซี่ยฟางหวากรองเหตุการณ์หลังได้พบเจิ้งเซี่ยวหยางวันนี้ในสมองรอบหนึ่ง เขาเป็นบุรุษหนุ่มผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ฟ้าไม่กลัวดินไม่กรงคนหนึ่ง นางเดาว่าเขาไม่เหมือนที่เห็นภายนอก กลับไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ได้ฟังจากฉินเจิงจะยิ่งน่าแปลกใจกว่าสิ่งที่นางคิดเสียอีก นางไตร่ตรองพักหนึ่งก็ยากจะเข้าใจได้ จึงกล่าวขึ้น “ตอนนี้เจิ้งเซี่ยวหยางอยู่ในจวนเราพอดี กลับจากวังแล้วเจ้าค่อยไปคุยกับเขาดู” 

 

           ฉินเจิงตอบ “อืม” กระตุกยิ้มริมฝีปาก “คนน่าสนใจแบบนี้ ย่อมต้องไปพบ”