บทที่ 359.1 ข้ามสะพานขึ้นภูเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ด้านในวัดร้างหลังจากที่ฝนตก กองไฟนำพาความอบอุ่นมาให้ได้เล็กน้อย

บนเข่าของเฉินผิงอันคือคนจิ๋วดอกบัวที่นั่งขัดสมาธิ เจ้าตัวน้อยชี้ไปที่ดวงตาของเผยเฉียน

เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันทีจึงบอกให้เผยเฉียนออกไปข้างนอกกับเขา ส่วนเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้มุดลงดิน แต่ช่วยเฉินผิงอันสำรวจตรวจตรารอบทิศของวัดเล็ก

ก่อนหน้านี้ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเผยเฉียนในวัดร้าง แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่หลังจากที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง ชายแขนเสื้อของเผยเฉียนมีแต่เลือด ดินโคลนเปรอะเปื้อนเต็มร่าง นางบอกว่าก่อนหน้านี้ปวดตาเลยกลิ้งตัวอยู่บนพื้นนานมาก ตอนนั้นเจ้าตัวน้อยดอกบัวแห่งทะเลสาบก็ยกไม้ยกมือประกอบเป็นพัลวัน ช่วยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้เฉินผิงอันฟัง

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเดินออกจากวัดร้าง หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมาได้ระยะทางหนึ่งก็หมุนตัวกลับ หยุดเดิน ย่อตัวลงจ้องนิ่งไปที่ดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียน “เหตุใดจู่ๆ ดวงตาของเจ้าจึงมีเลือดไหลออกมา?”

เผยเฉียนหน้าซีดขาวด้วยยังหวาดผวาไม่คลาย น้ำตาคลอเบ้าด้วยความน้อยใจ ส่ายหน้าพูดสะอึกสะอื้น “ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็เจ็บปวดจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนจะมีบางสิ่งระเบิด คล้ายประทัดที่คนมีเงินจุดวันปีใหม่ ใช่แล้ว เมื่อพวกเราไปถึงบ้านเกิด ตอนปีใหม่จุดประทัดด้วยได้ไหม? เป็นมงคลนักล่ะ ข้าอยากลองจุดเองกับมือมาโดยตลอด”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดเรื่องนี้ดันไปออกเรื่องโน้นได้อย่างไร เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนนั้นที่ออกมาจากบ้านเกิด มีคนบอกกับข้าว่าภายในเวลาห้าปีห้ามกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน แต่หากคิดจะจุดประทัดตอนปีใหม่ จะยากอะไรเล่า พวกเรามาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน เป็นเพราะนักพรตเฒ่าที่โยนพวกเราสองคนออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวทำอะไรบางอย่างกับดวงตาเจ้าใช่หรือไม่? เขาเคยพูดอะไรกับเจ้าไหม?”

เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ในบ้านของเหล่าเว่ย ก็คือเมืองหลวงหนันเยวี่ยนน่ะ มันมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งใช่ไหมล่ะ ข้ามองไปยังก้นบ่อครู่หนึ่ง แล้วก็เงยหน้ามองดวงอาทิตย์เหนือศีรษะครู่หนึ่ง ก็กำลังหงุดหงิดนี่นา จากนั้นข้าก็เห็นตาเฒ่าคนหนึ่งที่ตัวสูงมาก เขาสวมชุดนักพรตเต๋า เขาบอกว่าจะเอาของบางอย่างใส่ในดวงตาของข้า แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ยอม แต่นักพรตเฒ่าบอกว่ามันมีค่ามากเลย ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เลยยอมรับปาก…”

เผยเฉียนร้องโอ้ยหนึ่งที รีบเอียงศีรษะตาม

ที่แท้เฉินผิงอันดึงหูของนาง เอ่ยสั่งสอน “ในสายตามีแต่เงิน แม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการงั้นรึ?”

เผยเฉียนโวยวายว่าเจ็บๆๆ เจ็บตา เฉินผิงอันถึงได้ยอมปล่อยมือ

เฉินผิงอันใคร่ครวญ จงขุยพูดตลอดเวลาว่าดวงตาของเผยเฉียนงดงาม น่าจะเป็นเพราะเขามองเบาะแสบางอย่างออก เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน

อันที่จริงจงขุยเคยพูดคำทำนายกับตัวเองว่า ‘ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา แสงทองอร่ามตาส่องหมื่นลี้ ยามจันทราตกลงสู่ภูเขาทักษิณ เสียงวานรร้องครวญ’

เฉินผิงอันพึมพำ “คงจะไม่ได้เอาดวงตะวันและดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวใส่เข้ามาในดวงตาของเผยเฉียนจริงๆ หรอกกระมัง?”

อย่างน้อยเผยเฉียนก็สามารถมองเห็นคนจิ๋วดอกบัวที่อยู่ใต้ดิน และยังสามารถมองผ่านวิชาอภินิหารสกัดกั้นแผ่นฟ้าด้วยหนึ่งฝ่ามือของบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง

เมื่อมีประสบการณ์เรื่อง ‘นักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิง’ มอบป้ายหยกศาลบรรพาจารย์ให้มาก่อนแล้ว เฉินผิงอันจึงมีความรู้สึกเหมือนคนถูกงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปี แต่สำหรับนักพรตเฒ่าตงไห่กวานเต๋าที่บอกว่าตัวเองรู้จักเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่เคยได้ยินความรู้เรื่อง ‘การเรียงลำดับ’ เป็นคนแรกสุดในใต้หล้า คิดดูแล้วต่อให้อีกฝ่ายอยากวางแผนเล่นงานเขาเฉินผิงอันจริงๆ ตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่มีความสามารถจะทำลายแผนการของอีกฝ่ายได้ ได้แต่ทหารมาเอาขุนพลต้าน น้ำมาเอาดินกลบ ค่อยๆ คิดค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าวเท่านั้น การที่บอกว่าเป็นการวางแผนเล่นงาน ไม่ใช่แผนการชั่วช้าที่เกิดจากเจตนาร้ายอย่างแผ่นหยกศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงนี้ หาใช่เพราะเฉินผิงอันเลื่อมใสเจ้าอารามกวานเต๋าอะไรมากมาย แต่เป็นเพราะคนที่ฝึกตนได้ถึงขั้นของนักพรตเฒ่า หรือถึงขั้นของเจ้าลัทธิลู่เฉิน ย่อมไม่สนใจแผนการชั่วร้ายที่ทำอย่างลับๆ แล้ว แต่จะใช้แผนการอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย พยายามให้สอดคล้องกับมหามรรคาแห่งฟ้าดินที่ลี้ลับมหัศจรรย์ในทุกๆ เรื่อง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “วันหน้าจะมอบร่มกระดาษน้ำมันคันใหม่ให้เจ้า”

เผยเฉียนกล่าวอย่างแปลกใจ “จะต้องจ่ายเงินให้ฟุ่มเฟือยทำไม?”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ แต่บอกให้นางกลับวัดร้างไปก่อน

รอจนเผยเฉียนวิ่งกลับไปถึงวัดแล้ว เฉินผิงอันถึงหันตัวกลับมามองบุรุษคนหนึ่งที่แค่มองครั้งเดียว เขาก็รู้ตัวตนของอีกฝ่ายทันที เซินกั๋วกงเกาซื่อเจิน เพราะเกาซู่อี้หน้าตาเหมือนท่านกั๋วกงผู้นี้ถึงเจ็ดแปดส่วน ด้านหลังเกาซื่อเจินคือผู้เฒ่าถือร่มที่ลักษณะท่าทางคล้ายพ่อบ้าน น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ และยังมีผู้เฒ่าชุดขาวที่ในมือถือไม้เท้าหวาย รอยยิ้มที่เขาส่งมาให้เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความประจบประแจง

เกาซื่อเจินจ้องเฉินผิงอันเขม็ง แต่แล้วอยู่ๆ ก็พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เด็กกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย”

เกาซื่อเจินเอ่ยถาม “หากไม่ได้อยู่ในเมืองเล็กริมชายแดนแห่งนั้น องค์ชายสามคิดจะจูงแพะของคนอื่นกลับไป หวังจะใช้สถานการณ์ใหญ่มาบีบบังคับให้ตระกูลเหยาต้องตายเพื่อปักลายบุปผาลงไปบนผ้าแพรบันทึกคุณความดีของตัวเอง ถึงได้มีหายนะครั้งนั้นเกิดขึ้น หากเปลี่ยนมาเป็นเมืองเซิ่นจิ่ง เจ้าเจอกับเกาซู่อี้บุตรชายข้า ก็เหมือนกับฝนที่ตกหนักในคืนนี้ เป็นแค่คนแปลกหน้าสองคนที่นั่งดื่มสุราเลิศรสในหอสุราเก่าแก่บางแห่ง พวกเจ้าจะกลายเป็นสหายกันได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ใบหน้าของเกาซื่อเจินบิดเบี้ยวทันใด

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับองค์ชายใหญ่หลิวจงผู้นั้นไปแล้วว่า อันที่จริงพวกเราต่างก็เข้าใจเหตุผลกันดี เพียงแต่ว่าบางครั้งต่อให้เป็นเหตุผลที่ดีที่ถูกต้องแค่ไหน เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนอยากได้มาครองแล้วกลับล่องลอยบางเบาเกินไป คนอย่างเกาซู่อี้ ข้าหวังว่าชาติหน้าที่เขาไปเกิดใหม่จะไม่ต้องมาเจอกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็จะฆ่าเขาอีกครั้ง”

สีหน้าของเกาซื่อเจินมืดทะมึน “เจ้าคิดจะทำให้ข้าโมโห ล่อให้ข้าลงมือกับเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ฉวยโอกาสตัดรากถอนโคน ทำให้สายของเซินกั๋วกงถูกตัดชื่อออกไปจากต้าเฉวียนนับแต่นี้รึ?”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วแล้วปาดไปด้านหน้าตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ก็คือนิสัยของเจ้าและเกาซู่อี้ ไม่ว่าทำอะไรหรือพูดอะไรก็ล้วนมีเหตุผลมารองรับให้ตัวเองเสมอ”

การกระทำที่ไร้เจตนาร้ายนี้ของเฉินผิงอันกลับทำให้ผู้เฒ่าถือร่มหัวใจหดเกร็ง เกือบจะเอาตัวมาปกป้องอยู่เบื้องหน้าเกาซื่อเจิน ผู้เฒ่าที่ถือไม้เท้าหวายก็ยิ่งเกือบจะเผ่นหนีไป คนที่ใช้วิชาสายฟ้าสยบและสังหารปีศาจลำคลองหมายเหอ จากนั้นก็ใช้หนึ่งกระบี่บีบให้วิญญูชนสำนักศึกษาหนีไป เทพเจ้าที่เล็กๆ อย่างเขาจะไปงัดข้อด้วยได้เสียที่ไหน แค่จามทีหนึ่งก็ทำให้ดวงวิญญาณเขาแหลกสลายได้แล้วกระมัง ยันต์สีทองสองแผ่นที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนนั้นสมกับเป็นวิชาของเทพเซียนจริงๆ

เกาซื่อเจินกลับเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นที่สุด “ข้าขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อย้ายศพของทหารชายแดนที่ตายในการต่อสู้ลงจากภูเขา เจ้าคงไม่ขัดขวางหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าว “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ายังเต็มใจยืนพูดกับเจ้าอยู่ตรงนี้”

ใบหน้าของเกาซื่อเจินเต็มไปด้วยความเดือดดาล

จวนเซินกั๋วกงตั้งตระหง่านอยู่ในราชวงศ์ต้าเฉวียนมานานถึงสองร้อยปี อายุเท่าเทียมกับแคว้น เคยหรือที่จะได้รับความอัปยศ ถูกคนหมิ่นเกียรติเช่นนี้?!

พ่อบ้านผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “นายท่าน”

เกาซื่อเจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหันหน้าไปพูดกับเทพเจ้าที่ที่เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในบรรดาเทพภูเขาและแม่น้ำ “มีลมก็รีบผาย!”

ผู้เฒ่าชุดขาวปลุกความกล้าเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ค้อมเอวต่ำพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “เฉินเซียนซือ ข้าน้อยจะช่วยท่านกั๋วกงเก็บศพ อาจจะต้องส่งภูตผีบนภูเขาบางตนออกมา กังวลว่าเจ้าพวกไม่รู้ความเหล่านั้นจะทำเสียงดังโดยไม่ทันระวัง เป็นการรบกวนการพักผ่อนของเซียนซือที่อยู่ในวัด ดังนั้นจึงมาบอกเฉินเซียนซือไว้ก่อน หวังว่าเฉินเซียนซือเป็นผู้ใหญ่ย่อมใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคลื่อนย้ายกันตามสบาย”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขลาดๆ “ข้าน้อยขอบังอาจถามมากสักคำ ไม่ทราบว่าเฉินเซียนซือตั้งใจจะจัดการกับศพของปีศาจใหญ่ตนนั้นอย่างไร? ต้องการให้ข้าน้อยเรียกพวกภูตผีบนภูเขามาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะทุ่นแรงเซียนซือได้ อย่างเช่นพวกงานเลาะหนังดึงเส้นเอ็น ดึงดูดแก่นเลือดในห้องโอสถของปีศาจใหญ่ใส่ไว้ในขวดในโถ ฯลฯ หรือไม่?”

เฉินผิงอันที่เก็บไปแค่โอสถปีศาจเม็ดหนึ่งของปีศาจลำคลองหมายเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนท่านเทพเจ้าที่แล้ว หลังจบเรื่องข้าย่อมมีค่าตอบแทนให้ ถือเป็นการขอบคุณพวกเจ้า”

ผู้เฒ่าตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาโดยไม่ขาดฝัน พูดติดๆ กันว่ามิกล้าให้เซียนซือสิ้นเปลือง น้ำตาร้อนๆ ที่คลอหน่วยเกือบจะร่วงลงมา

ใต้หล้านี้มีเทพเซียนที่อ่อนโยนถ่อมตนขนาดนี้ได้อย่างไร?

เกาซื่อเจินแค่นเสียงหึในลำคอแล้วหมุนตัวเดินลงภูเขาไป

เฉินผิงอันเดินกลับไปที่วัดร้างเพียงลำพัง

ปีศาจปลาไหลแห่งลำคลองหมายเหอตนนี้อยู่ห่างจากการสร้างโอสถทองได้สำเร็จแค่ก้าวเดียว สุดท้ายจึงเป็นเม็ดโอสถสีเขียวเข้มที่โปร่งใสแวววาวมีขนาดเท่าเมล็ดเหอเถา (วอลนัท) ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่โดนยันต์วิชาห้าอัสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์เล่นงานหรือไม่ ในโอสถปีศาจถึงมีสายฟ้าเป็นเส้นๆ เปล่งวูบวาบให้เห็นอย่างเลือนราง แต่การต่อสู้กับปีศาจลำคลองหมายเหอในคืนนี้ รายรับไม่พอกับรายจ่ายแน่อยู่แล้ว ได้โอสถเม็ดหนึ่งที่ยังไม่กลายเป็นสีทองมา แต่เฉินผิงอันกลับต้องจ่ายไปด้วยกระดาษยันต์ลายกรงเล็บมังกรถึงสามแผ่นเต็ม ทำลายยันต์ม้าเหล็กล้อมนครของสำนักการทหารที่จงขุยเขียนด้วยตัวเอง บวกกับยันต์ห้ามังกรคาบไข่มุกกระดาษสีทองที่เฉินผิงอันหยิบออกมาจากถุงผ้าตรงเอว จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันยังเสียดายอยู่เลย

ตอนที่เดินไปยังวัดร้าง เฉินเซียนซือที่สวมชุดขาวพลิ้วล่องลอย ปักปิ่นหยกบนมวยผม ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ตรงเอวพึมพำตลอดเวลาว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ๆ

ส่วนเหรียญทองแดงแก่นทองสองเหรียญที่สุยโย่วเปียนใช้ไปเพราะรบตายสองครั้ง

เฉินผิงอันไม่เต็มใจจะคิดถึง เพราะแค่คิดหัวใจก็สั่นสะท้านไปทั้งดวง

เข้าไปในวัดร้าง เว่ยเซียนเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยอย่างที่หาได้ยาก “จะกลับไปที่เมืองเซินจิ่งเล่นงานสุนัขตกน้ำพวกนั้นให้หนักๆ ไปเลยหรือไม่? ตอนนี้สกุลหลิวต้าเฉวียนไม่เหลือความกล้าหาญอยู่แล้ว ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมอะไรได้อีก มิน่าเล่าวิญญูชนสำนักศึกษาผู้นั้นถึงต้องทุบหม้อขายเหล็ก (เปรียบเปรยว่าทุ่มหมดตัว เอาทุกสิ่งที่ตัวเองมีออกมา) เป็นฝ่ายขอประนีประนอม ขอร้องไม่ให้พวกเราเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพราย”

เฉินผิงอันคิดแล้วสุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “รีบไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนของยอดเขาเทียนแจว๋ดีกว่า ถึงเวลานั้นข้าค่อยใช้กระบี่บินส่งข่าวไปบอกเรื่องในคืนนี้ให้สำนักศึกษาต้าฝูและภูเขาไท่ผิงรับรู้ เรื่องอื่นๆ พวกเราไม่ต้องสนใจ การกระทำของหวังฉี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาสมคบคิดกับเผ่าปีศาจต้องบอกให้จงขุยและสำนักศึกษารู้ ตอนนี้ขนาดภูเขาไท่ผิงยังไม่สงบสุข ใบถงทวีปวุ่นวายเกินไปจริงๆ พวกเราควรรีบนั่งเรือกลับไปที่นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปโดยเร็ว”

เรื่องเฝ้ายามของคืนนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน

จูเหลี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุดไปอาบน้ำสระผมที่ธารน้ำซึ่งอยู่ห่างไปไกลเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ หลับสนิทอย่างผ่อนคลาย ทำให้เผยเฉียนนับถือยิ่งนัก

เว่ยเซียนที่ถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานแล้ว แม้จะไม่ต้องเฝ้ายาม แต่เขากลับออกไปนอกวัดร้าง ย่อตัวลงนั่งยองอยู่ตรงสนามรบที่จูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ประหัตประหารกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ มองรอยเท้าสะเปะสะปะเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย

เฉินผิงอันนั่งหลับลืมตนอยู่ตรงมุมกำแพง สีหน้าเป็นปกติ

เผยเฉียนที่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับกลับรู้ว่าเฉินผิงอันอารมณ์ไม่ค่อยดี หรือเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องขาดทุน? เพราะกระดาษยันต์สามแผ่นที่จงขุยบัณฑิตผู้ตกอับมอบให้ไม่เหลืออยู่แล้ว? นางอยากจะหยิบไม้เท้าเดินป่าไปตีเจ้าคนจิ๋วดอกบัวนัก ต้องโทษตัวขาดทุนอย่างมันนั่นแหละ คิดไปคิดมาจนเริ่มเคลิ้ม เด็กหญิงผอมแห้งซึ่งเป็นคนเดียวที่มีกระโจมหนังวัวหลังน้อยจึงหลับไปทั้งอย่างนี้

ตอนที่ฟ้าสาง เว่ยเซี่ยนนั่งอยู่บนธรณีประตู นอกวัดร้างมีผู้เฒ่าชุดขาวถือไม้เท้าหวายยืนยิ้มมาเต็มหนึ่งชั่วยามแล้ว ห่างออกไปไกลอีกนิดคือภูตผีบนภูเขาที่ตบะตื้นเขิน ลักษณะของพวกมันน่าตลกอย่างมาก แบกห่อสัมภาระใบใหญ่สองใบไว้บนหลัง แล้วยังถือประคองไหและขวดกระเบื้องไว้ในมือ ฟ้ายังไม่ทันสว่างผู้เฒ่าก็มายืนรออยู่ตรงพื้นที่ว่างนอกประตูแล้ว แล้วก็ไม่คิดจะตะโกนเรียก แค่ยืนเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนั้นพร้อมกับพวกลูกสมุน เว่ยเซี่ยนรู้สึกเลื่อมใสผู้เฒ่าคนนี้ไม่น้อยที่สามารถยืนยิ้มให้วัดร้างได้นานขนาดนี้

พอเฉินผิงอันลืมตาตื่นก็ลุกขึ้นเดินไปทางประตู เห็นเทพเจ้าที่ที่ยืนรออย่างนอบน้อมอยู่นานแล้วก็รีบสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหา มอบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทนแก่ผู้เฒ่า

ทำเอาผู้เฒ่าที่ดูแลภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายร้อยลี้ตกใจ เหมือนเห็นอาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษต้องกินก่อนขึ้นลานประหาร ให้ตายก็ไม่กล้ารับเอาไว้

เฉินผิงอันจึงไม่ฝืนใจ กุมหมัดขอบคุณเทพเจ้าที่ผู้นี้อีกครั้ง ผู้เฒ่าชุดขาวคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน หลังจากบอกลา เดินออกไปได้สองสามลี้แล้วถึงได้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก

ภูตภูเขาที่มีร่างเป็นคน แต่หัวกลับเป็นหนูตนหนึ่งรีบพูดประจบ “ท่านเทพเจ้าที่ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านผู้อาวุโสจะมีหน้าตาใหญ่โตเพียงนี้ ถึงขั้นทำให้เซียนซือท่านนั้นเกรงใจได้ หากเรื่องที่น่าเลื่อมใสนี้แพร่ออกไปจะไม่ยอดเยี่ยมเลยหรือ วันหน้าในรัศมีพันลี้นี้ใครจะยังกล้าพูดจาเสียงดังใส่ท่านเทพเจ้าที่อีก?”

ผู้เฒ่าชุดขาวกระแอมหนึ่งที เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า พลันรู้สึกว่าไม้เท้าหวายในมือเบาขึ้นหลายส่วน แสร้งทำเป็นพูดว่า “สยบคนด้วยคุณธรรม สยบคนด้วยคุณธรรม”

เฉินผิงอันมองห่อของขวัญน้อยใหญ่ที่วางกองอยู่ตรงหน้าประตูแล้วถอนหายใจ ถึงคราวที่วัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ในนครมังกรเฒ่าได้ขึ้นเวทีแสดงแล้ว

แม้ว่าเขาจะใช้กระบี่บินสืออู่ที่เป็นวัตถุฟางชุ่นได้ถนัดมือมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใหญ่มากพอ ในฐานะวัตถุจื่อชื่อที่ต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังกระหายอยากครอบครอง อันที่จริงแผ่นหยกไร้ตัวอักษรแผ่นนั้นถือว่าหาได้ยากมากแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเฉินผิงอันเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนถึงได้เก็บเอาไว้ปล่อยให้สิ้นเปลืองวัตถุสวรรค์มาโดยตลอด วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาขนานนามว่าเป็น ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่สุด’ ได้แต่ปรารถนามิอาจครอบครอง ชุยตงซานที่เป็นถึงผู้ฝึกตนใหญ่ซึ่งเคยเดินไปถึงยอดบนสุดของขอบเขตสิบสองมาก่อน วัตถุที่เขาพกติดกายก็ยังมีแค่วัตถุจื่อชื่อชิ้นเดียวเท่านั้น

กระบี่บินสืออู่จึงเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษอย่างถึงที่สุด

วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อทั่วไป ต่างก็มีกุญแจดอกหนึ่งในการเปิด ‘ถ้ำสวรรค์’ ซึ่งก็คือเส้นสายที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของวัตถุเหล่านี้ หลังจากถูกคนหล่อหลอมแล้วจะทำลายได้ยากยิ่ง เว้นเสียจากว่าจะใช้วิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ฝืนทำลายลง หากใช้วิธีการนี้ อย่างน้อยของที่อยู่ด้านในจะต้องถูกทำลายไปเกินครึ่ง ไม่แน่ว่าแม้แต่ ‘ถ้ำสวรรค์’ ก็อาจจะพังทลายไปด้วย เจิ้งต้าเฟิงย่อมไม่มีทางให้วัตถุจื่อชื่อโดยไม่มอบกุญแจให้ เขาได้บอกให้เฉินผิงอันรู้ถึงวิธีการควบคุมและหล่อหลอมใหม่อย่างชัดเจนแล้ว

การเดินทางไปยอดเขาเทียนแจว๋หลังจากนั้นไม่มีคลื่นมรสุมใดๆ อีก

อันที่จริงรากฐานที่แท้จริงของราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกทำลายลงไปไม่น้อยเพราะเฉินผิงอัน

หลี่หลี่ขันทีโส่วกงไหว จวนเซินกั๋วกง องค์ชายใหญ่หลิวจง สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ แม่ทัพสกุลสวี่ หวังฉีวิญญูชนที่เฝ้าพิทักษ์เมืองเซิ่นจิ่งมานานหลายปี

—–