ตอนที่ 400 คำพูดแฝงความหมาย

บัลลังก์พญาหงส์

ฮ่องเต้ไม่รอให้หลี่เย่ถวายคำนับ ได้แต่ยิ้มแล้วโบกๆ มือ “ช่างเถิด เจ้าบาดเจ็บอยู่ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากนัก”

ตอนที่พูดออกมานั้น ถาวจวินหลันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แต่นางก็สัมผัสถึงสายตาของคนรอบข้างที่แปลกไปได้

หลี่เย่ยังคงยืนกรานถวายการคำนับ

ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้ตรัสอะไรออกมา แต่ว่าท่าทีก็เห็นได้ชัดว่าทรงพึงพอใจ

ซวนเอ๋อร์ก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อถวายคำนับเช่นกัน “เสด็จปู่!”

พอเห็นซวนเอ๋อร์ รอยยิ้มของฮ่องเต้ก็ปรากฏออกมาทันที รีบก้าวลงมาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว แล้วอุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นมา ยิ้มแล้วตรัสว่า “ซวนเอ๋อร์สบายดีหรือไม่?”

ซวนเอ๋อร์ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันครบทุกซี่อย่างชัดเจน “สบายดี”

ปู่หลานพูดคุยกันไปมาอยู่สักพัก ขันทีเป่าฉวนก็เตือนฮ่องเต้ว่า “แดดแรงเช่นนี้หากถูกแดดเผาจะไม่ดีนักพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จเข้าไปในห้องก่อนดีกว่า”

ฮ่องเต้กวาดตามองไปรอบๆ เห็นคนอื่นยืนตากแดดกันอยู่สักพักแล้ว ก็หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยนทันที “ข้าผิดเอง” พูดจบก็อุ้มซวนเอ๋อร์แล้วเดินเข้าไปในห้อง

หลี่เย่รีบพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงให้ซวนเอ๋อร์เดินด้วยตัวเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เขาตัวหนักมากแล้ว อุ้มอยู่เช่นนี้จะไม่สะดวกนัก”

“ไม่เป็นไร ข้ายังไม่แก่จนถึงขั้นว่าแม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็ยังอุ้มไม่ไหว” ฮ่องเต้ตรัสออกมาเช่นนี้ แล้วก็ไม่ยอมปล่อยซวนเอ๋อร์ให้ลงเดินด้วยตัวเอง แต่คำพูดที่ตรัสออกมานั้น…ก็อาจจะมีความหมายแฝงซ่อนอยู่

ถาวจวินหลันรู้สึกว่า ฮ่องเต้ทรงไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเขาชราภาพ…หรือบางทีอาจพูดได้ว่าทรงไม่อยากยอมรับความจริง ใช่ซี ใครจะอยากยอมรับว่าตัวเองแก่กันล่ะ?

แต่ว่าพอมองไปที่ไรผมสองข้างที่ในตอนนี้เป็นสีขาวอย่างชัดเจนแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ก็แค่ทรงหลอกตัวเองและคนอื่นเท่านั้น

จวงอ๋องและอู่อ๋องก้าวมาข้างหน้า จวงอ๋องพิจารณาดูหลี่เย่แล้ว ก็พูดหยอกล้อว่า “ดูท่าแล้วน้ำพุร้อนคงช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้ดีจริงๆ ตอนนี้ดูท่าทีของพี่รองแล้วไม่เลวเลย”

หลี่เย่เหลือบมองไปทางจวงอ๋องที่ยิ้มอย่างเสแสร้ง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน “ทุกวันไม่ต้องออกไปวุ่นวายข้างนอก วันๆ เอาแต่อยู่อย่างสุขสบายในเรือน ก็ต้องฟื้นฟูเร็วแน่นอน เพียงแต่พูดไปแล้วข้าก็รู้สึกผิดเช่นกัน”

จวงอ๋องหลุดแสดงความอิจฉาออกมาเล็กน้อย “ข้าอิจฉาพี่รองจริงๆ ที่ได้มีเวลาว่างเช่นนี้”

รอยยิ้มของหลี่เย่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังไม่มีอารมณ์โกรธหรือความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นรึ? แต่ข้าไม่หวังอยากให้เจ้าเป็นเช่นข้า ถึงแม้ว่าได้อยู่ว่างๆ เช่นนี้จะเป็นเรื่องดี แต่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก ข้ายอมยุ่ง แต่สุขภาพร่างกายแข็งแรงจะดีกว่า ตอนนี้ข้าอยากเป็นเหมือนพวกเจ้าที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อบ้าง”

ถาวจวินหลันมองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าราวกับไม่ได้ยินอะไร…ขณะที่ลูกชายของเขากำลังพูดจาอย่างมีความหมายแฝงเช่นนี้ ฮ่องเต้กลับทรงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในใจจะคิดเช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้

จวงอ๋องกำลังอ้าปากราวกับจะพูดอะไรต่อ แต่อู่อ๋องกลับพูดแทรกเสียก่อน หัวเราะแล้วพูดว่า “บาดแผลของพี่รองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ข้ายังมีกระดูกเสืออยู่ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเอามามอบให้พี่รอง หวังว่าพี่รองจะหายบาดเจ็บในเร็ววัน พวกเราพี่น้องจะได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ!”

อู่อ๋องพูดออกมาอย่างจริงใจ จึงดึงดูดความสนใจจากฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้มองไปทางอู่อ๋องอย่างชื่นชม แล้วพูดว่า “พวกเจ้าพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ ข้าก็ดีใจ”

นี่เป็นการให้กำลังใจหลี่เย่ ว่าระหว่างพวกเขาพี่น้องจะต้องรักใครกลมเกลียวกัน พี่ชายต้องรักและเมตตาน้องชาย ส่วนน้องชายต้องให้ความเคารพพี่ชาย

จวงอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าจากนั้นก็พูดไปตามน้ำ “พี่รองรักษาตัวให้ดี รอจนหายดีแล้ว พวกเราพี่น้องไปดื่มเหล้ากันเสียหน่อย!”

หลี่เย่ยิ้มแล้วขอบคุณน้ำใจของน้องชายทั้งสองคน จากนั้นก็มองไปทางอู่อ๋องแล้วพูดว่า “กระดูกเสือนั้นไม่จำเป็น ตอนนี้บาดแผลของข้าก็ใกล้หายดีแล้ว ใช้ของพวกนี้ก็ถือว่าเสียดายของเปล่าๆ ข้าจำได้ว่าหัวเข่าของเสด็จพ่อปวดอยู่บ่อยๆ ไม่สู้ให้หมอหลวงบดกระดูกเสือมาเป็นยาประคบให้เสด็จพ่อ”

ถาวจวินหลันลอบยกนิ้วให้หลี่เย่ในใจ หลี่เย่ใช้วิธียืมมือคนอื่นทำความดีความชอบให้ตัวเองได้อย่างงดงามจริงๆ

พอมองไปที่หน้าของอู่อ๋องที่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วมองไปทางหลี่เย่ที่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม ก็ดูต่างกันราวฟ้ากับเหวทันที จำต้องพูดว่า การรักษาท่าทีที่อ่อนโยนและอบอุ่นมานานหลายปีเช่นนี้ พอเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ ผู้อื่นจึงหาข้อติไม่ได้เลยทีเดียว

เทียบกับเขาแล้ว ไม่ว่าจวงอ๋องหรืออู่อ๋อง ต่างก็ไม่มีผู้ใดสู้ได้ เพียงแค่ท่าทีที่แสดงออกมาทางใบหน้า จวงอ๋องและอู่อ๋องก็ควรต้องกลับไปเรียนมาใหม่สักสองปี

ฮ่องเต้กลับไม่คิดว่าหลี่เย่จะรู้เรื่องนี้ จึงมองไปทางหลี่เย่อย่างแปลกใจ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีอาการป่วยเช่นนี้?”

อาการป่วยนี้ นอกจากหมอหลวงแล้ว ก็มีเพียงแค่ขันทีเป่าฉวนที่รู้

“นี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เสด็จพ่อยังทรงเป็นองค์รัชทายาท ตอนไปล้มที่ทางเหนือ ตอนนั้นอากาศยังเหน็บหนาว จึงต้องรักษาตัวอยู่นาน อีกทั้งตอนฤดูหนาวข้ายังได้กลิ่นยาทาจากตัวของเสด็จพ่อ ทั้งเวลาที่เสด็จยังก้าวอย่างลำบาก ดังนั้นข้าจึงรู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ยิ้มแล้วอธิบาย แล้วยังถอนใจเอ่ย “แต่น่าเสียดาย นี่เป็นโรคที่เป็นมาหลายปี ยาอะไรก็ได้แต่เพียงเบาเทาอาการไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นลูกจะต้องไปเสาะหาหมอฝีมือดีมารักษาอาการของเสด็จพ่อให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

พอได้ยินหลี่เย่อธิบายอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็แสดงความซาบซึ้งใจออกมาทันที “เจ้าเป็นคนละเอียดรอบคอบอีกทั้งยังกตัญญู”

ตอนที่ฮ่องเต้พูดออกมา น้ำเสียงก็แสดงความซาบซึ้งใจและดีใจอย่างไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย

ถาวจวินหลันคิดแล้ว หากเป็นตัวนางเอง เกรงว่าก็คงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุดเช่นกัน…ความสัมพันธ์ของพ่อลูกในราชวงศ์นั้นไม่สนิทสนมกันนัก อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ต่างคนต่างไม่รู้เรื่องของกันก็เป็นเรื่องธรรมดา หลี่เย่มีความคิดเช่นนี้ ก็ถือว่าหาได้ยากจริงๆ

ในขณะเดียวกัน ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นมือของอู่อ๋องที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเล็ดลอดออกมา เห็นเพียงมือที่กำแน่นจนจนนิ้วมือเป็นสีเขียว เส้นเลือดปูดออกมาจนแทบระเบิด เห็นได้ชัดว่า อู่อ๋องไม่พอใจเป็นยิ่งที่หลี่เย่ใช้วิธียืมมือของเขาเพื่อรับความดีความชอบ

ถาวจวินหลันรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย…หลี่เย่ทำเช่นนี้ก็ถือเป็นการทำให้จวงอ๋องและอู่อ๋องไม่พอใจ หากทั้งสองคนนี้แอบทำอะไรขึ้นมา…ถึงแม้จะบอกว่าไม่กลัว แต่ก็ไม่สู้ระวังไว้

ในใจยิ่งคิดว่าต่อไปจะต้องห้ามหลี่เย่ไว้หน่อย จะทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้

สำหรับผู้หญิงอย่างนางแล้ว แน่นอนว่าถาวจวินหลันจะตามฮ่องเต้อยู่ตลอดไม่ได้ ดังนั้นนางจึงรีบเดินตามไปทางเรือนพักของไทเฮาอย่างรวดเร็ว

คนที่เดินไปด้วยกันก็ยังมีองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า

ส่วนพระสนมคนอื่นๆ เนื่องด้วยต้องจัดการเรื่องที่พักของตัวเอง ดังนั้นไทเฮาจึงรับสั่งให้พวกนางไปที่เรือนของตัวเองก่อน

ไทเฮายิ้มแล้วพูดกับพวกนาง “ดูแล้วซวนเอ๋อร์จะดำขึ้นเล็กน้อย มองไปมองมาก็ยิ่งดูแข็งแรงขึ้นจริงๆ”

ถาวจวินหลันประคองไทเฮาให้ประทับลงบนเก้าอี้ยาว พลางอธิบายว่า “เขาไม่ยอมนอนกลางวันเลยเพคะ ได้แต่ห่วงเล่น ทุกวันนี้เริ่มรู้จักการละเล่นหลายอย่างแล้ว ตอนกลางวันแดดร้อนๆ ก็ไม่กลัว ออกไปดูการละเล่นพวกนี้ทุกวันเพคะ”

ไทเฮาขมวดคิ้ว “ควรให้เขาได้นอนกลางวันถึงจะถูก แดดร้อนเช่นนี้ยังวิ่งเล่นอยู่ ระวังเดี๋ยวจะเป็นไข้แดดเอาได้”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพคะ ตอนกลางวันหากไม่ได้นอน ตอนกลางคืนก็จะนอนยาวและหลับสนิทขึ้นเพคะ หม่อมฉันให้คนคอยดูเขาไม่ให้วิ่งกลางแดด จะให้วิ่งเล่นอยู่ใต้ร่มของต้นไม้และให้เขาดื่มน้ำแกงถั่วเขียวทุกวันอีกด้วยเพคะ” เกรงว่านั่งอยู่เช่นนี้จะเมื่อย ถาวจวินหลันจึงยัดหมอนอิงให้ไทเฮาพิง แล้วถึงเดินออกมา

องค์หญิงเก้าเม้มปากแล้วยิ้ม “ในสายตาของไทเฮามีแต่เหลนอย่างซวนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่มีหลานสาวอย่างพวกข้าอยู่ในสายตา ช่างน่าเสียใจเสียจริง”

ไทเฮาถลึงตาใส่องค์หญิงเก้า หัวเราะแล้วแกล้งหยอกไปว่า “เจ้าก็รีบมีเหลนให้ข้าสักคนซี เจ้าจะได้ไม่ต้องน้อยใจ อายุขนาดนี้แล้ว ยังรู้จักอิจฉาหลานอีกรึ?”

องค์หญิงแปดก็หยอกองค์หญิงเก้าด้วยเช่นกัน

ไทเฮาทอดพระเนตรองค์หญิงแปดอย่างสงสาร แล้วตรัสว่า “เจ้าเองก็รักษาตัวให้ดี เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากว่าสามีของเจ้ากล้าพูดอะไรล่ะก็ ขอแค่มาบอกข้า ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”

องค์หญิงแปดตกใจ แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลงไป “สามีของข้าไม่ได้พูดอะไรเพคะ เพียงแต่ข้ายังทำใจไม่ได้ก็เท่านั้น”

ถาวจวินหลันคิดถึงลูกขององค์หญิงแปดแล้ว ก็รีบพูดขึ้นมาทันที “เจ้ายังอายุน้อย หลังจากรักษาตัวให้หายดีแล้วจะต้องมีข่าวดีแน่นอน แล้วเจ้าจะร้อนใจไปทำไมกัน?”

องค์หญิงแปดเก็บความเสียใจเอาไว้ แล้วหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นข้าก็ขอให้คำพูดของเจ้าเป็นจริงในเร็ววัน”

แล้วก็พูดถึงเรื่องอาการ “ป่วย” ของฮองเฮา องค์หญิงเก้ายังอายุน้อย จึงพูดออกมาว่า “ครั้งนี้ฮองเฮาเสด็จมาไม่ได้ ช่างน่าเสียดาย ทรงประชวรได้บังเอิญจริงๆ ”

ท่าทีของไทเฮาไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ แต่ว่าก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อไปก็ยังมีโอกาส”

พอเห็นท่าทีไม่อยากพูดมากของไทดฮา ทุกคนย่อมเปลี่ยนเรื่องคุยกันอย่างรู้หน้าที่

“ครรภ์ของอี๋เฟยใหญ่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดถึงยังตามเสด็จมาเล่าเพคะ? นั่งรถม้ามาก็เหนื่อย สำหรับหญิงตั้งครรภ์อย่างนางถือว่าอันตรายมาก” ถาวจวินหลันคิดถึงท้องของอี๋เฟยที่ตอนนี้ใหญ่จนเท่ากับลูกแตงโม ก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก

“จะให้อยู่ในวังหลวงฮ่องเต้ก็ไม่วางใจ จึงให้มาด้วยกัน อีกทั้งเรื่องการคลอดก็ต้องแปดเดือนขึ้นไป ถึงตอนนั้นก็กลับไปเมืองหลวงแล้ว ไม่ได้เป็นปัญหา อีกทั้งตอนนี้ครรภ์ของนางก็ผ่านสามเดือนไปแล้ว ถือว่าครรภ์แข็งแรงดี” ไทเฮายิ้มแล้วอธิบาย แล้วก็ดูมีความคาดหวัง “ไม่รู้ว่าจะมีหลานชายให้ข้าเพิ่มสักคนหรือไม่” สักพักก็พูดต่อว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นหลานสาวก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรหลายปีมานี้วังหลวงก็ไม่ได้มีสมาชิกเพิ่มมานานแล้ว”

“ข้าเห็นว่าท้องของอี๋เฟยแหลมๆ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นบุตรชายเพคะ” ถาวจวินหลันคิดถึงตอนที่นางตั้งครรภ์ซวนเอ๋อร์ แล้วพูดว่า “เหมือนกับตอนที่ข้าตั้งครรภ์ซวนเอ๋อร์ ตอนที่ข้าตั้งครรภ์หมิงจูนั้นท้องเล็กกว่าซวนเอ๋อร์ แล้วยังกลมกว่าเล็กน้อย”

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำพูดโกหก ก็ถือว่าทำให้ไทเฮาทรงดีพระทัย

ไทเฮาทรงดีพระทัยจริงๆ อารมณ์ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นไม่น้อย

องค์หญิงเก้ายังไม่เคยตั้งครรภ์ จึงแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย “เพียงแต่ท้องนั้นดูใหญ่เกินไปหน่อย เวลามองแล้วข้ารู้สึกกลัว จึงไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก”

ไทเฮาเห็นว่าองค์หญิงเก้ามีท่าทีเช่นนี้ จึงหัวเราะออกมา “ท้องของนางก็ใหญ่เกินไปจริงๆ ในเมื่อเจ้ากลัวก็ไม่ต้องเข้าใกล้” ที่ไทเฮาไม่ได้พูดก็คือ ท้องใหญ่เช่นนี้ เวลาคลอดคงจะลำบากอย่างมาก

แต่คิดถึงคงทำให้องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าที่ไม่เคยคลอดลูกตกใจได้ จึงไม่ได้พูดออกไป

พวกนางนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนไทเฮาอยู่สักพัก ถาวจวินหลันเห็นว่าไทเฮาอ่อนเพลีย จึงเอ่ยว่า “ไทเฮาทรงงีบสักพักเถิดเพคะ ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น ถึงตอนนั้นข้าค่อยปลุกพระองค์เพคะ”

นั่งรถม้ามาทั้งวันทำให้ไทเฮาอ่อนเพลียจนทนไม่ไหวจริงๆ จึงงีบลงไป

องค์หญิงแปดเสนอความเห็นว่าให้เดินเล่นในวังฤดูร้อน…ในเมื่อที่นี่ถูกเลือกให้เป็นวังฤดูร้อน แน่นอนว่าทิวทัศน์จะต้องดีเลยทีเดียว

ถาวจวินหลันไม่เคยเดินเล่นในวังฤดูร้อน จึงรู้สึกแปลกใจ อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ ดังนั้นพวกนางจึงเดินออกจากเรือนที่พักของไทเฮา พูดคุยและเดินเล่นในสวนของวังฤดูร้อน