ฮวาอวี่เฟยตายแล้ว
แต่ เรื่องนี้มันไม่เหมือนกับที่เกาเหลียงคิดไว้เลย ไม่อาจเผยแพร่เรื่องนี้ให้คนในยุทธภพรู้ได้ ยิ่งไม่มีใครรับรู้ถึงลูกรักของสวรรค์อย่างเย่เทียนที่ค่อยๆ รุ่งโรจน์ขึ้นหรอก
ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะต่งเจ๋อเชาสั่งคนให้บอกกับผู้โชคดีที่มาอยู่ตรงนั้น ว่าห้ามเผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนสู่โลกภายนอกเด็ดขาด ต่อให้เป็นปู่แท้ๆ ของตน ก็ห้ามเด็ดขาด!
คนที่ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษหากบฏ
ภายใต้คำสั่งที่เคร่งครัดนี่ ข้อมูลนี้จึงไม่ได้ถูกแพร่งพรายออกไปมาก เกาเหลียงถึงขั้นนอกจากหัวหน้าสำนักแล้วก็ไม่กล้าบอกให้ใครรู้อีกเลย
คนที่เป็นถึงระดับหัวกะทิของสำนักกุยอีนั้น ต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่หน่วยเดอะคิงที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามขาดแคลนที่สุดก็คือนักบู๊ระดับดำ ไม่ใช่แค่เขาที่เป็นนักบู๊ระดับเหลืองเลย ต่อให้เป็นทั้งสำนักกุยอีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน
แม้แต่เกาเหลียงที่เป็นนักบู๊ตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆแล้ว ต่างก็พากันตบอกรับปาก ว่าจะไม่เอาไปพูดต่อแม้แต่คำเดียว
ในใจของทุกคนต่างก็รู้ดี ว่าเรื่องนี้มันส่งผลกระทบที่มากเกินไป มันอาจทำให้เกิดความแตกตื่นไปทั่วทั้งประเทศก็เป็นได้
และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ถูกต่งเจ๋อเชาสั่งให้กลบเกลื่อนว่าเป็นการเกิดแผ่นดินไหว จึงถือว่ายังพอสามารถกดเรื่องนี้เอาไว้ได้
แน่นอนว่า ตอนที่ต่งเจ๋อเชาปรากฏตัวออกมา เขาก็แสดงเจตจำนงว่าอยากให้เย่เทียนมาเป็นกำลังให้กับประเทศชาติทันที
จนเย่เทียนบอกว่าจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกกองทีมสายฟ้าที่เยี่ยนจิง ต่งเจ๋อเชาถึงยอมปล่อยเขาไป
ส่วนเรื่องกรรมสิทธิ์ของเหมืองหินหยกนั้นก็เป็นไปตามคาด มันได้ตกมาอยู่ในมือของตระกูลฮั่วกับตระกูลซูที่เย่เทียนที่เป็นตัวแทนอยู่
หยางหย่งซินถูกฮวาอวี่เฟยฆ่าตาย หลี่เฉียนคุนถูกลูกหลงจากกระสุนยิ่งตาย ส่วนตู้เฉี่ยวเฉี่ยวก็ตกใจจนหนีกลับเจียงหนันไปตั้งแต่เมื่อคืน นอกจากเย่เทียนก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีกแล้ว
แต่ ณ ตอนนี้ เรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเย่เทียน เขาในตอนนี้ กำลังหรี่ตาและนั่งอยู่บนที่นั่งของเครื่องบิน บินตรงสู่เจียงหนัน
เมื่อคืนหลังได้รับข้อมูลของเจียงหนันจากจี้เหยียนหรันแล้ว เย่เทียนก็พูดกับพวกฮั่วเยี่ยนจือไปนิดหน่อย และไม่ได้กล่าวลากับซูเหมยด้วยตนเองด้วยซ้ำ ก็ต้องนั่งเครื่องกลับเจียงหนันตั้งแต่ตอนตีสองเลย
เรื่องสิทธิ์ในเหมืองหินหยกนั้นมันก็สำคัญ แต่เมื่อมาเทียบกับความปลอดภัยของเฉินหวั่นชิงแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรเลย
สำหรับเย่เทียนแล้ว เฉินหวั่นชิง ตระกูลเฉินถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรื่องโหดเหี้ยมอย่างชาติที่แล้วเขาไม่มีทางให้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด
สิ่งสำคัญคือ การจากไปอย่างกะทันหันของหยางหย่งซินกับหลี่เฉียนคุนมันทำให้ทั้งสองตระกูลตกอยู่ในสภาวะที่วุ่นวายโดยสมบูรณ์ และทำให้ทั่วทั้งจ๊กกลางก็วุ่นวายตามไปด้วย
นี่จึงเป็นการทดสอบครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่า คนที่ถูกทดสอบในครั้งนี้ไม่ใช่ตระกูลซู แต่เป็นสาวมหัศจรรย์แห่งวงการธุรกิจอย่างฮั่วเยี่ยนจือต่างหาก!
ถ้าเธอสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้ตระกูลฮั่วยิ่งใหญ่ขึ้น เย่เทียนก็ไม่รังเกียจที่จะเอ่ยปากรับเธอเป็นศิษย์ในนามถ่ายทอดเคล็ดลับพื้นฐานของการปรุงยาให้!
ส่วนเรื่องลูกศิษย์ที่แท้จริงอะไรนั่น ถ้าไม่มีสักสามถึงห้าสิบปีก็อย่าหวังเลย
ยังไงซะ เรื่องความซื่อสัตย์นั้นสำคัญมาก เย่เทียนนั้นไม่อยากเลี้ยงศิษย์ที่คิดไม่ซื่อหรอก!
ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เย่เทียนก็สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่อีกฟากของทางเดินจากทางหางตา
ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ป่วยรึเปล่า แค่นั่งเครื่องบินยังต้องแต่งตัวมิดชิดขนาดนี้ ใส่แว่นดำอันใหญ่ไว้บนหน้า ทำให้มองไม่ออกว่าหน้าจริงเป็นยังไง
ถ้าไม่ใช่หน้าอกที่นูนออกมาของเธอ เย่เทียนก็คงคิดว่าเป็นพวกผิดเพศอีกแล้ว
แน่นอน ว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเย่เทียน นอกจากการแต่งตัวที่มิดชิดนั่นแล้ว หลักๆ ก็คือชายใส่สูทสวมรองเท้าหนังที่นั่งอยู่ข้างเธอนั่นแหละ แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นบอดี้การ์ด
“มีแต่พวกมีตังค์นะ!”
เย่เทียนตัดพ้อในใจ ตำแหน่งที่นั่งเป็นชั้นเฟิร์สคลาสของเครื่อง ต่งเจ๋อเชาเป็นคนที่จองตั๋วให้ด้วยตนเอง นอกจากผู้หญิงคนนี้แล้ว ยังมีชายอีกหลายคนที่แต่งตัวเลิศหรู
จากผิวพรรณที่เผยออกมาของหญิงสาว เย่เทียนก็กล้ารับประกันได้เลยว่าเธอคนนี้อายุยังไม่น่าจะเยอะ อายุยังน้อยก็จ้างบอดี้การ์ดได้ แถมยังนั่งชั้นเฟิร์สคลาสอีกด้วย ไม่รู้ว่านำหน้าคนที่อายุไล่เลี่ยกันไปตั้งกี่เท่าแล้ว
แต่เย่เทียนกลับไม่ได้คิดดูดีๆ ว่าในวันนี้ ความสำเร็จของเขาก็นำหน้าคนรุ่นเดียวกันไปแล้วไม่ใช่รึไง?!
คนที่เคยนั่งเครื่องบินน่าจะรู้ดี ระหว่างที่บินอยู่เหนือเมฆ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการนอน
หนึ่งคือตอนนี้มันดึกมาก เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนที่สุด สองคือ เป็นแค่สายการบินระยะสั้น จึงไม่มีบริการWifiอะไรพวกนั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีทางเลือกอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว
ในตอนที่เย่เทียนตั้งใจจะเอาเรื่องวุ่นวายบนหัวออกแล้วงีบสักพักนั้นเอง แต่แล้ว หลังผ้าม่านของชั้นเฟิร์สคลาสก็มีเสียงของหญิงสาวที่ไม่ค่อยชอบใจดังขึ้น
“คุณคะ ต้องขออภัยด้วย ที่นี่เป็นที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส ขอความร่วมมือให้กลับไปยังที่นั่งของคุณด้วยค่ะ”
“ผมแค่รู้สึกหนาว เลยอยากถามว่าที่คุณพอมีผ้าห่มให้ผมสักผืนมั้ย?”
เสียงที่ตอบกับหญิงสาวนั้นเป็นน้ำเสียงที่ค่อนข้างทุ้มลึก
“คุณช่วยรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะ ….กรี๊ด!”
จู่ๆ หญิงสาวก็กรี๊ดออกมา ทำให้ผู้โดยสารหลายคนที่หลับอยู่ต้องตื่นขึ้นมา “เขามีปืน!”
“นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!”
ในตอนนี้ ภายในเครื่องบินก็ได้วุ่นวายเหมือนกับตลาดไปแล้ว
ปั้งปั้ง!
“แม่งหุบปากไปให้หมด! ถ้าใครยังแหกปากอีกกูจะส่งมันไปเฝ้ายมบาลเลย!”
วินาทีต่อมา เสียงของชายที่ทุ้มลึกเมื่อกี้ก็ได้ดังขึ้น จากนั้น ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีกเลย
“ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้ สงสัยพอลงเครื่องแล้วต้องไปซื้อหวยแล้วล่ะ”
เย่เทียนที่หรี่ตาไว้ได้ลืมตาโตมาตั้งนานแล้ว และยิ้มอย่างขมขื่นออกมาที่มุมปาก เขานั้นรู้ดี ว่านี่น่าจะเป็นการจี้เครื่องบินที่ร้อยปียังยากที่จะเจอสักครั้ง
พรึ่บพรั่บ!
เสียงฝีเท้าหลายเสียงได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วผ้าม่านที่กั้นชั้นเฟิร์สคลาสไว้ก็ถูกดึงออกอย่างกะทันหัน
ตุบ!
แอร์สาวที่อยู่ในเครื่องแบบถูกคนใช้แรงผลักอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น เธอที่แต่งหน้าบางๆ ได้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนหน้าซีดไปนานแล้ว เธอล้มอยู่ข้างๆ เย่เทียน และกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“พะ พวกคุณหนีไม่รอดหรอก รีบล้มเลิกความตั้งใจเถอะ!”
“โอ้โห เรื่องถึงขั้นนี้แล้วยังจะปากแข็งได้อีก? ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยเธอก็คงคิดว่าพวกเรากำลังล้อเล่นอยู่ใช่มั้ย?”
“เจ้าสาม แอร์คนนี้ยกให้แกนะ ลากไปให้พวกไม่เอาไหนที่อยู่ในชั้นประหยัดเพิ่มพลังสักหน่อย”
ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หัวโล้นก็เดินเข้ามาขาด้านนอก จิกผมยาวๆ ของแอร์แล้วลากเธอออกไปด้านนอก
“อ้า….”
ภายใต้ความเจ็บปวด แอร์คนนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น เธอที่รู้ดีว่าหลังออกไปแล้วต้องเจอกับเรื่องอะไรก็ไม่กล้าขยับเท้าแม้แต่นิดเดียว ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง
“เพิ่มพลังงั้นเหรอ?”
นี่มันก็เหมือนกับการเหมาร้านเกมไม่มีผิด แล้วยังมีเรื่องอะไรที่แค่ดูก็สามารถเพิ่มพลังได้อีก?
เย่เทียนหันมองไอ้หัวล้านที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย อดส่ายหัวไม่ได้ และได้ถอนหายใจออกมา นี่มันตีอะไรเข้าไปแล้ว? จะไม่ให้คนเขาได้หลับได้นอนเลยรึไงเนี่ย?
“เอ๋? เจ้าสาม แกมาดูซิ แกรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาคุ้นๆ รึเปล่า?”
ทันใดนั้น ชายที่บุกจากด้านหลังมายังชั้นเฟิร์สคลาสก็ตกใจจนส่งเสียงออกมา
เย่เทียนมองด้วยหางตา เห็นชายหัวเกรียนคนนี้ยื่นมือไปถอดแว่นดำของหญิงสาวที่เขาคิดว่าป่วยออก
พอมองออกว่าเธอคนนี้เป็นใคร เย่เทียนก็ถึงกับตกใจในทันที
ไม่ใช่ใดอื่น หากแต่เป็นเด็กสาวคนนี้ก็คือหนึ่งในสี่นักแสดงหญิงรุ่นเยาว์ เซ่เจียนั่นเอง!