ตอนที่ 142 หากว่าอาหลันเห็นข้า จะชอบหรือไม่?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เมื่อครู่สายพระเนตรของฝ่าบาทยังเย็นชาอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา นี่…..เป็นเพราะตัวนางใช่ไหม?  

 

 

นางเงยหน้าขึ้นกว่าเดิม กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันยินดีจะถวายงานอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดไปเพคะ” 

 

 

เมื่อครู่จีเฉวียนไม่ทันได้จงใจมองนางเลย พอได้ฟังเสียงของนางจึงหันไปมองชั่วแวบหนึ่ง 

 

 

และแวบเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พระองค์ได้เห็นดวงตาและคิ้วของนาง…… 

 

 

ความนุ่มนวลบนพระพักตร์ก็แข็งค้างไปในทันที ดวงเนตรหงส์ปรากฎแววตายุ่งเหยิง 

 

 

” ทูลฝ่าบาท นี่คือ หว่านจือ เป็นหลานสาวของบ่าวเองเพคะ นางอยู่กับข้าเฝ้าสุสานที่เขาจงซานมาสิบกว่าปี ” อันหร่วนรีบอธิบาย “นางเป็นเด็กที่น่าสงสาร ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีมารดา ยิ่งไม่ได้รับความรักจากบิดา ดังนั้นจึงมีแต่บ่าวที่รับนางมาเลี้ยงเอาไว้ข้างกายเพคะ” 

 

 

อันหว่านจือรู้ดีว่าตนเองสิ้นไร้บิดามารดาแท้ๆ แต่อันหร่วนกลับกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้ฝ่าบาทรู้สึกว่านางและพระองค์ช่างน่าสงสารดุจเดียวกัน เป็นการกระตุ้นความเห็นใจจากพระองค์ 

 

 

จีเฉวียนทรงนิ่งฟัง พักใหญ่หลังจากนั้นก็พิงพระองค์ไปกับพนักเก้าอี้ ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอันหว่านจืออีกครั้ง ” อายุเท่าไรแล้ว “ 

 

 

“ทูลฝ่าบาท บ่าวปีนี้อายุสิบหกแล้วเพคะ? ” อันหว่านจือก้มศีรษะลงไป นางลอบใช้สายตาที่สุกสกาวแอบมองอีกครั้ง สีหน้าปรากฎความเหนียมอาย “ตั้งแต่เล็กบ่าวมักจะเคยได้ยินท่านย่ากล่าวถึงพระองค์ ในใจรู้สึกเคารพเทิดทูนอย่างยิ่งมาตลอดเพคะ” 

 

 

” เราถามอะไร เจ้าก็บอกเช่นนั้น หากว่าเราไม่ได้ถาม ก็อย่าได้กล่าวมากความ” จีเฉวียนทรงพับเก็บฎีกาในพระหัตถ์ สายพระเนตรตกลงบนริมฝีปากของนาง  

 

 

สีแดงเข้มที่ดูงามสง่าเช่นนี้ เป็นสีที่พระองค์จำได้ว่าเป็นสีโปรดของพระมารดา 

 

 

แต่เมื่อมาอยู่บนริมฝีปากของนาง กลับดูเหลาะแหละไปเสียอย่างนั้น 

 

 

อันหว่านจือถูกพระองค์สั่งสอน ในใจก็ร้อนลนขึ้นมา ยิ่งศีรษะลงไปอีกตอบว่า ” เพคะ บ่าวรู้ผิดแล้ว” 

 

 

” ฝ่าบาท เด็กคนนี้ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เป็นเพราะย่าอย่างหม่อมฉันสั่งสอนนางได้ไม่ดี ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญา ” อันหร่วนรีบช่วยนางคลายวงล้อม 

 

 

ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ฝ่าบาทก็เป็นผู้ที่เย็นชาอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาสิบแปดปีแล้ว จะทรงเย็นชายิ่งขึ้นกว่าเดิม  

 

 

จีเฉวียนมิได้ตรัสสิ่งใด โบกพระหัตถ์ให้หลี่กงกงนำเสื้อผ้าไปเก็บเอาไว้  

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ บ่าวยังมีเรื่องจะขอร้องอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ” ว่าแล้วอันหร่วนก็ลงมาคุกเข่าลงที่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ 

 

 

” หมัวมัวว่ามาเถอะ ” จีเฉวียนมิได้ทำให้นางลำบากใจ 

 

 

อันหร่วนหันไปดูอันหว่านจือแวบหนึ่ง ก็กราบทูลว่า “ในแผ่นดินนี้ บ่าวเหลือแต่เพียงอันหว่านจือเป็นญาติเพียงคนเดียวแล้ว ดังนั้นคิดขอพระเมตตาจากฝ่าบาทรับนางไว้เป็นบ่าวรับใช้ของพระองค์ อย่างน้อยจะได้รับการอบรมสั่งสอนเสียบ้าง อนาคตจะได้สามารถหาครอบครัวดีๆ ให้นางแต่งออกไปได้ ขอเพียงให้นางได้แต่งกับบุรุษที่ดีที่ตนพอใจ ยายแก่อย่างหม่อมฉันก็นับว่ามีหน้าไปตอบตระกูลอันได้แล้วเพคะ 

 

 

“ 

 

 

อันหว่านจือได้ฟัง ก็คิดจะปฎิเสธนางออกไปในทันที ท่านย่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?  

 

 

แค่ให้ฝ่าบาทรับนางเป็นสนมก็จบแล้วมิใช่หรือ? ไยจะต้องให้นางไปเป็นบ่าวรับใช้ด้วย?  

 

 

แล้วยังคิดจะหาบ้านสามีให้นางอีก? นางมาที่เมืองหลวงก็เพื่อจะแต่งกับฝ่าบาทนะ!  

 

 

แต่ว่านางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป จึงได้แต่คุกเข่าอยู่บนพื้น แม้ในใจจะไม่ยินดี แต่สีหน้ายังคงอ่อนแอน่าสงสารดุจเดิม 

 

 

เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทมิได้รับสั่งอย่างไร อันหร่วนก็ถือโอกาสโขกศีรษะลงไปเสียงดังหลายๆ ที “ขอฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วยเพคะ! “ 

 

 

” ลุกขึ้นมาเถอะ ” ฝ่าบาทโบกพระหัตถ์ แล้วจึงหันไปทอดพระเนตรอันหว่านจืออีกครั้ง  

 

 

อันหว่านจือถูกมองจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด ในใจขบคิดไม่หยุดว่าหากนางสามารถยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ กลางวันก็ถวายการรับใช้ กลางคืนก็ได้รับความโปรดปราน นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมเพียงไร 

 

 

“หลี่กงกง ตำหนักตี้หัวยังมีตำแหน่งนางกำนัลใดว่างๆ อยู่อีกหรือไม่” ครู่หนึ่งจีเฉวียนก็ทรงหันไปถามหลี่ต้าชิง 

 

 

อีกแล้ว! ชีวิตของคนสนิทช่างไม่ง่ายดายเลย!  

 

 

หลี่กงกงรู้สึกว่าตนเองถูกทดสอบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คราวนี้ชัดเจนเลยว่าฝ่าบาทจงใจมอบบททดสอบที่ยากเข็ญให้กับเขา 

 

 

นางกำนัลนั้นมีมากมายหลายระดับชั้น หากจะว่ากันระดับต่ำไล่ลงไปจนถึงรับเวรทำงานยามกลางคืนก็ล้วนมีอยู่ 

 

 

หากว่ากันที่ระดับสูงขอเพียงได้ยืนประจำการณ์รับใช้อยู่ข้างพระองค์ได้ก็มี 

 

 

แต่ว่ายามปกติผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาทล้วนเป็นเหล่าขันทีน้อย นางกำนัลในตำหนักตี้หัวแม้แต่คุณสมบัติจะได้เข้าใกล้พระองค์ก็ยังไม่มี 

 

 

แต่ว่าอันหร่วนกูกูผู้นี้มีฐานะพิเศษออกไป 

 

 

ที่จริงแล้วของเพียงมีรับสั่งของฝ่าบาทเพียงคำเดียว อันหว่านจือคิดจะทำงานในตำแหน่งใดล้วนแต่เป็นได้หมด 

 

 

เขากลืนน้ำลายลงไปหายอึก ครุ่นคิดอยู่นานถึงได้ตอบเสียงเบาไปว่า ” ทูลฝ่าบาท ตำหนักตี้หัวไม่มีตำแหน่งว่างเลยพะยะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้ทรงทวนคำตอบนั้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “อืม ไม่มีเลยรึ “ 

 

 

อันหร่วนได้แต่ยอมรับด้วยความเสียดาย “ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าหว่านจือเด็กคนนี้ไม่มีบุญเลย เฮ่อ” 

 

 

นางทอดถอนใจออกมา ในมือก็ปรากฎประคำสวดมนต์สายหนึ่ง จีเฉวียนทรงมองเห็นอย่างชัดเจน ประคำสวดมนต์นี้เป็นของที่ยามพระมารดาทรงพระชนม์อยู่ ทรงถือติดพระหัตถ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

 

 

พระมารดาที่มีพระทัยใฝ่ทางธรรม ก่อนสิ้นพระชนม์ทรงประทานของติดกายเช่นนี้ให้กับอันหร่วน แสดงให้เห็นว่าทรงให้ความสำคัญกับอันหร่วนเพียงไร 

 

 

สีพระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนไปในทันที แต่เพียงครู่เดียวก็กลับสงบลงดังเดิม ตรัสกับอันหว่านจือว่า “ห้องอักษรขาดนางกำนัลยกน้ำชาคนหนึ่ง พรุ่งนี้เจ้าลงมาที่ตำหนักค่อยยกน้ำชาเถอะ 

 

 

อันหว่านจือมิได้ยินดีแม้แต่น้อย ก็แค่นางกำนัลยกน้ำชาเท่านั้น นี่ไหนเลยจะเหมาะสมกับฐานะของนางกัน 

 

 

แต่ว่าคิดๆ ดูแล้ว หากทุกๆ วันสามารถได้อยู่ใกล้ชิดฝ่าบาทเพียงลำพังเช่นนั้น ถึงต้องยอมลำบากสักหลายๆ วันก็ไม่เป็นอะไร 

 

 

นางจะทำให้ฝ่าบาทชื่นชอบนาง ให้ความสำคัญกับนาง ไม่อาจแยกจากนางอีกต่อไป!  

 

 

ดังนั้นนางจึงรีบถวายคำนับจีเฉวียนด้วยความตื่นเต้น ” เพคะ บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

มุมปากของอันหร่วนเองก็มีรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ “บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาทแทนหว่านจือด้วยเพคะ เด็กคนนี้สามารถมีโชคเช่นนี้ได้ คงเพราะว่าชาติก่อนทำบุญสั่งสมมาเป็นแน่ “ 

 

 

 

 

 

…………………….. 

 

 

 

 

 

การคัดเลือกนางสนมมิได้ถูกจัดขึ้น แต่ข้างกายฝ่าบาทกลับเพิ่มนางกำนัลยกน้ำชาขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้ถึงกับแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว 

 

 

ยามที่ข่าวแพร่มาถึงหูของซูเหม่ยนั้น นางกำลังแต้มชาดลงบนหน้าผากอยู่  

 

 

กลีบดอกไม้บนหว่างคิ้วนี้เป็นนางลงมือวาดด้วยตนเอง ดูเย้ายวนอย่างยิ่ง สีผึ้งที่ใช้แต่งแต้มบนริมฝีปากก็งดงาม เดิมที่ก็เป็นหญิงงามผู้หนึ่งอยู่แล้ว เมื่อตั้งอกตั้งใจแต่งหน้าขึ้นมา ก็ยิ่งเปล่งประกายเฉิดฉันจนกระชากวิญญาณผู้คน 

 

 

” กุ้ยเฟยเพคะ ไยท่านยังจะมีอารมณ์บรรจงแต่งองค์ได้อีก” กระทั่งหยูฟู่นางกำนัลประจำตัวของนางก็ยังร้อนใจขึ้นมาแล้ว “ท่านกลับมาก็ตั้งหลายวันแล้ว แต่ฝ่าบาทยังมิได้เสด็จมาที่ตำหนักชุ่ยเวยของพวกเราเลยสักครั้ง พวกคนที่ไร้ปัญญาที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นต่างก็ชักจะลิ้นยาวปากยื่นกันขึ้นมาแล้ว ถึงได้กล้าพูดกันว่าพระสนมท่านมิอาจเทียบได้กับหญิงสาวชาวป่าคนหนึ่ง “ 

 

 

ซูเหม่ยคล้ายกับว่าฟังไม่ได้ยินเคยสักคำ เมื่อแต่เสร็จจนถึงพู่กันสุดท้ายนางถึงได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กับหยูฟู่ “เจ้าว่าวันนี้ข้าดูดีหรือไม่? “ 

 

 

หยูฟู่ชะงักไปเล็กน้อย “กุ้ยเฟยย่อมงดงามอยู่แล้วเพคะ “ 

 

 

” เช่นนั้นอาหลันเห็นข้าแล้วจะชอบหรือไม่? ซูเหม่ยอารมณ์ดียิ่งนัก นางสวมชุดกระโปรงสีแดงสด เมื่อลุกขึ้นยืนก็หมุนรอบตัวครั้งหนึ่ง 

 

 

พอหมุนตัวมาถึงด้านหน้า แม้แต่หยูฟู่ยังรู้สักลุ่มหลงจนมึนงง 

 

 

” ไม่ว่าใครเมื่อได้พบท่านก็ต้องชอบด้วยกันทั้งนั้นเพคะ ” หยู่ฟู่กล่าว นางไม่เข้าใจเลยว่าพระเนตรทั้งสองของฝ่าบาทนั้นบอดไปแล้วหรือ ถึงได้ทรงละเลยกุ้ยเฟยไม่สนพระทัย ไปคว้าเอาคนเช่นอันหว่านจือมาแทน  

 

 

” เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะไปหาอาหลัน ” ซูเหม่ยกล่าวแล้วก็ยกกระโปรงขึ้นวิ่งออกไปโดยทันที 

 

 

” กุ้ยเฟยเพคะ ด้านนอกยังมีหิมะตกอยู่เลยเพคะ ” หยู่ฟู่รีบติดตามออกไป นางไม่ลืมคว้านวมอุ่นมือติดไปให้ด้วย 

 

 

ตำหนักชุ่ยเวยและพระตำหนักตี้หัวอยู่ใกล้กัน นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมา ผู้ที่ประทับในตำหนักนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่ง แต่สำหรับกุ้ยเฟยแล้วกลับไม่เคยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเช่นนี้เลยสักครั้ง ยามปกติก็แทบจะไม่เคยก้าวเท้าไปยังตำหนักตี้หัวเลยเสียด้วยซ้ำ​​​​​​​