บทที่ 236 แผนการที่พังย่อยยับ
เหลียงซานที่กู่ร้องด้วยความคับแค้นอยู่ในใจ เขารู้ดีคำถามของเขาไม่มีใครที่จะสามารถให้คำตอบได้
จางหมิงที่ยืนอยู่ข้างเขาในเวลานี้ก็กำลังกลืนโอสถเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่เมื่อเขามองเห็นรถม้าของหลิงตู้ฉิงที่พุ่งออกจากคฤหาสน์สราญรมย์ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดยิ่งขึ้น
“ฝ่าบาท พวกเราต้องเตรียมตัวหนีได้แล้ว ถ้าเรารีบหนีไปตอนนี้ พวกเราก็ยังมีโอกาสรอดอยู่!” จางหมิงกล่าวขึ้นกับเหลียงซาน
เหลียงซานที่สายตายังจับจ้องไปที่รถม้าของหลิงตู้ฉิง เขากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น!”
หลังจากพูดจบ เหลียงซานก็กระโดดลงจากหลังคาและเดินกลับเข้าไปในห้องบัลลังก์
เขานั่งลงบนบัลลังก์ด้วยสายตาที่เหม่อลอย
หลังจากนั่งเหม่ออยู่สักพัก เหลียงซานพูดกับจางหมิงที่กำลังเดินเข้ามาหา “ไปเถอะ ข้าขอบคุณที่เจ้าคอยอยู่เคียงข้างรับใช้ข้ามาโดยตลอด แต่ตอนนี้พวกเราคงไม่เหลือความหวังใด ๆ อีกต่อไปแล้ว ด้วยระดับการบ่มเพาะขอบเขตครึ่งสวรรค์ของเจ้า มันคงจะไม่ยากนักที่เจ้าจะสามารถหาเจ้านายใหม่เพื่อติดตาม”
จางหมิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า และโค้งคำนับให้เหลียงซานโดยที่ไม่กล่าวอะไรตอบ
“ด้วยการคงอยู่ของเฟ่ยเอ๋อ ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ ตระกูลเหลียงของข้าก็คงไม่เสียหายอะไรมากมาย ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงคนที่เหลือในตระกูลของข้าหรอก” เหลียงซานพูดต่อ “นับตั้งแต่นี้เจ้าจงเดินไปตามหาเส้นทางของตัวเองที่เจ้าต้องการ ข้าเหนื่อย ข้าไม่ต้องการที่จะดิ้นรนอะไรอีกต่อไปแล้ว”
จางหมิงคุกเข่าลงคำนับ และจากนั้นเขาก็ลุกออกจากท้องพระโรงไปอย่างรวดเร็ว
จางหมิงรู้ดีว่าหากเขาค้องการรอดตาย เขาต้องหนีไปตั้งแต่ตอนนี้ที่หลิงตู้ฉิงยังมาไม่ถึง
เช่นเดียวกับจางหมิง ทางด้านของตระกูลเจิ้น เมื่อเจิ้นฟูเห่าเห็นรถม้าบินออกมาจากคฤหาสน์สราญรมย์ เขาก้มหน้ามองลงพื้นด้วยอารมณ์หม่นหมอง
“สั่งให้ทุกคนไปเก็บของที่จำเป็นและมารวมตัวกันให้เร็วที่สุด พวกเราจะต้องหนีไปจากที่นี่ทันที!” เขาตะโกนสั่งไปยังเจิ้นจางหยู และคนอื่น ๆ ในตระกูล
เจิ้นฟูเห่าเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ด้วยความขัดแย้งของตระกูลเขาในอดีตที่มีต่อหลิงตู้ฉิงมาหลายปีและยังไม่ได้รับการสะสาง และยิ่งเมื่อเจิ้นป่าเจ่าฟื้นชีพขึ้นมาและบุกไปหาตระกูลจ้าว ความแค้นของพวกเขาก็ยิ่งฝังรากลึก
ในเมื่อตอนนี้ตระกูลหลิงยังไม่ได้ส่งคนมาล้อมตระกูลของเขา ฉะนั้นเขายังมีโอกาสพาตระกูลของเขาหนีรอดได้อยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกเขาถูกล้อมนั่นหมายถึงว่าชะตาของพวกเขาจบลงทันที
ไม่ใช่แค่ตระกูลเจิ้นที่คิดเช่นนี้ แต่ตระกูลอื่น ๆ ที่เคยมีข้อพิพาทกับหลิงตู้ฉิงก็คิดเช่นกัน พวกเขาต่างรีบออกจากเมืองหลวงกันอย่างเร่งด่วน
แต่น่าเสียดายที่ในขณะที่พวกเขากำลังหนีออกไปจากเมืองหลวงได้ ข่าวเหล่านี้ก็รู้ไปถึงหูของหลิงเจิ้งสงซะก่อน
หลิงเจิ้งสงเมื่อได้ข่าวเขาก็ทุบโต๊ะอย่างแรงและตะโกนด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ข้าไม่ให้พวกมันไป! ถ้าพวกมันหนีออกไปได้สำเร็จ พวกมันจะต้องเอาความลับของอาณาจักรไปขายแน่ และมันจะส่งผลร้ายต่ออาณาจักรเราในอนาคต!”
ต่อให้หลิงเจิ้งสงจะสละตำแหน่งของเขาไปทั้งหมดตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วแต่เขาก็ยังคงมีใจรักต่ออาณาจักรของเขาเอง เขาไม่อาจยอมเห็นมันล่มสลายในอนาคตได้
หลิงฉุยฟงส่ายหัวและพูดว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้พวกเรายังคงไปขัดขวางพวกเขาไม่ได้ ข้าเองยังคงต้องอยู่ที่นี่เพื่อคอยจับตาดูเหล่าเชลยศึกไม่ให้พวกมันคิดต่อต้าน ส่วนท่านเองข้าคิดว่าท่านควรดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวงไม่ให้วุ่นวายไปก่อน”
หลิงเจิ้งสงละล้าละลังอยู่สักพัก จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ออกคำสั่งจับกุมตัวเหล่าตระกูลฝั่งตรงข้ามที่กำลังหนีออกจากเมือง และออกคำสั่งประกาศกฎอัยการศึกภายในอาณาเขตเมืองทั้งหมดแทนเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย
ที่เขาสามารถทำเช่นนี้ได้นั่นก็เพราะในตอนนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าอาณาจักรจันทรานั่นไม่ใช่ของตระกูลเหลียงอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นของตระกูลหลิงแทน
ในตอนนี้หลิงเล่อชาน และคนทั้งหมดในตระกูลต่างรู้สึกเหมือนกับอยู่ในความฝัน
มันชัดเจนมากที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตระกูลของพวกเขากำลังตกอยู่ในหายนะอันใหญ่หลวง แต่จู่ ๆ ในตอนนี้ตระกูลของเขากลับจะได้กลายเป็นผู้ปกครองใหม่ของอาณาจักรจันทราไปซะแล้ว
ว่าแต่ในเมื่อเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ไป แล้วพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์อะไรบ้างกันล่ะ?
เมื่อพวกเขานึกถึงผลประโยชน์ พวกเขาก็นึกถึงการที่เขาจะได้กลายเป็นสมาชิกของราชวงศ์ใหม่ในอนาคต พวกเขาต่างรู้สึกวิงเวียน ชีวิตของพวกเขานี่มันช่างขึ้นและลงเร็วซะเหลือเกิน
ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นในตระกูลจ้าวเช่นเดียวกัน แต่ของทางฝั่งตระกูลจ้าวจะเป็นความรู้สึกไปในทางลบซะมากกว่า
เมื่อตอนที่เจิ้นป่าเจ่าและพรรคพวกพากันมาโจมตีตระกูลของพวกเขาและทำลายหุ่นเชิดที่พวกเขาได้มาจากหลิงตู้ฉิง พวกเขาต่างคิดว่านี่มันคือจุดจบของพวกเขาแน่นอน
และในเวลาถัดมา จ้าวเหมิงลู่ก็ได้ใช้หลิงจู้เพื่อปราบปรามเจิ้นป่าเจ่าและพรรคพวกได้เรียบร้อย พวกเขาจึงดีใจกันยกใหญ่
แต่แล้วหลังจากที่กำลังดีใจกันได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ ความสิ้นหวังก็เกิดขึ้นกับพวกเขาอีกระลอก ด้วยการปรากฏตัวของหลู่หยุนตี๋ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์
และในขณะนี้ที่หลิงจู้และจ้าวเหมิงลู่กำลังยืนหยัดปกป้องตระกูลจ้าวอย่างสุดความสามารถ บรรดาคนของตระกูลจ้าวกลับตอบแทนนางด้วย…
“เหมิงเอ๋อ มอบสมบัตินั่นให้เขาไปเถอะ!” หนึ่งในญาติของจ้าวเหมิงลู่ตะโกนขึ้น “ถ้าเจ้ายอมให้มันกับเขาไปพวกเราก็จะรอดนะ แต่ถ้าหากเจ้ายังคงขัดขืนอยู่แบบนี้เจ้าจะทำให้พวกเราตายกันหมด…”
เมื่อมีหนึ่งคนเริ่มก็ย่อมคนอื่น ๆ เริ่มตาม… “เหมิงเอ๋อ ถึงแม้เจ้าจะเสียสมบัติชิ้นนี้ไป แต่ถ้าหากเจ้ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ ในอนาคตเจ้าก็ยังสามารถหาชิ้นใหม่มาแทนได้อยู่ดี และอีกอย่างนี่ก็นานมากแล้วที่สามีเจ้ายังไม่มาช่วยเรา เขาอาจจะ…ไม่ว่ายังไงหากเจ้าได้ติดตามผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ในอนาคตมันจะไม่เป็นเรื่องดีกว่างั้นเหรอ?”
เมื่อจ้าวเหมิงลู่ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของบรรดาญาติของนาง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมอง นางที่อุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยตระกูลของนางขนาดนี้
แต่นี่คือผลตอบแทนที่นางได้รับงั้นเหรอ?
ถัดมานางจึงมองไปยังหน้าของปู่และพ่อของนาง ซึ่งแสดงสีหน้าจนปัญญาเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกความเห็นหรือห้ามปรามใด ๆ กับบรรดาเหล่าญาติ ๆ ที่กำลังโน้มน้าวให้นางยอมจำนน
ในขณะที่นางหมดหวังกับตระกูลของนาง จู่ ๆ รถม้าคันเดิมที่คุ้นตาก็แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว และจอดอยู่บนฟ้าเหนือคฤหาสน์ตระกูลจ้าว
“สามี!” จ้าวเหมิงลู่เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ นางถึงกับอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ร้องไห้โฮออกมาทันที
ส่วนบรรดาคนตระกูลจ้าวที่กำลังตะโกนร้องให้นางยอมแพ้ก็หุบปากเงียบลงทันควัน เมื่อพวกเขาเห็นการปรากฏตัวของบุคคลที่มีชื่อเสียงดุจดั่งพระเจ้าอย่างหลิงตู้ฉิง
บนฟ้า หลิงตู้ฉิงมองลงมายังหลู่หยุนตี๋ที่กำลังโจมตีหลิงจู้อย่างดุเดือดและตะโกนขึ้น “หยุด!”
หลู่หยุนตี๋ที่โจมตีหลิงตู้มาแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง เขาได้สาบานอยู่ในใจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้เขาต้องนำมันไปให้ได้ และเมื่อเขาได้ยินเสียงของหลิงตู้ฉิง เขาหันกลับมาและพูดว่า “ข้าไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะรอดพ้นจากการถูกรุมล้อมของบรรดาคนมากมายโดยที่ยังมีอวัยวะอยู่ครบ 32 ออกมาได้ แต่จงอย่าลืมว่าข้าคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ที่แท้จริง ข้าได้ยินว่าสมบัติวิเศษชิ้นนี้คือของของเจ้า จงมอบมันให้ข้าแล้วข้าจะไว้ชีวิตของเจ้า!”
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเปลี่ยนคำพูดเป็น ขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตของเจ้าซะมากกว่านะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง หลู่หยุนตี๋ก็หัวเราะด้วยความขบขัน และเริ่มใช้ทักษะ ‘อาณาเขตสวรรค์’ ครอบคลุมไปถึงบริเวณที่หลิงตู้ฉิงลอยอยู่ “ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้าในการใช้อักขระเวทย์มานานแล้ว แต่ไอ้วิชาอักขระเวทย์อะไรนั่นของเจ้ามันจะมีประโยชน์อะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์? ในอาณาเขตชางหมางทั้งหมดข้าคือจุดสูงสุด! และภายในอาณาเขตสวรรค์ที่ข้าเปิดใช้งานตอนนี้ข้าคือผู้ที่สามารถชี้ชะตาเป็นตายใครก็ได้ ภายในอาณาเขตของข้า เจ้ามันก็เปรียบได้แค่กับมด เจ้าเคยรู้บ้างไหมว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน? และเจ้าเคยรู้บ้างไหมว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ทำอะไรได้บ้าง? เอาล่ะวันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าดู!”