สุดท้ายรูแฮก็เอ่ยปากเรียกกโยซึลออกไป แถมยังยื่นมือออกไปเพื่อแตะผมของนางอีกด้วย กโยซึลลืมตาขึ้นมาราวกับว่าเป็นการตอบสนองเสียงเรียกอันสั่นเครือของเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจชั่วครู่ ก็มัวหมองลงอย่างเขินอายและจางหายไป กโยซึลจางหายไปต่อหน้าต่อตาเขา ไม่เหลือร่องรอยใดๆ เลย แม้แต่กลิ่นหอม นางปลิวหายไปในอากาศเฉกเช่นความเพ้อฝัน ไม่สิ…มันคือภาพลวงตาต่างหากล่ะ มันคือเงากโยซึลที่เกิดขึ้นมาจากความถวิลหาของรูแฮ เหลือเพียงมือของเขาที่ยื่นไปหานางเท่านั้น ยิ้มที่วาดรอนางไว้เหือดแห้งลงไปอย่างขื่นขม เขาทิ้งมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นางไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้”
รูแฮส่ายหน้าไปมา เขาเดินออกจากห้องหนังสือไป แต่ย่างก้าวนั้นดูอ่อนระโหยโรยแรงกว่าตอนขามายิ่งนัก ก้าวเดินไปโดยไร้ความมุ่งมั่นตั้งใจใดๆ ดูเหนื่อยล้าและว่างเปล่า จนเมื่อเขาได้เหยียบใบหญ้าจึงได้สติและรู้ว่าตัวเองเดินมาจนถึงสวนหลังวังฝ่ายนอกด้วยความไร้สติเสียแล้ว
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
รูแฮรู้สึกงวยงงเป็นอย่างยิ่ง ตนตั้งใจจะไปห้องหนังสือเพียงเท่านั้น ทว่าที่นี่เองก็เป็นที่ที่ตนมาอยู่บ่อยครั้งอยู่แล้ว จะโทษว่าเป็นเพราะกโยซึลคงจะไม่ได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้สวนหลังวังฝ่ายนอกที่เคยเป็นสถานที่เดินเล่นเพียงหนึ่งเดียวของตน กลับเป็นสถานที่ที่ตนพยายามหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน การที่ตนเดินมาจบลงที่เนินเขาแห่งนี้ ไม่อ่านปฏิเสธได้เลยว่าเป็นเพราะความปรารถนาส่วนลึกของจิตใจ
เมื่อสายลมพัดมา หัวใจก็หนาวสั่นทุกที เวลาผันผ่าน เมฆาลอยเลื่อน จนตะวันลับขอบฟ้า เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่ห้วงอารมณ์จมดิ่ง และหัวใจจะเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก รูแฮตั้งใจเอนพิงต้นไม้ใหญ่อยู่เพียงลำพัง เพื่อเฝ้าดูการมาถึงของยามราตรี แต่อุณหภูมิร้อนที่กระจายตัวอยู่บนท้องฟ้าในตอนนี้กลับซึมลึกลงไปยังหัวใจของเขา แสงนั้นได้เชือดเฉือนหัวใจอันอ่อนแอของรูแฮด้วยความคมกริบ จนสุดปลายของหัวใจหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
“ใยจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้”
รูแฮส่ายหน้าด้วยความเศร้าโศก แม้จะหลับตาลงและลืมตาขึ้นมาใบหน้าที่เฝ้าคิดถึงนั้นก็ยังปรากฏในสายตาอย่างชัดเจน ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเอาตนแต่เฝ้าคิดถึงนางบ่อยๆ เสียจนใจที่มีให้แก่สตรีผู้นั้นลึกซึ้งขึ้นก็เป็นได้
“หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่บอกว่าตัวเราใกล้จะหลงรักนางเข้าแล้ว”
รูแฮโยนคำถามที่ไม่มีใครตอบออกไป ไม่ว่าจะเสียง สัญญาณ หรือแม้แต่กลิ่นหอมก็ไม่เหลือแม้ร่องรอย เหลือไว้แต่ความว่างเปล่า เขาก้าวย่างออกไปอย่างอิดโรย
พอเท่านี้เถอะนะ
รูแฮพูดซ้ำๆ กับตัวเองในใจ แม้จะสัญญากับตัวอย่างแน่วแน่มากี่ครั้งแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะโดยความรู้ทั่วๆ ไป หรือในทางศีลธรรม และแม้จะค้นดูในกฎหมายก็ตาม มันก็ยังเป็นบุพเพสันนิวาสที่ไม่อาจเป็นไปได้อยู่ดี เพราะตัวรูแฮเองก็มีพระชายาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว ส่วนกโยซึลก็มีพระสวามีแล้วเช่นกัน ที่สำคัญนางคือพระชายาของพี่ชายตน แม้จะมีใจมากเพียงใด แต่รูปแบบความสัมพันธ์เช่นนี้ คำตอบมันได้ถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว
รูแฮได้เปลี่ยนจุดยืนแล้ว แต่นี้ไปตนจะไม่นึกถึงนางอีก ไม่ว่าจะเป็นที่ห้องหนังสือ ที่สวน ทุกสถานที่แห่งนี้ ตนจะถือว่ามันเป็นเพียงแค่วังฝ่ายนอกเท่านั้น รูแฮคิดเรื่องนี้พลางเดินออกจากสวนไป แสงสีแดงส้มสลัวยามอาทิตย์อัสดงส่องกระทบดอกโบตั๋นสีขาวระยิบระยับ กลีบดอกที่เรียงซ้อนเป็นชั้นๆ ของดอกไม้ใหญ่นี้อยู่บนก้านดอกที่ดูอ่อนแรงราวกับว่าเกินกว่าที่จะแบกรับไว้ได้ และท่ามกลางกลีบดอกอันขาวโพลนนั้น ยังมีเกสรที่เหลืองอร่ามกว่าทองคำกำลังหลอกล่อสรรพสัตว์ด้วยกลิ่นหอมหวานอยู่
รูแฮหยุดก้าวเดิน เขามองดูดอกโบตั๋นอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง
“แต่มันคงช้าเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นสัญญานบอกเหตุได้แล้ว”
ขณะที่เขาเฝ้ามองดอกโบตั๋น ก็ดันเผลอคิดถึงนางอีกเสียแล้ว ท่าท่างอันเหนียมอายของดอกไม้นี้ช่างเหมือนกับกโยซึลเสียจริง ดูดอกไม้พลางชมแสงอาทิตย์อัสดง และรับลมเย็นๆ เช่นนี้ ทำให้คิดถึงใครบางคนขึ้นมา
“บางทีเราอาจกำลังมีใจให้นางอยู่ก็เป็นได้”
ท้ายสุดรูแฮก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยกมือขึ้นมากำไว้ ใจของเขาล่องลอยไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ความจริงข้อนั้นรูแฮรับรู้มันช้าเกินไป
ก่อนนั้นรูแฮใช้ชีวิตมาอย่างถูกตามทำนองคลองธรรมมาโดยตลอด ถูกต้องมากเกินไปเสียจนน่าเบื่อหน่าย ติดอยู่ในข้อผูกมัดของพระราชวัง ของราชวงศ์ ของความเป็นรัชทายาท การเป็นฮวางเซจาที่ดี เป็นสามีที่ดี และเหนื่อยล้ากับการต้องเป็นบุตรชายที่ดีอีกด้วย เขาใช้ชีวิตโดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร หรือแม้แต่ว่าตนชอบอะไร สิ่งที่ชักนำชีวิตของเขามาตั้งแต่เกิดจนตอนนี้คือกฎแห่งสายเลือดขัตติยะและขนบธรรมเนียมต่างๆ
แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็ได้สัมผัสกลิ่นของน้ำตา ทันทีที่เปิดประตูเกี้ยวออก เขาได้พบกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างในอย่างอ่อนแรงราวกับดอกโบตั๋น และนางกำลังร้องไห้โฮ นางผู้นั้นได้ฝังลึกลงในจิตใจของรูแฮไปเสียแล้ว ตอนนี้เขาเพียงต้องยอมรับมัน
“นี่เป็นครั้งแรก”
รูแฮคลายมือออก กลีบดอกทรงมนของดอกโบตั๋นสีขาวนั้นช่างอ่อนนุ่มนัก ปลายนิ้วเรียวยาวของรูแฮค่อยๆ ลูบไล้กลีบดอกไม้นั่น แต่เขาหาได้เด็ดดอกไม้ดอกนั้นแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่ยืนลูบไล้มันอยู่อย่างนั้น
“เป็นครั้งแรกที่เรามีความโลภถึงเพียงนี้”
ปกติรูแฮจะใช้ชีวิตตามแค่ที่มี เกิดมาก็ได้เป็นลูกที่เกิดจากพระมเหสีที่องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานมากที่สุด โตมาก็ได้เป็นฮวางเซจา และยังได้อภิเสกสมรสกับสตรีที่พระราชบิดาทรงหมั้นหมายให้ ยี่สิบกว่าปีที่โตมาไม่เคยเลยสักครั้งที่ใจจะหวั่นไหวถึงเพียงนี้ คิดเพียงว่าตนเป็นคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น คิดเพียงว่าชีวิตของตนนั้นช่างน่าเบื่อและไร้ความสนุก
ทว่ามันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แม้เขาจะใช้ชีวิตตามแต่ที่จะเป็น หาได้ปรารถนาต่อสิ่งใด แต่ในตอนนี้ตนมีที่ปรารถนาแล้ว มิได้เพียงแค่ปรารถนาเท่านั้น แต่มันรุนแรงดั่งสายน้ำตก ดั่งคลื่นยักษ์ ส่งเรียกเรียกร้องเกรียวกราวอยู่ภายในจิตใจ
“ในครั้งนี้เห็นทีว่าคงจะทำตามที่ตนต้องการบ้างแล้ว”
สายตาของรูแฮที่ตามปกติแล้วจะดูอ่อนโยน ในตอนนี้กลับดูแน่วแน่ขึ้นมา
***
“ขอบใจมากนะ กโยยอง”
“หามิได้เพคะ ถ้ามีสิ่งใดที่หม่อมฉันพอจะช่วยได้ ขอบอกได้ตลอดเลยนะเพคะ”
กโยยองยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน กโยซึลวางใจในรอยยิ้มนั้น นางจับมือกโยยองขึ้นมา
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ”
“จะไปแล้วหรือ”
“สนทนากันอย่างเพลิดเพลินเสียจนเวลาล่วงเลยมามากแล้วเพคะ”
กโยซึลแสดงสีหน้าบ่งบอกถึงความเสียดาย แต่กโยยองนั้นลุกขึ้นจากที่นั่งโดยทันที นางถวายการอำลาแล้วออกจากห้องบรรทมของกโยซึลไป นางรีบเดินลัดจากตำหนักดงบีเพื่อไปยังวังตะวันออก แต่แล้วก็ก้าวช้าลง รอยยิ้มของนางสลายหายไปจากมุมปากเรื่อยๆ เท่ากันกับระยะทางที่ค่อยๆ ถอยห่างจากตำหนักดงบี
“พระชายากโยซึล…”
รอยโค้งที่มุมปากหายไป แม้แต่สายตาก็จมดิ่งลงจนกลายเป็นสายตาอันเย็นชา
“ทรงดูแคลนตัวกโยยองคนนี้มากเกินไปแล้ว”