ตอนที่ 435 ไข่ต้มสุก / ตอนที่ 436 ข้าผิดไปแล้ว

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 435 ไข่ต้มสุก 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นเขาปฏิเสธ นางก็หันไปยื่นไข่ต้มให้อวี้อาเหราอย่างช่วยไม่ได้ “พี่เหราเอ๋อร์ ท่านกินเสียสิ” 

 

 

“ข้าก็ไม่เอา” อวี้อาเหรารีบปฏิเสธทันที นางไม่ได้ไม่ชอบไข่ไก่ แต่นางนั้นไม่ชอบไข่ต้มสุกที่สุด 

 

 

ฉู่เกอเห็นพวกเขาล้วนทำหน้าตาไม่ชอบ จึงทำได้แต่เพียงนำไข่ไปเคาะที่ประตูอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ปอกเปลือกออกมา แต่หลังจากปอกเสร็จแล้วนางก็ไม่ได้เป็นคนทาน กลับยื่นให้หานสือที่มีสีหน้าขมขื่น “ท่านหญิง ข้าน้อยไม่ทานได้หรือไม่ขอรับ” 

 

 

เขาถูกบังคับให้กินไปสามลูกแล้ว ตอนนี้แม้ว่าเขาจะดูสบายดี แต่หากต้องกินเข้าไปอีกเขาต้องสำรอกออกมาแน่ 

 

 

เมื่อก่อนท่านหญิงไม่ชอบทานไข่ต้ม แม้แต่ครึ่งลูกก็ไม่ทาน แต่หลังจากกลับมาจากค่ายทหารซีซานแล้ว นางก็เปลี่ยนไปชอบขึ้นมา แต่ทุกวันจะต้องทานเพียงหนึ่งลูก ทานไข่ต้มวันละหนึ่งลูกทุกวันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่อต้มครั้งหนึ่งก็ต้มหลายลูก เมื่อทานไม่หมดก็มาบังคับพวกเขาให้ทานเข้าไป 

 

 

จนพวกเขารู้สึกเอียนไปตามๆ กัน 

 

 

“ไม่ได้ หานสือต้องเชื่อฟัง กินลงไป” ฉู่เกอยิ้มหวานจ๋อย แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของนางเช่นนี้กลับทำให้ผู้อื่นเป็นกังวล 

 

 

หานสือมองไปทางซื่อจื่อของตนเอง ขอแค่เพียงเขาเอ่ยปาก ท่านหญิงก็จะไม่บังคับให้เขากินอีก 

 

 

ทว่าตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ฉู่ป๋ายก็เอาแต่มองไม่พูดไม่จา 

 

 

หานสือจึงจำต้องยอมกลืนไข่ต้มลงท้องไป 

 

 

อวี้อาเหรามองพวกเขาอย่างเอือมระอา แล้วรีบเข้าไปในห้อง เพราะไม่อยากเห็นท่าทีน่าสงสารของหานสือที่ต้องกินไข่ต้มลงท้องไป 

 

 

ฉู่ป๋ายที่อยู่ด้านหลังก็เดินตามนางเข้ามาข้างในห้องด้วย 

 

 

นางรู้สึกหิวอยู่บ้างเล็กน้อย จึงเหลือบสายตามองไปที่โต๊ะ แล้วหันไปมองฉู่ป๋าย ”เหตุใดยังไม่ยกอาหารเข้ามาอีก” 

 

 

“คุณหนูรอสักครู่ ทางห้องครัวกำลังเตรียมอยู่ จะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบวาจาแทน 

 

 

อวี้อาเหราทำได้เพียงพยักหน้ารับ นางเล่นว่าวมาตลอดทั้งบ่าย จึงรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง ตอนนี้ทั้งหิวทั้งง่วงนอน 

 

 

ฉู่ป๋ายออกคำสั่งต่อเมี่ยวอวี้ว่า “คุณหนูของเจ้าหิวแล้ว ให้ทางห้องครัวนำขนมของว่างมาก่อนเถิด จำไว้ อย่าเอามาเยอะเกินไป” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้เพิ่งจะถอยออกไป แต่ก็ถูกอวี้อาเหราเรียกเอาไว้ นางมองไปทางฉู่ป๋าย “เจ้าช่างตระหนี่นัก เอามาให้ข้ากินมากๆ หน่อยก็ไม่ได้” 

 

 

ฉู่ป๋ายจึงยิ้มออกมา “หากเจ้าทานของว่างเยอะเกินไปก็จะกินข้าวไม่ลง แล้วเจ้าจะนั่งมองพวกเรากินข้าวหรืออย่างไรกัน” 

 

 

“อย่างนั้นก็ช่างมันเถิด” อวี้อาเหราส่ายหน้า แม้ว่าขนมจะอร่อยเพียงใดก็ไม่สู้อาหารหลักได้หรอก 

 

 

อาหารของจวนเซิ่นอ๋องไม่ใช่ของแย่ อร่อยมากเลยทีเดียว 

 

 

เมี่ยวอวี้กลั้นยิ้มแล้วถอยออกไป 

 

 

ผ่านไปไม่นาน ฉู่เกอก็เดินปรบมือมาจากด้านนอกห้อง ผู้ที่ตามหลังมาคือหานสือที่มีใบหน้ายับยู่ยี่ การกินไข่ต้มลูกนั้นคงเหมือนความตายเสียกระมังสำหรับเขา อวี้อาเหรามองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ถูกฉู่เกอทรมานเช่นนี้ ใบหน้าของหานสือก็ไม่อาจรักษาความนิ่งสงบเย็นชาเช่นปกติได้เลย 

 

 

คงจะต้องพูดว่า เจ้านายเป็นอย่างไร ลูกน้องก็เป็นอย่างนั้น 

 

 

ฉู่เกอปลดเสื้อคลุมกันลมของตัวเองออกแล้วโยนไปอีกด้านหนึ่ง นางหัวเราะร่าแล้วขยับเข้ามาใกล้อวี้อาเหรา แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “พี่เหราเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้พวกท่านอยู่ด้วยกันสองต่อสองที่สวนดอกเหมย ทำอะไรกันหรือ” 

 

 

ใบหน้าของอวี้อาเหราแดงเรื่อเล็กน้อย นางพยายามที่จะสะกดใจของตัวเอง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น 

 

 

เมื่อต้องการที่จะพูด ฉู่ป๋ายก็ยกม้วนหนังสือขึ้นตีศีรษะของฉู่เกอเบาๆ นางที่รู้สึกเจ็บได้ยกมือขึ้นกุมศีรษะ เงยหน้าขึ้นมองอย่างโกรธเคือง “ท่านตีข้าทำไมกัน” 

 

 

“หากเจ้าไม่ก่อเรื่องให้มันวุ่นวาย พี่จะตีเจ้าทำไมกัน” ฉู่ป๋ายถามกลับ 

 

 

คำถามนี้ทำเอาฉู่เกอพูดไม่ออก นางกุมศีรษะบริเวณที่โดนตี ถลึงตาจ้องมองอีกฝ่ายแล้วบ่นงึมงำ 

 

 

ไม่มีใครได้ยิน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 436 ข้าผิดไปแล้ว 

 

 

 

 

 

ฉู่ป๋ายเข้าใจ เขาจึงช้อนตาขึ้นมองแล้วว่า “อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังด่าพี่ หากยังพูดจาเช่นนี้ก็อย่าโทษพี่หากจะสอบสวนเจ้าว่าไปเอานิสัยชอบกินไข่ต้มเช่นนี้มาจากใคร” 

 

 

“ข้าไม่พูดแล้ว ท่านจะทำอะไรข้าได้ ตอนนี้ข้าโตแล้ว ไม่ยอมโดนท่านรังแกเหมือนตอนเป็นเด็กอีก อีกอย่างตอนนี้ท่านไม่มีวรยุทธ์ ถึงจะสู้ก็สู้ข้าไม่ได้!” ฉู่เกอชะงักไป จากนั้นก็ทำคอแข็ง แล้วหัวเราะอย่างสมใจขึ้นมา 

 

 

ฉู่ป๋ายเม้มปาก “ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ก็ลองเข้ามาตีพี่ดูสิ หากโดนพี่ตีจนเจ็บแล้วอย่ามาร้องไห้แล้วกัน” 

 

 

ฉู่เกอโกรธจนหมดคำพูด นางอับจนหนทางอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นละ 

 

 

แม้ว่าจะสูญเสียวรยุทธ์ แต่ข้างกายของเขาก็ยังคงมีพวกหานสือคอยคุ้มครอง หากกล้าจะแตะต้องเขา แม้แต่นางที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ก็คงไม่ยอมอ่อนข้อให้ นี่เป็นบทเรียนที่นางเรียนรู้มาหลายปีซึ่งแลกด้วยเลือด 

 

 

“เจ้ารู้ดี แม้ว่าเจ้าจะไม่พูดออกมา พี่ก็สามารถตรวจสอบจนทะลุปรุโปร่งได้ หากไม่เห็นแก่สายเลือดของเจ้าและพี่ คงส่งคนออกไปตรวจสอบเสียนานแล้ว เจ้าทำตัวดีๆ อย่าให้พี่ต้องโมโห” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายเข้มขึ้น 

 

 

อวี้อาเหราฟังอยู่ใกล้ๆ ถึงกับเหงื่อออก พวกเขาเป็นพี่ชายน้องสาวกันจริงๆ หรือเปล่า? เหตุใดพี่ชายจึงดุถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนกับยามที่นางพบกับฉู่เกอครั้งแรกเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นนางคิดว่าเขารักใคร่เอ็นดูน้องสาว ที่แท้แล้ว เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ! 

 

 

ฉู่เกอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที “ท่านพี่ ข้าสำนึกผิดแล้วไม่ได้หรือ” 

 

 

ฉู่ป๋ายยังคงตีหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จา 

 

 

“พี่เหราเอ๋อร์” ฉู่เกอหมดหนทาง ทำได้แต่เพียงขอความช่วยเหลือจากอวี้อาเหราเท่านั้น นางก็ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวถูกเปิดเผยนี่นา 

 

 

“ให้มันแล้วไปแล้วไม่ได้หรือ นางเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น หากนางจะว่าร้ายเจ้าจริงๆ ตอนอยู่ในสวนดอกเหมยเมื่อครู่นี้นางจะช่วยเจ้ารังแกจวินอู๋เหินทำไม” อวี้อาเหรารับรู้ถึงสายตาขอความช่วยเหลือ จึงจำต้องหว่านล้อมฉู่ป๋าย 

 

 

ฉู่ป๋ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยพยักหน้า “วันนี้ก็ให้แล้วกันไปเถิด” 

 

 

“ดียิ่งนักท่านพี่!” ฉู่เกอพยักหน้าลงด้วยความยินดี จากนั้นก็หันไปขอบอกขอบใจอวี้อาเหราเสียยกใหญ่ 

 

 

ในใจของนางก็ต้องทอดถอนใจ นางคิดว่าตัวนางเป็นน้องสาวของเขาแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ขอร้องเขาอยู่ตั้งนาน แต่พี่เหราเอ๋อร์พูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเขากลับยอม ทำตัวเป็นคนดีก็ล้มเหลว เป็นน้องสาวยิ่งล้มเหลว ตัวนางช่วงน่าสงสารนัก เป็นน้องสาวของใครไม่เป็น ดันมาเป็นน้องสาวของฉู่ป๋ายเสียได้ 

 

 

เชษฐาผู้เมตตาและขนิษฐาผู้ภักดีคืออะไร? พวกเขาสองคนพี่น้องไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย! 

 

 

ในยามนี้ กลิ่นหอมของอาหารก็โชยเข้ามา เมี่ยวอวี้ยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วเข้ามาในห้อง แล้ววางลงบนโต๊ะ วันนี้อาหารล้วนมากมายล้นหลาม ฉู่เกอเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เดาะลิ้นแล้วหันไปทางอวี้อาเหรา 

 

 

“ตอนพี่เหราเอ๋อร์อยู่ทีนี่ช่างดีนัก มิเช่นนั้นพี่ชายของข้าคงไม่ดีถึงขนาดนี้ อุตส่าห์ให้คนทำอาหารน่ากินตั้งมากมาย!” 

 

 

อวี้อาเหราได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป แล้วมองไปทางฉู่ป๋าย 

 

 

ฉู่ป๋ายปิดปากแล้วกระแอมไอเบาๆ “ในเมื่อป่วยก็ต้องกินของดีๆ มากๆ หน่อย หากเจ้าป่วยเป็นไข้หนาวสั่น แน่นอนว่าจะต้องให้คนทำอาหารดีๆ ให้กินอยู่แล้ว”  

 

 

ฉู่เกอรีบส่ายหน้าเป็นพัลวันเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่เอาหรอก ป่วยทีก็ลำบาก กินอะไรก็ไม่อร่อย” 

 

 

“เจ้าพูดเองนะ” ฉู่ป๋ายพูดจบก็ดึงชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลง 

 

 

อาหารที่อยู่บนโต๊ะช่างมากมายและหลากหลายอย่างที่ว่าจริงๆ ทั้งสามคนนั่งลงประจำที่แล้วทานอาหาร แต่มีเพียงฉู่เกอและอวี้อาเหราเท่านั้นที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ฉู่ป๋ายกลับขยับตะเกียบสองสามที แล้วจึงดื่มโจ๊กเปล่า ดูออกว่าทานอะไรไม่ค่อยลง 

 

 

อาการโรคกระหายโลหิตทรมานเขาอีกแล้ว…