ตอนที่ 413 สุภาพบุรุษฉินเฟิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ซูวั่งชวน ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง!”

เมื่อได้ยินเสียงของซูวั่งชวน บุรุษผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘เฮยรอง’ ก็สังเกตเห็นเขาเช่นกันและสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะแผ่จิตสังหารแรงกล้าออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ไม่ได้พบกันนานหลายทศวรรษ เจ้าจะกล้าเข้ามาเหยียบถึงเมืองวารีมายาของเราอีก หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ท่านเจ้าเมือง ข้าก็คงจะตามไปฆ่าเจ้าถึงชนเผ่าเมฆาครามเพื่อคิดบัญชีเรื่องเก่าที่เจ้าเคยก่อไว้!”

เฮยรองจ้องมองซูวั่งชวนอย่างเกรี้ยวโกรธ

“เฮยรอง หากไม่ใช่เป็นเพราะการยั่วยุของพวกเจ้า ข้าจะกระทำการที่โหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? เจ้ายังมีหน้ามาเอ่ยวาจาว่าจะคิดบัญชีอีกหรือ เจ้าจะคิดบัญชีเรื่องใดงั้นรึ?”

สีหน้าของซูวั่งชวนดูเยือกเย็นจนน่าขนลุกและมองตอบเฮยรองพร้อมด้วยจิตสังหารแรงกล้าไม่แพ้กัน

เขามีเรื่องบาดหมางกับขุมกำลังของเฮยรองมาหลายครั้งหลายครา และเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดก็คือคราที่เขาปลิดชีพเฮยใหญ่—พี่ชายของบุรุษผู้นี้

“เหอะ ข้าจะลืมความแค้นที่เจ้าฆ่าพี่ชายของข้าได้ยังไง!”

เฮยรองแค่นเสียงเย็นชา เขาแสดงความชิงชังที่มีต่อซูวั่งชวนออกมาอย่างชัดเจน

“หากไม่ใช่เป็นเพราะพี่ใหญ่ของเจ้าที่คิดหลอกลวงและเอาเปรียบผู้อื่น ข้าจะฆ่าเขาทำไมเล่า? ในตอนนั้นข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าจึงปล่อยเจ้าไป มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้รึ?”

ซูวั่งชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหตุการณ์ครานั้นในอดีต เฮยใหญ่พยายามปล้นเอาสิ่งของล้ำค่าที่เขาครอบครองมาได้อย่างลำบากลำบนและกระทำการที่อุกอาจและโหดเหี้ยมต่อเขา

ไม่ว่าซูวั่งชวนจะเอ่ยเตือนหรือข่มขู่อย่างไร เฮยใหญ่ก็ยังพยายามขโมยแหวนมิติของเขา ด้วยความเดือดดาลอย่างที่สุด ทั้งสองจึงรบราปะทะกันอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม เฮยใหญ่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูวั่งชวนแม้แต่น้อย เขาจึงพ่ายแพ้ต่อซูวั่งชวนอย่างราบคาบ

ในครานั้น ซูวั่งชวนก็มิได้ต้องการสังหารเขาและปล่อยเขาไป อย่างไรก็ตาม เฮยใหญ่ก็ไม่ยอมลดละหรือสำนึกในความผิด หลังจากนั้นเขาก็นำคนออกมาตามหาซูวั่งชวนอีกครั้ง

เฮยใหญ่มีจิตใจที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่งและต้องการเอาชีวิตของซูวั่งชวนให้ได้ แน่นอนว่าครานี้ซูวั่งชวนก็ไม่ได้แสดงความเมตตาอีกต่อไป หลังจากนั้นจึงเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดก่อนที่เขาจะสังหารอีกฝ่ายในที่สุด แม้ว่าซูวั่งชวนเองก็ได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่ได้เผยช่องโหว่ใดๆและออกไปจากที่นั่นได้อย่างปลอดภัย

หลังจากนั้น ซูวั่งชวนก็ไม่ต้องการเผชิญกับปัญหาอีก เขาจึงกลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามและไม่เคยย่างกรายมาที่เมืองวารีมายาอีกเลย

ครานี้หากไม่ใช่เพราะมารยาต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้า เขาก็คงไม่เข้ามาเหยียบที่เมืองวารีมายาแห่งนี้อย่างแน่นอน

“เหอะ แล้วอย่างไร? ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต เจ้าฆ่าพี่ใหญ่ของข้าและตอนนี้เจ้ามาอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว บอกลาชีวิตอันไร้ค่าของเจ้าได้เลย”

เฮยรองแค่นเสียงเย็นชาอีกครั้ง เขาไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าใครถูกหรือใครผิด

“แม่นางที่พูดปดผู้นี้ก็มากับเจ้าสินะ”

เขาชำเลืองมองฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งก่อนเลื่อนสายตาไปที่มารยาซึ่งกำลังจดจ่อกับการลงทัณฑ์สายฟ้า จากนั้นเฮยรองก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ข้าก็จะอยู่ที่นี่ต่อ แม่นางที่กำลังรับมือกับทัณฑ์สายฟ้านี่ดูดีทีเดียว ข้าจะขัดขวางไม่ให้นางทะลวงพลังได้ เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะพยายามกำราบนางและทำให้นางมาเป็นเมียของข้าซะ”

น้ำเสียงของเฮยรองหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่งราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

“เฮยรอง เจ้าจะมั่นใจเกินไปแล้ว ในอดีต พี่ชายของเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้และตอนนี้เจ้าเองก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่คิดจะควบคุมพวกเรานั้นไม่ง่ายนักหรอก ข้าขอแนะนำไว้อย่าง หากเจ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ ขืนยังเสนอหน้าอยู่ที่นี่ต่อไป อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”

ซูวั่งชวนไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แม้ว่าพลังของเฮยรองจะพัฒนาขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทว่าฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด

ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพอสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ธรรมดาเลย หากทำสิ่งใดขวางหูขวางตาหรือทำให้ฉินอวี้โม่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เฮยรองผู้นี้ก็อาจต้องตายอยู่ที่นี่

“ผู้อาวุโสซู อย่าไปสนใจเขาเลย หากเขาอยากจะทำอะไรก็เชิญให้เขาลองดู หากต้องการจะขัดขวางการทะลวงพลังของมารยา มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะมีชีวิตไปขัดขวางมันได้รึไม่”

ร่างของหานอวี้พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วและปรากฏกายข้างซูวั่งชวน

เขากวาดสายตามองเฮยรองด้วยแววตาราวกับกำลังมองร่างไร้วิญญาณ

ฉินอวี้โม่ได้ยินคำพูดโอหังของเฮยรองอย่างชัดเจนและหานอวี้ก็รู้สึกได้ถึงความโกรธในใจของนาง หากไม่ใช่เพราะกำลังจดจ่อกับสถานการณ์ที่สำคัญกว่า เกรงว่า ‘มารดา’ ของมันคงสั่งสอนบทเรียนอันไม่รู้ลืมให้กับเฮยรองไปแล้ว

“เจ้าหนูนี่มาจากที่ใดกัน? ช่างพูดจาโอหังนัก”

เมื่อเห็นเจ้าหนูน้อยที่จู่ๆก็ปรากฏกายข้างซูวั่งชวน เฮยรองก็กล่าวด้วยแววตาดูถูกและไม่เห็นหานอวี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“เหอะ เจ้ารนหาที่ตายซะแล้ว”

หานอวี้แค่นเสียงในลำคอและร่างของมันก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาเฮยรอง

เพียะ!

เฮยรองยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ฝ่ามือเล็กๆจำนวนมากก็ประทับเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างจังราวกับเขาถูกหานอวี้กระหน่ำฟาดฝ่ามือก็ว่าได้

“เอ่อ…”

บรรดาผู้ติดตามของเฮยรองไม่มีปฏิกิริยาใดๆขณะมองเห็นหัวหน้าของตนถูกเด็กน้อยตบเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนใบหน้าเหยเก

“พูดจาระวังปากด้วย หากเจ้าไม่อยากกลายเป็นศพอยู่ที่นี่ก็ไสหัวออกไปซะ!”

หานอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของหานอวี้ เฮยรองก็จ้องหน้าเด็กน้อยด้วยแววตาดุดัน

“ทุกคนฟังข้า ซูวั่งชวนผู้นี้คือผู้นำของชนเผ่าเมฆาครามแห่งเมืองเพลิงมายา การที่เขานำคนมากมายเหล่านี้มา ข้าสงสัยว่าพวกเขาอาจจะมาที่เมืองวารีมายาของเราเพื่อสร้างปัญหาความวุ่นวายบางอย่าง เรามาร่วมมือกันจับตัวพวกเขาและกำจัดอสูรมายาที่กำลังเผชิญการลงทัณฑ์สายฟ้านั่นเถอะ ความแข็งแกร่งของเมืองเพลิงมายาจะได้ลดน้อยลง หากท่านเจ้าเมืองทราบถึงเรื่อง เขาจะต้องมอบรางวัลให้กับพวกเราอย่างงาม”

ทันใดนั้น เฮยรองเงยหน้าขึ้นและเอ่ยวาจาเสียงดังราวกับกำลังเอ่ยกับผู้คนโดยรอบ

เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเมืองใหญ่ก็ไม่ได้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตราบใดที่ตัวตนของซูวั่งชวนถูกเปิดเผยและมีสิ่งล่อตาล่อใจ เขาไม่กังวลเลยว่าจะไม่มีใครสนใจร่วมมือ

“ที่แท้ก็คนจากเมืองเพลิงมายา!”

“คนจากเมืองเพลิงมายาแอบเข้ามาในบริเวณอาณาเขตของเราทำไมกัน?!”

“หรือพวกเขาต้องการจะแอบลักลอบเข้าไปในเมืองเพื่อสืบข่าวบางอย่าง?”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเฮยรอง ผู้คนโดยรอบก็หารือกันต่างๆนาๆ ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็ไม่หลบซ่อนอีกต่อไปและโผล่หน้าออกมาทีละคน

“ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนการใดๆอยู่ ตราบใดที่พวกเราจับตัวพวกเขาและส่งตัวไปที่จวนเจ้าเมือง แน่นอนว่าเราจะสามารถสืบหาความจริงได้”

ใครคนหนึ่งอดเอ่ยออกมาไม่ได้ หากจับตัวคนเหล่านี้ไปที่จวนเจ้าเมืองได้สำเร็จ พวกเขาน่าจะได้รับประโยชน์หรือรางวัลมากมาย

เมื่อเห็นบรรดาผู้คนที่ปรากฏตัว สีหน้าของฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนก็ถอดสีเล็กน้อย หากพวกนางถูกรุมโจมตีโดยคนเหล่านี้ที่ร่วมมือกัน มันจะเป็นปัญหาอย่างแน่นอน

เปรี้ยง!

สายฟ้าสายที่ห้าฟาดลงมาและทะลวงผ่านม่านป้องกันของมารยาก่อนโจมตีมาถึงตัวมัน

พลั่ก!

ร่างของมารยาถูกสายฟ้าเส้นหนาเท่าลำต้นของต้นไม้ฟาดเข้ามาจนล้มลงกระแทกพื้นและกระอักเลือดคำโตออกมา ในเวลานี้ ใบหน้าของอสูรสาวซีดลงและลมหายใจก็อ่อนแอลงเล็กน้อย

“มารยา เจ้าเป็นอะไรรึไม่?”

เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังของมารยาอ่อนแอลง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยความกังวลทันที

“นายหญิง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”

เสียงของมารยาดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่เพื่อไม่ให้นางเป็นกังวล

“ยังมีทัณฑ์สายฟ้าอีกขั้น เจ้าต้องอดทนไว้ พวกเราจะช่วยคุ้มกันให้เจ้า”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวให้กำลังใจมารยา

“ข้าจะรับมือให้ได้”

อสูรสาวพยักหน้าโดยไม่ลังเล ทว่าครานี้มันไม่ได้กลับลอยขึ้นกลางอากาศตามเดิมทว่านั่งขัดสมาธิเพื่อรอสายฟ้าขั้นต่อไป

“เหอะ คิดรึว่าพวกข้าจะปล่อยให้เจ้าข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าไปได้!”

เฮยรองแค่นเสียงและกล่าวขึ้นเสียงดัง “จัดการเลย เราจะปล่อยให้มันข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นมันจะนำพาปัญหามาไม่รู้จบ!”

เมื่อได้ยินวาจาของเฮยรอง ทุกคนก็รู้สึกฮึกเหิมและกระตือรือร้นที่จะลงมือ พวกเขาเพียงรอให้ใครสักคนเริ่มก่อนเท่านั้น

สองคนแรกที่เข้ามาประจันหน้ากับฉินอวี้โม่ยังคงนิ่งเฉยและพวกเขาไม่คิดที่จะข้องเกี่ยวในการโจมตีครานี้

“แม่นาง ในบรรดาคนเหล่านี้ รวมเฮยรองแล้วก็มีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนถึงเจ็ดคน ส่วนคนอื่นๆก็มีพลังอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด หากท่านคิดว่าสู้ไม่ได้ก็รีบหาทางหนีออกไปเถอะ”

คนหนึ่งอดไม่ได้และเอ่ยเตือนฉินอวี้โม่ให้หาทางหนีไปก่อน

พวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะวิ่งเข้าหาปัญหาและไม่ใช่คนทะนงตนมากเกินไป พวกเขาชิงชังการกระทำที่เป็นการฉวยโอกาสผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางเข้าร่วม

อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้พวกเขายื่นมือเข้ามาช่วยฉินอวี้โม่และพวก ถึงอย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นคนของเมืองวารีมายาและไม่อาจสู้รบปรบมือกับคนมากมายเช่นนี้ได้

“ขอบคุณมาก แต่ข้าไม่หนีหรอก หากคนพวกนั้นต้องการจะลงมือจริงๆ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะปล่อยให้มีศพเกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่!”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับคำเตือนและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบครึม หากอีกฝ่ายต้องการโจมตีพวกนางจริง นางก็ไม่รังเกียจที่จะตอบสนองด้วยการย้อมดินแดนแห่งนี้ให้กลายเป็นสีเลือด จอมยุทธ์ขอบเขตเซียนเพียงไม่กี่คนเหล่านี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนมือใหม่ ฉินอวี้โม่มั่นใจว่านางจะสามารถรับมือได้

“เฮยรอง ใครอนุญาตให้เจ้ากระทำผิดอย่างเหิมเกริมอยู่ที่นี่?”

ขณะที่ใครบางคนกำลังจะเริ่มลงมือ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่ร่างของเจ้าของเสียงเข้ามาปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่

คนผู้นี้ก็คือฉินเฟิง—เจ้าเมืองวารีมายาและเป็นผู้ที่นั่งอยู่ในจวนเจ้าเมืองก่อนหน้านี้ เขารีบปรี่มาที่นี่ทันทีที่สัมผัสถึงความผิดปกติและได้ยินคำพูดทั้งหมดของเฮยรองเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงจงใจซ่อนตัวเพราะต้องการเห็นว่าฉินอวี้โม่จะตอบสนองอย่างไร ทว่าเมื่อได้ยินวาจาของสตรีผู้นี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงตัวออกมา เขารู้สึกได้ว่าหากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป ดินแดนแห่งนี้จะต้องกลายเป็นทะเลเลือดอย่างแน่นอน

“ท่านเจ้าเมือง!”

เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินเฟิง ผู้ที่ต้องการโจมตีก่อนหน้านี้ต่างก็หยุดชะงักและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพ

“พวกเจ้าก็ยังรู้ว่าข้าเป็นเจ้าเมือง ข้าเอ่ยตั้งแต่เมื่อใดว่าข้าเป็นศัตรูกับเมืองอื่นๆ?”

ฉินเฟิงกวาดสายตามองคนเหล่านั้นและเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าน้ำเสียงเจือด้วยความกดดัน

“ผู้มาเยือนถือเป็นแขกของเมือง ต่อให้มาจากเมืองเพลิงมายา พวกเขาก็เป็นแขกของเรา พวกเราชาวเมืองวารีมายาจะไม่กระทำสิ่งใดที่ไร้ยางอาย”

ฉินเฟิงชำเลืองสายตามองไปที่เฮยรองและกล่าว “เฮยรอง สิ่งที่เจ้าทำเมื่อครู่นี้ช่างโอหังยิ่งนัก หากเจ้ายังไม่คิดเปลี่ยนแปลงตนเอง อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน”

สีหน้าของเฮยรองเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินเฟิง เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าเมืองวารีมายาจะปรากฏตัวขึ้นมาด้วยตนเอง

แต่ทว่า เขาก็ยังไม่ยอมลดละ

“ท่านเจ้าเมือง เมืองใหญ่ทั้งหลายต่างก็มีความขัดแย้งกัน มันไม่น่าสงสัยหรือที่คนของเมืองเพลิงมายาเหล่านี้ไม่อยู่ในเมืองของตนเองแต่กลับเดินทางมาถึงเมืองของพวกเรา?”

“ฮ่าๆๆ แล้วเมืองของพวกเราเป็นศัตรูกับเมืองอื่นๆตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ฉินเฟิงยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาและสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะวาจาของเฮยรอง

เมื่อมองฉินเฟิงผู้ปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด จู่ๆฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง ‘ทำไมข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยกับฉินเฟิงผู้นี้ยิ่งนัก?’

.