ราชันเร้นลับ 486 : การคาดเดาของไคลน์

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 486 : การคาดเดาของไคลน์ โดย Ink Stone_Fantasy

เอ็มลินกำลังประหลาดใจสุดขีด

ถ้อยคำจำพวก ‘กุหลาบไถ่บาป’ ‘เทวทูตโชคชะตา’ และ ‘ทำลายวังวนกระแสเวลา’ เกินความเข้าใจของผีดูดเลือดหนุ่มพอสมควร

จริงอยู่ หากแยกเป็นแต่ละคำ การตีความคงพอเป็นไปได้ แต่สมองของมันขาวโพลนทันทีเมื่อทุกคำปรากฏอยู่ในประโยคเดียวกัน

กำลังจะบอกว่า เด็กหนุ่มเดอะซันเพิ่งรอดพ้นจากการไล่ล่าของเทวทูต?

เอ็มลินพยายามคาดเดาจากข้อมูลตามความเข้าใจของตน

ขณะเดียวกัน หลังจากนั่งฟังเดอร์ริคกล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล แฮงแมนเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย มันโน้มตัวไปข้างหน้าและซักถามเชิงต่อยอดจากมิสจัสติสด้วยน้ำเสียงปรกติ

“ช่วยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดด้วย”

เดอร์ริคไม่มีเจตนาปิดบัง มันมอบคำตอบด้วยความซื่อตรง

“มิสจัสติส มิสเตอร์แฮงแมน มิสเมจิกเชี่ยน และมิสเตอร์เวิร์ล ขอขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงจากทุกคน และขอบคุณสำหรับคำแนะนำอันมีค่า ในการสำรวจรอบหก ผมเริ่มต้นด้วย…”

เด็กหนุ่มอธิบายรายละเอียดและผลลัพธ์จากการกระทำตัวเอง เน้นย้ำเกี่ยวกับเด็กชายแจ็ค เล่าว่าอีกฝ่ายมาจากท่าเรือเอ็นมาร์ท และบรรยายรายละเอียดของจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสลักข้อความกุหลาบไถ่บาป

ท่าเรือเอ็นมาร์ท… เด็กชายประหลาดนามว่าแจ็ค มาจากอาณาจักรโลเอ็นจริงด้วย!

ในอีกความหมายหนึ่ง ดินแดนเทพทอดทิ้งอันเป็นจุดกำเนิดของเมืองเงินพิสุทธิ์ สามารถไปมาหาสู่กับทวีปเหนือได้ด้วยวิธีการบางอย่าง ขอเพียงค้นหาความลับให้พบ…

มองผิวเผินจากภายนอก ไคลน์แสร้งทำเป็นฟังผ่านๆ แต่ในใจกำลังรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์อย่างละเอียด

ท่าเรือเอ็นมาร์ทตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองทิงเก็น ถือเป็นหนึ่งในท่าเรือพลุกพล่านเลียบชายฝั่งตอนกลางของอาณาจักรโลเอ็น

ท่าเรือเอ็นมาร์ทแห่งตะวันออกและท่าเรือพริสต์ทางตอนใต้ คือสองจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญในการลำเลียงสินค้าทางทะเลเข้าสู่เมืองหลวง

ผู้สื่อวิญญาณ มาดามดาลีย์ ครั้งหนึ่งเคยถูกส่งไปประจำการยังท่าเรือเอ็นมาร์ท รวมถึงมิสเตอร์ Z แห่งชุมนุมแสงเหนือก็เคยอาศัยอยู่ในท่าเรือเอ็นมาร์ทมาก่อน…

ไคลน์หวนนึกถึงความทรงจำสมัยอดีต

แนวคิดคล้ายคลึงกันได้เกิดขึ้นกับออเดรย์ อัลเจอร์ และฟอร์ส เรื่องราวข้างต้นทำให้ใครบางคนตื่นเต้น บางคนกังวลและหวาดระแวง โดยกลัวว่าความดำมืดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะแพร่กระจายมายังทวีปเหนือ ทวีปใต้ และห้าห้วงสมุทรโดยรอบ

“ท่านประมุขบอกกับผมว่า จากข้อมูลภายในหนังสือโบราณซึ่งท่านฉุกคิดได้จากคำเตือนของผม มีข่าวลือระบุว่า เมื่อมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด ชายตามองมายังดินแดนของเรา ท่านได้ปรากฏกายโดยมีเทวทูตหลายตนล้อมรอบ ผู้นำกลุ่มเทวทูตคือราชาเทวทูตจำนวนแปดตน กล่าวกันว่า ราชาเทวทูตนั้นใกล้ชิดบัลลังก์แห่งพระผู้สร้างมากกว่าใคร โดยในหมู่ราชาเทวทูตก็มีบุตรแห่งพระผู้สร้างรวมอยู่ด้วยเช่นกัน”

เดอร์ริคพรั่งพรูคำอธิบายจากนักล่าปีศาจโคลินอย่างตั้งใจ

“ท่านประมุขคาดเดาว่า อามุนด์อาจเป็นเทวทูตกาลเวลาแห่งแปดราชาเทวทูต และบุคคลในภาพจิตรกรรมฝาผนังคือเทวทูตโชคชะตา ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส”

แปดราชาเทวทูต? แปดราชาทูตผู้ใกล้ชิดบัลลังก์พระผู้สร้างมากกว่าใคร?

ออเดรย์กำลังตื่นเต้นเหนือคำบรรยาย

เธออดถามอย่างสงสัยมิได้

“มิสเตอร์ซัน เช่นนั้นแล้ว สมญานามและชื่อของราชาเทวทูตตนอื่นมีอะไรบ้าง”

“ท่านประมุขมิได้เล่า… ผมก็มิกล้าถาม”

เดอร์ริคมอบคำตอบ สีหน้าแฝงความละอายใจ

อยากรู้คำตอบจัง…

หญิงสาวรีบหันไปทางมุมโต๊ะทองแดงยาว สายตาจ้องมองเดอะฟูลผู้อยู่หลังม่านหมอกอย่างคาดหวัง ประหนึ่งกำลังอ้อนวอนให้อีกฝ่ายช่วยไขความกระจ่าง เธอถึงกับเตรียมสิ่งของแลกเปลี่ยนไว้ในใจเสร็จสรรพ

สาวน้อย อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น…

ทางนี้ก็กลวงเหมือนกัน… ไคลน์พยายามระงับมิให้มุมปากของตนสั่นกระตุก

แต่มันมิได้ขาวโพลนโดยสิ้นเชิง ยังพอจะเดาได้บ้างว่าราชาทูตอีกสองตนเป็นใคร

วิญญาณมารในซากอาคารใต้ดินเคยอธิบายไว้ว่า ตระกูลเมดีซีคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กรกุหลาบไถ่บาป และภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ระบุว่าโอโรเลอุสก็น่าจะเป็นหนึ่งในผู้นำของกุหลาบไถ่บาปเช่นกัน ดังนั้น เมดีซีกับโอโรเลอุสควรจะมีศักดิ์เท่าเทียม แต่เราไม่มีข้อมูลว่าท่านร่วงหล่นไปแล้วหรือยัง…

ตระกูลเมดีซีถือครองเส้นทางนักล่า หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทางนักบวชสีชาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สมญานามของราชาเทวทูตเมดีซีก็ควรจะเป็น…

ไม่เทวทูตสีชาด ก็เทวทูตสงคราม…

และบางที บุตรแห่งพระผู้สร้างอาจมีตำแหน่งเป็นราชาเทวทูตทั้งหมด…

ถ้าอามุนด์คือเทวทูตกาลเวลา อาดัมก็น่าจะเป็นราชาเทวทูตเช่นกัน เพียงแต่เรายังไม่มีเบาะแสสมญานามของท่าน…

ในส่วนของราชาเทวทูตอีกสี่ตน เรายังไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว… บางที หนึ่งในพวกท่านอาจแฝงตัวอยู่กับสภานักสิทธิ์สนธยา…

เป็นไปได้มากทีเดียว… เพราะในเมื่อสภานักสิทธิ์สนธยามองพระผู้สร้างเสื่อมทรามและกุหลาบไถ่บาปเป็นศัตรู องค์กรของพวกเขาก็ควรถูกก่อตั้งโดยราชาเทวทูตซึ่งเป็นตัวตนระดับเดียวกัน…

จริงสิ ยังมีหลักฐานทางอ้อมจากเมืองเงินพิสุทธิ์ช่วยยืนยันว่า เมื่อพระผู้สร้างลืมตาขึ้น ท่านได้ ‘ริบ’ อำนาจของมหามังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล กลับคืน โดยในทางทฤษฎี อำนาจดังกล่าวสามารถถูกส่งต่อให้หนึ่งในแปดราชาทูตผู้ใกล้ชิดกับบัลลังก์ได้…

ผนวกกับข้อมูลในไดอารีของโรซายล์ สภานักสิทธิ์สนธยาจะต้องมีหนึ่งในสมาชิกเป็นเทวทูตบนเส้นทางนักสร้างฝัน…

คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์ยิ้มและกล่าว

“อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้ทราบเอง”

ไม่ต้องห่วง… ถ้าทางนี้มีข้อมูลเมื่อไร จะรีบเสนอขายในราคาเหมาะสมทันที…

ชายหนุ่มเสริม

เมื่อตระหนักมิสเตอร์ฟูลยังไม่อยากตอบ ออเดรย์เบือนหน้ากลับไปด้วยสายตาเจือความผิดหวังเบาบาง พลางจ้องมองเดอะซันเล่าเรื่องราวต่อ

ขณะเดียวกัน อัลเจอร์เริ่มผุดแนวคิดอันตราย

อาจเป็นไปได้ว่า ประวัติศาสตร์ก่อนหน้ายุคสมัยมหาภัยพิบัติจากพระคัมภีร์ล้วนเป็นของปลอมทั้งหมด… เพราะในช่วงปลายยุคสมัยที่สามและต้นยุคสมัยที่สี่ เทพจารีตนั้นมีทั้งหมดหกองค์ เมื่อนำไปรวมกับอามุนด์และผู้กลืนหางก็จะครบแปดพอดิบพอดี…

หรือพวกท่านทั้งหกจะได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากความตายของพระผู้สร้าง จนสามารถพัฒนาตัวเองกลายเป็นลำดับ 0 ได้อย่างพร้อมหน้า…

อัลเจอร์ตระหนักได้ทันทีตนคือคนบาปผู้สมควรถูกลงทัณฑ์ด้วยเพลิงแห่งเทพจากเบื้องบน แต่ถึงกระนั้น มันกลับมิอาจข่มความตื่นเต้นภายในหัวใจ ต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะใจเย็นลงและเริ่มกลับมาฟังเรื่องราวของเดอะซันน้อยตามเดิม

ตลอดการเล่าเรื่อง เอ็มลินทำได้เพียงนั่งฟังด้วยสายตาเหม่อลอย

แม้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดจะมีประวัติศาสตร์และอายุขัยยาวนาน แต่ก็แทบไม่ทราบข้อมูลก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติเลย โดยความสนใจส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปในยุครุ่งเรืองของบรรพชนต้นตระกูล และช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลใดเกี่ยวข้องกับ ‘ราชาเทวทูต’

ขณะเดอร์ริคเล่าถึงขั้นตอนการทำลายวังวนกระแสเวลาโดยประมุขโคลิน ไคลน์กำลังครุ่นคิดเรื่องอื่น

เราสามารถยืนยันได้ว่า ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส คือลำดับ 1 ‘อสรพิษปรอท’ แห่งเส้นทางสัตว์ประหลาด… หมายความว่า ราชาเทวทูตต้องเป็นลำดับ 1 ทั้งหมดใช่ไหม…

ถ้าอย่างนั้น อสรพิษปรอทผู้ตามคุกคามเด็กชายวิล·อัสติน คือเทวทูตกาลเวลา?

แบบนั้นก็จะหมายความว่า ขุมกำลังของพระผู้สร้างแท้จริงภายในเบ็คลันด์ มิได้จำกัดเฉพาะมิสเตอร์ A แห่งชุมนุมแสงเหนือเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงโอโรเลอุส…

ไม่น่าใช่ หากมีแค่โอโรเลอุสต่อสู้กับวิล·อัสตินเพื่อแย่งชิงลำดับ 0 ตามลำพัง อีกฝ่ายไม่น่าจะปล่อยให้เด็กชายวิลรอดชีวิตมานานขนาดนี้….

จริงอยู่ เรายังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ว่าโอโรเลอุสอาจกำลังอยู่ในวงจรกำเนิดใหม่และมีสภาพอ่อนแอเหมือนกับวิล·อัสติน แต่โอกาสเป็นเช่นนั้นค่อนข้างต่ำ เพราะกลุ่มกุหลาบไถ่บาปน่าจะมีตัวตนระดับครึ่งเทพมากมาย ดังนั้น วัฏจักรการเกิดใหม่ของโอโรเลอุสต้องมีคนคอยอารักขาอย่างแน่นหนา แตกต่างจากการแอบมาเกิดในท้องคนธรรมดาเหมือนกับเด็กชายวิล…

ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้… อสรพิษปรอทสองตนในกรุงเบ็คลันด์มิใช่เทวทูตโชคชะตาทั้งคู่ ส่วนโอโรเลอุสก็ยังอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งตามเดิม และนี่จะเป็นสถานการณ์สมดุลระหว่างสามอสรพิษปรอท…

หลังจากเล่าจนจบว่าตนเอาตัวรอดจากวังวนกระแสเวลาได้อย่างไร เดอร์ริคแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจอีกครั้ง

ในส่วนของออเดรย์กับฟอร์ส แม้ว่าพวกเธอจะได้ฟังเรื่องราวเป็นหนสอง แต่ก็ยังมิอาจระงับอาการหวาดผวาไว้ได้ ภายในใจกำลังท่วมท้นด้วยความตื่นเต้นเจือหวาดกลัว

ต้องขอบคุณมิสเตอร์ฟูล พวกเราจึงมีโอกาสได้ฟังประสบการณ์ด้านมือของโลกผู้วิเศษอย่างแจ่มชัด… ออเดรย์สรรเสริญหัวหน้าชุมนุมทาโรต์จากก้นบึ้ง

ทางด้านอัลเจอร์ก็กำลังมีความคิดคล้ายคลึงกัน มันมองว่า วังวนกระแสเวลาดังกล่าว หากไม่มีตัวตนระดับเทพคอยช่วยเหลือ คงยากจะให้คนในหลุดพ้นด้วยตัวเอง

แต่โชคยังดี มิสเตอร์ฟูล หัวหน้าชุมนุมทาโรต์ของพวกเรา ท่านคือตัวตนระดับเทพ…

ขณะเดียวกัน เดอร์ริคมองไปยังฝั่งตรงข้ามและกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“มิสเมจิกเชี่ยน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมจึงเดินทางกลับถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ช้ากว่าปรกติ จริงอยู่ ปัญหาอาจถูกคลี่คล้ายหมดแล้ว แต่ท่านประมุขได้กำชับให้เดินทางกลับอย่างระมัดระวังมากขึ้น ส่งผลให้ต้องกลับถึงช้ากว่ากำหนด ถุงกระเพาะอาหารผู้กลืนวิญญาณของคุณคงต้องรออีกประมาณวันสองวัน แต่ไม่ต้องห่วง เมื่อจบเรื่องคราวนี้ ผมคงหลุดพ้นจากการถูกเฝ้าจับตามองแล้ว”

“ไม่มีปัญหา ดิฉันรอได้ พร้อมเมื่อไรก็แจ้งได้เลย เตรียมเงินไว้ครบแล้ว” ฟอร์สกล่าวด้วยสีหน้าโล่งใจ

ในชุมนุมคราวก่อน เธอขายดวงตามังกรกระจกให้มิสจัสติสในราคาหนึ่งพันปอนด์

หลังจากนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้อาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์ ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงการคิดค่านายหน้าสองร้อยปอนด์ของเธอ ได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายชื่นชมในความซื่อสัตย์ของหญิงสาวอย่างมาก โดยมันขอรับเงินไว้เพียงเจ็ดร้อยปอนด์ และแบ่งอีกหนึ่งร้อยปอนด์ให้ฟอร์สเป็น ‘ค่าเสียเวลา’ ส่งผลให้เธอทำกำไรจากการขายดวงตามังกรกระจกทั้งสิ้นสามร้อยปอนด์ เมื่อนำไปรวมกับเงินเก็บเดิม ฟอร์สจึงมีเงินสดติดตัวพร้อมใช้จำนวนหกร้อยห้าสิบปอนด์ เพียงพอสำหรับแลกเปลี่ยนกับถุงกระเพาะผู้กลืนวิญญาณ

กว่าเราจะย่อยโอสถเดิมหมดก็ต้องรออีกไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบ…

หญิงสาวมองไปยังฝั่งตรงข้าม

“มิสเตอร์แฮงแมน ดิฉันมีอินทรีย์ทะเลตามังกรมาขายในราคาสองพันสองร้อยปอนด์”

โดเรียนบอกราคากับเธอมาสองพันปอนด์ หมายความว่า ฟอร์สสามารถเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อทำกำไรให้ตัวเอง

สองพันสองร้อยปอนด์… อัลเจอร์ขมวดคิ้ว

สถานภาพทางการเงินของมันไม่สู้ดีนักหลังจากซื้อสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ จริงอยู่ มันอาจมีเงินออมลับๆ สำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน แต่ตอนนี้ยังใกล้เคียงยามฉุกเฉินดังกล่าว

ฟู่ว… มันถอนหายใจและกล่าวอย่างสุขุม

“ขอบคุณสำหรับข้อมูล แต่ผมต้องขอเวลารวบรวมเงินอีกสักพักใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของคุณสูงเกินไป ในชุมนุมลับโจรสลัด ผมเคยเห็นคนอื่นขายเพียงหนึ่งพันเก้าร้อยปอนด์ นั่นคือราคาสูงสุดในใจผมแล้ว”

“ไม่ได้! สองพันปอนด์! ไม่ลดแล้ว!”

ฟอร์สรีบเจรจา

เธอกังวลว่า หากตนหวังฟันกำไรมากเกินไป อีกฝ่ายอาจละทิ้งข้อเสนอ และเธอก็จะไม่ได้อะไรเลย

อัลเจอร์พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม

“ตกลง!”

เชี่ย…!

ฟอร์สสบถด้วยแววตาตกตะลึง

หลังจากนั่งฟังการแลกเปลี่ยนของสมาชิกคนอื่นสักพักเพื่อประเมินสถานการณ์ เอ็มลินตัดสินใจตั้งคำถามของตัวเอง

“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย มีใครทราบวิธีเพิ่มพลังให้กับผีดูดเลือด โดยไม่ต้องรอรับการประทานพลังจากผู้อาวุโสบ้าง”

เมื่อสิ้นคำถาม มันสัมผัสได้ทันทีว่าทุกสายตากำลังหันมาจ้องมอง

ผีดูดเลือด? หมายถึงแวมไพร์ในตำนาน?

ดวงตาออเดรย์พลันลุกวาว หญิงสาวรีบเก็บรายละเอียดรูปลักษณ์เดอะมูนหัวจรดเท้า

ในฐานะนักแต่งนิยาย ฟอร์สย่อมเคยจินตนาการถึงเรื่องราวโรแมนติกเกี่ยวกับผีดูดเลือดบ่อยครั้ง แววตาจึงเปล่งปลั่งไม่แพ้กัน

ผีดูดเลือด?

อัลเจอร์ทึ่งเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็คลายการขมวดคิ้ว

…หมายถึงแวมไพร์ในความมืด ตามตัวมีน้ำหนองไหลเยิ้มตลอดเวลา และเคลื่อนไหวได้ปราดเปรียวดุจดังสายลม?

เดอร์ริคกำลังจินตนาการภาพผีดูดเลือดตามตำนานเมืองเงินพิสุทธิ์

ผีดูดเลือด?

เดอะเวิร์ลตกใจช้ากว่าใครเล็กน้อย

……………………