หลิงฮันและฉือชิ่วเหรินต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้า รัศมีดาบและกระบี่ของพวกเขาที่แสดงออกมานั้นน่าทึ่งมาก ราวกับท้องฟ้าจะพังทลาย
ในทางตรงกันข้ามทำให้การต่อสู้ระหว่างย่าวหุยเย่วกับอสูรศิลานั้นจืดจางไปในทันที แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังด้อยกว่าหลิงฮันกับฉือชิ่วเหริน ถึงขั้นทุกคนไม่สามารถจับตามองการต่อสู้ของหลิงฮันกับฉือชิ่วเหรินได้ทัน
อย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้เห็นแสงที่กระทบกันของรัศมีดาบและกระบี่ที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า
ฉือชิ่วเหรินหยุดโจมตีกะทันหันและพูดว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลิงฮัน ถ้าเจ้าสนใจที่จะเป็นศิษย์นิกายของข้า จงยอมรับข้าในฐานะอาจารย์แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
หลิงฮันส่งเสียงหัวเราะและพูดว่า “ข้าใช้ดาบ แต่เจ้ากำลังจะให้ข้าเข้าร่วมกับนิกายกระบี่ไร้เทียมทาน นี่เจ้าคิดจะเปลี่ยนชื่อนิกายเพื่อสอนวิชาดาบให้กับข้าอย่างนั้นรึ?”
ฉือชิ่วเหรินพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “โลกของจอมยุทธอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน แล้วดาบกับกระบี่จะมีความแตกต่างกันอย่างไร?”
“ถ้างั้นต่อไปนี้เจ้าก็ใช้ดาบซะสิ” หลิงฮันหัวเราะ
ฉือชิ่วเหรินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าจะจัดการเจ้า!”
“เจ้าพูดแบบนั้นออกมาแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนคำพูดของเจ้าจะมีค่าไม่ได้มากไปกว่าตด” หลิงฮันกล่าว
ฉือชิ่วเหรินไม่แยแสคำพูดของหลิงฮัน แต่เตรียมพร้อมที่จะปะทะต่อ
ฮ่าฮ่าฮ่า ในขณะนั้นใครบางคนหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน
ถ้าฉือชิ่วเหรินใช้อาวุธวิญญาณระดับสิบ ่เขาคงไม่แปลกใจ ในฐานะผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของนิกายกระบี่ไร้เทียมทาน หรือประมุขนิกายคนถัดไป ถ้าเขาไม่มีอาวุธที่เทียบกับอาวุธวิญญาณระดับสิบมันจะแปลกประหลาดแค่ไหน?
แต่ตอนนี้กระบี่ที่เขาใช้ไม่ใช่อาวุธวิญญาณระดับสิบ แต่เป็นกระบี่ที่เขรอะไปด้วยสนิม
หลิงฮันจ้องมองไปที่กระบี่เล่มนั้นและพูดว่า “หรือว่ามันจะเป็นกระบี่โบราณ?”
“กระบี่โบราณ” ฉือชิ่วเหรินพยักหน้าและใช้นิ้วมือลูบกระบี่ “ข้าใช้กระบี่เล่มนี้ตั้งแต่ตอนที่ข้าอายุห้าปี แต่ตอนนั้นข้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากมันอย่างเต็มที่”
ยอมรับ?
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจและพูดว่า “จิตวิญญาณในอาวุธยังไม่ตายอย่างนั้นรึ?”
ฉือชิ่วเหรินส่ายหัวและพูดว่า “จิตวิญญาณอาวุธนั้นหายได้หายแล้ว แต่คนที่ใช้กระบี่เล่มนี้นั้นแข็งแกร่งมาก แม้เวลาจะผ่านไปนับไม่ถ้วน เจตจำนงของเขาก็ยังคงอยู่ในกระบี่ ถ้าข้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากกระบี่ เป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นน่าจะเป็นการเรียนรู้ซะมากกว่า”
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้รู้ กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่า…กระบี่ไร้เทียมทาน!” ฉือชิ่วเหรินกล่าว
กระบี่ไร้เทียมทาน!
นั่นคือชื่อของนิกายกระบี่ไร้เทียมทาน? ไม่ ไม่ ไม่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีพระราชวังอย่างพระราชวังกระบี่ไร้เทียมทานอยู่ อย่างไรก็ตาม มันก็มีชื่อกระบี่ไร้เทียมทานอยู่เหมือนกัน หรือว่ามันจะเป็นเพราะกระบี่เล่มนี้ด้วย?”
คนที่ใช้กระบี่เล่มนี้ได้จะต้องเป็นคนแบบไหน? ทายาทของนิกายกระบี่ไร้เทียมทานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์?
สีหน้าของหลิงฮันดูแปลกใจมากยิ่งขึ้น เป็นไปได้มากว่ามันอาจเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ – อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความเสียหาย
เขานำดาบกำเนิดมารออกมาและถือดาบไว้ในมือซ้ายพร้อมที่จะกระโจนออกไป
ตู้ม ฉือชิ่วเหรินจ้องมองไปที่หลิงฮัน สีหน้าของเขาดูดุดันมากยิ่งขึ้นและสนิมบนกระบี่เริ่มเปล่งประกาย ราวกับตัวตนระดับสูงกำลังจะออกมาจากกระบี่ ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจได้ยากลำบาก
หลิงฮันใช้พลังของดาบกำเนิดมาร แต่เรื่องที่เขาประหลาดใจคืออักขณะสีแถวบนดาบส่องแสงกว่าที่เคยเป็น
อาวุธวิญญาณระดับสิบ…เปิดใช้งานด้วยตัวเอง!
แน่นอนว่ากระบี่โบราณของอีกฝ่ายนั้นน่าสะพรึงกลัวมากเลยกระตุ้นดาบกำเนิดมาร เพราะอาวุธวิญญาณชิ้นนี้รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามครั้งใหญ่ ถ้ามันไม่สำแดงพลังออกมาเพื่อต่อต้าน มันจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน
อาวุธวิญญาณระดับสิบที่ตื่นขึ้นจะทรงพลังแค่ไหนกัน? มันเทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติ!
ซึ่งหมายความว่าฉือชิ่วเหรินที่จับกระบี่ไร้เทียนทานมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับจอมยุทธระดับทลายมิติ มันทำให้ผู้คนรู้สึกมึนงง กระบี่ของเขามันอะไรกันแน่ มันไม่ใช่อาวุธวิญญาณ แม้แต่อักขระบนตัวกระบี่ที่เปล่งประกายยังไม่มี มีเพียงแค่ร่องรอยของเจตจำนงดั้งเดิมของผู้ใช้
แล้วจะเป็นยังไงถ้าระดับพลังของฉือชิ่วเหรินสูงกว่านี้?
หลิงฮันสื่อสารกับหอคอยทมิฬว่า “หอคอยน้อย เจ้าคิดยังไงกับกระบี่เล่มนั้น?”
“มันทรงพลังพอที่จะสังหารเจ้า” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“เจ้าจะพูดอะไรที่มันน่าฟังกว่านี้ไม่ได้หรือไง?”
“ถ้าเป็นข้า ข้าสามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง” หอคอยน้อยพูดออกมาอีกครั้ง
หลิงฮันถึงกับพูดไม่ออก มันคิดจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง! เขาถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่เจ้าสามารถพูดอะไรที่่เป็นจริงหน่อยมิได้หรือ?”
หอคอยน้อยหยุดพูดชั่วครู่และพูดว่า “ถ้าเจ้าใช้พลังก่อเกิดควบคู่กับดาบกำเนิดมารอาจจะรับมือกับมันได้”
หลิงฮันรู้สึกไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก เขาทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว และสามารถใช้พลังของหอคอยทมิฬได้ แต่ใช้มันในสถานที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกไร้ค่า แต่ถ้าเขาต้องการหลบหนี มันจะน่าอึดอัดยิ่งกว่า
“ตกลง ถ้างั้นมอบพลังให้กับข้า!” หลิงฮันตัดสินใจแล้ว
ฉือชิ่วเหรินใช้กระบี่ไร้เทียนทานมันดูขี้โกงเกินไป มีเพียงแค่จอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้นที่สามารถต่อกรด้วยได้ แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ยังรับมือไม่ไหว
ตู้ม!
พลังปราณก่อเกิดที่เอ่อล้นออกมาทำให้กลิ่นอายของหลิงฮันน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณก้าวเข้าสู่ระดับก้าวสู่เทวา และหยุดอยู่ที่ระดับก้าวสู่เทวาขั้นสาม
หลิงฮันยังไม่ยอมแพ้ เขานำเม็ดยาเม็ดยาห้าหยกพลิกผันเม็ดสุดท้ายออกมากิน ทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นแปดดาว
เมื่อมาถึงจุดนี้ความแข็งแกร่งของเขาสามารถเทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติแล้ว
“เข้ามา!” หลิงฮันกำดาบกำเนิดมารแน่นและชี้ไปที่ฉือชิ่วเหริน
แน่นอนว่าฉือชิ่วเหรินไม่หวาดกลัวแต่อย่างใดและพุ่งออกไปพร้อมกับกระบี่ในมือ
ปัง!
ท่ามกลางการต่อสู้ ฉือชิ่วเหรินถูกผลักกระเด็นไปด้านหลัง แต่แก้มของหลิงฮันมีเลือดหยดไหลออกมา
ทุกคนรู้สึกตกใจและมึนงง
ก่อนหน้านี้ฉือชิ่วเหรินมีพลังเหนือกว่าหลิงฮันมาก แต่ตอนนี้มันกลับเป็นแบบนี้ได้ยังไง? แม้หลิงฮันจะถูกโจมตี แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายนัก
หลิงฮันจับไปที่ใบหน้าของตัวเอง มือของเขาเต็มไปด้วยเลือด และถึงแม้ว่าเขาจะโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ แต่เลือดก็ยังคงหยดไหลออกมาอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้
– กระบี่ไร้เทียนทานทรงพลังยิ่งนัก แม้แต่พลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ยังไม่สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้
ถ้าหลิงฮันเข้าไปในหอคอยทมิฬ ด้วยพลังของหอคอยทมิฬเขาคงลบผลกระทบของกระบี่ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม หลิงฮันไม่คิดที่จะทำแบบนั้น เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมานานมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากที่จะยกระดับความเข้าใจของเขา ด้วยแรงกดดันระหว่างความเป็นและความตาย
เขาส่งเสียงคำรามออกมาและกระโจนเข้าใส่ฉือชิ่วเหรินอีกครั้ง
ปัง! ปัง! ปัง!
อัจฉริยะทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด