คืนนี้ไร้แสงจันทร์ ทว่าจวนอิงชินอ๋องนอกจากเรือนแต่ละหลังแล้ว ทางเดินหลักๆ ล้วนแขวนโคมไฟเอาไว้ยามวิกาล ดังนั้นในจวนจึงไม่มืดเลยแม้แต่น้อย มีองครักษ์เฝ้ายามคอยรับช่วงลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยภายในจวน
ทิวทัศน์ทุกตาราง ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น อิฐหินทุกก้อนภายในจวน แม้แต่กระทั่งองครักษ์ล้วนเทียบเท่ากับวังหลวง แม้มิได้รุ่งโรจน์เท่าวังหลวง แต่ก็มิได้มีมาดด้อยกว่าเลย
จากทิวทัศน์ในจวนอิงชินอ๋องก็มองออกว่า จวนอิงชินอ๋องเป็นที่พึ่งพาอาศัยและได้รับความไว้วางใจจากอำนาจราชสำนักอย่างลึกซึ้ง
ต่อให้รุ่นนี้มีฉินเจิงผู้ซึ่งไม่ลงรอยกับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันมาตั้งแต่เด็ก เดิมทีหลายคนล้วนคิดว่าวันที่จักรพรรดิองค์ใหม่ราชาภิเษก และแต่งตั้งฮองเฮาในวันเดียวกันนั้น ทั้งสองจะร่วมทะเลาะแย่งภรรยากัน เกรงว่าเลือดจะอาบกำแพงวังหลวง คนไม่น้อยล้วนใจหายใจคว่ำต่ออนาคตแผ่นดินหนานฉินและจวนอิงชินอ๋อง ทว่าไม่คาดคิดเลยว่า จะสร้างความอกสั่นขวัญแขวนเฉยๆ หาได้มีอันตรายใดไม่
ยามนี้จักรพรรดิองค์ใหม่กับท่านอ๋องน้อยปรองดองกัน สถานการณ์ราชสำนักแม้ไม่มั่นคง แต่การบริหารราชสำนักกลับมั่นคงดั่งศิลายักษ์ภายใต้คลื่นลมปั่นป่วนนับครั้งไม่ถ้วน
หลายคนประเมินความอดทนของฮ่องเต้ต่ำไป และประเมินความเยือกเย็นของท่านอ๋องน้อยเจิงต่ำเกิน
เจิ้งเซี่ยวหยางเดินเอามือไพล่หลังอย่างสบายใจ ชมทิศทัศน์ยามวิกาลในจวนพลางคุยกับเด็กรับใช้พลาง พบเรือนแต่ละหลังล้วนเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
เด็กรับใช้ได้รับคำสั่งจากพระชายาจึงไม่ปิดบัง เจิ้งเซี่ยวหยางถามอันใดเขาก็ตอบอันนั้น บอกว่าเรือนแต่ละหลังเป็นของใครตามลำดับ
ครัวใหญ่แม้ห่างจากเรือนที่เจิ้งเซี่ยวหยางพักไม่ไกลนัก แต่ก็มิได้ใกล้เช่นกัน เดินไปราวหนึ่งถ้วยชา เด็กรับใช้ก็เอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ “ที่นี่ก็คือห้องครัวขอรับ”
เจิ้งเซี่ยวหยางพยักหน้า
เด็กรับใช้ปลุกผู้ดูแลครัวขึ้นมา เปิดประตูครัว พร้อมบอกวาคุณชายรองหิวแล้ว
ผู้ดูแลครัวเป็นสตรีรูปร่างอวบท้วมอายุราวสี่สิบ มองมาทางเจิ้งเซี่ยวหยางก็ยิ้มกล่าวทันที “คุณชายรองเจิ้งรูปงามนัก เมื่อครู่ท่านเดินเข้ามา บ่าวยังนึกว่าเป็นท่านอ๋องน้อยของเรามาเสียอีก เมื่อก่อนท่านอ๋องน้อยของเราก็มักมาหาของกินในครัวกลางดึกบ่อยๆ ตั้งแต่แต่งกับพระชายาน้อย ครัวเล็กในเรือนของท่านอ๋องน้อยก็เปิดเตาแล้ว ไม่มีที่นี่อีก”
“ปัญหาลุกขึ้นมาหาของกินกลางดึกของท่านอ๋องน้อยแก้ได้แล้วกระมัง ไม่เห็นได้ยินหลินชีพูดถึง” เด็กรับใช้กล่าว
ป้าอ้วนยิ้มเผล่ “คงแก้ได้แล้ว ข้ายังจำช่วงเวลาที่ท่านอ๋องน้อยมักมาหาของกินเป็นประจำได้” พูดจบ นางก็ถามเจิ้งเซี่ยวหยาง “คุณชายรองชอบกินอะไร ข้าจะได้ไปทำมาให้ท่าน”
เจิ้งเซี่ยวหยางก็มิได้พิถีพิถันมานักเช่นกัน นั่งลงบนม้านั่งกลางครัวอย่างตามอำเภอใจ แสยะปากตอบคำถามของป้าอ้วน “ข้าไม่เลือก ท่านทำอะไรง่ายๆ มาเติมท้องที่ว่างของข้าให้เต็มก็พอแล้ว”
“ไอ้หยา คุณชายรองท่านชวนให้ข้าอยากไปทำเสียประเดี๋ยวนี้” ป้าอ้วนหัวเราะ พับแขนเสื้อพลางพูดพลาง “ไม่เหมือนท่านอ๋องน้อยของเรา เรื่องมากที่หนึ่ง ทุกครั้งล้วนรบเร้าให้ข้าทำบะหมี่หยางชุน”
“หากท่านไม่กลัวลำบาก ก็ทำบะหมี่หยางชุนมาให้ข้าชามหนึ่งด้วยก็ได้” เจิ้งเซี่ยวหยางเลื่อนม้านั่งเข้าไปใกล้ท้องเตา “ข้าก่อไฟให้ท่าน”
ป้าอ้วนยิ้มออกมาอีกครั้ง “ท่านอ๋องน้อยก็ช่วยข้าก่อไฟเช่นกัน ท่านสองคนมีส่วนที่คล้ายกันนัก มิน่าผู้คนด้านนอกล้วนพูดกันว่าคุณชายรองเจิ้งจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่เพิ่งเข้าเมืองมามีส่วนคล้ายกับท่านอ๋องน้อย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “พระชายาสั่งไว้แล้ว ท่านเป็นแขกคนสำคัญ บะหมี่หยางชุนทำไม่ยาก ข้าจะทำให้ท่าน ข้าล้วนทำจนชินมือแล้ว”
เจิ้งเซี่ยวหยางร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง เลิกคิ้วทันใด “ข้าเพิ่งเข้ามาในเมือง ด้านนอกก็ลือกันแบบนี้แล้ว”
“ในเมืองหลวงแห่งนี้ อันใดก็ไม่รวดเร็วเท่าคำพูดปากต่อปาก” ป้าอ้วนตักแป้งหมี่ขึ้นมาช้อนหนึ่ง ก่อนเริ่มลงมือนวดแป้ง
เจิ้งเซี่ยวหยางกระแอมขึ้น พึมพำว่า “ข้าไม่อยากดัง น่ารำคาญจะตาย”
เขาเพิ่งพูดจบ ป้าอ้วนกับเด็กรับใช้ยังไม่ทันตอบ ด้านนอกก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา มองเขาแล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าเพิ่งเข้ามาในเมืองก็ชนรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว ทำร้ายใบหน้าคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเสียโฉมไม่พอ ต่อพระพักตร์ฝ่าบาทยังก่อเรื่องสู่ขอด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย สร้างคลื่นลมลูกหนึ่งในเมืองโดยใช้เวลาแค่หนึ่งวัน เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าไม่อยากดังอีก หากไม่อยากดัง ก็ควรเก็บหางเข้ามาในเมือง”
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยที่ไม่รู้ว่าจะคุ้นเคยอย่างไรอีก ป้าอ้วนก็หันกลับมามอง แย้มยิ้มกล่าว “ท่านอ๋องน้อย บ่าวกำลังพูดถึงท่านอยู่พอดี บอกว่าตั้งแต่ท่านแต่งพระชายาน้อยเข้ามาก็ไม่มาหาของกินที่ครัวใหญ่อีกเลย ไม่นึกเลยว่าพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เป็นท่านมาจริงๆ”
“หิวแล้ว นอนไม่หลับ หลินชีทำอาหารเก่งก็จริง แต่ทำบะหมี่หยางชุนไม่ได้” ฉินเจิงตอบ
“ข้าจะเพิ่มแป้งหมี่อีกช้อน ทำบะหมี่ชามใหญ่ให้ท่านกับคุณชายรองเจิ้ง” ป้าอ้วนมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมา ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งร่างก็กระตือรือร้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวด้วยท่าทางยิ้มแย้ม
“รบกวนป้าอ้วนแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า กอดอกพิงขอบประตู พลางมองเจิ้งเซี่ยวหยาง “ข้าก็คิดว่าคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นใคร ที่แท้ก็คือเจ้า”
เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา “เคยพบกันแค่ครั้งเดียว ไม่อยากเชื่อว่าท่านอ๋องน้อยยังจำข้าได้”
“ย่อมต้องจำได้ ในสุสานไร้ญาติปีนั้น เจ้าอุ้มกองกระดูกล่อฝูงสุนัขออกไป” ฉินเจิงมองเขา “แม้ไม่ได้ช่วยชีวิตข้าแต่ก็ช่วยเหลือข้าได้มาก”
เจิ้งเซี่ยวหยางหัวเราะยกใหญ่ “ตอนนั้นใครจะไปคิดเล่าว่า ท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องจะมานอนอยู่ในสุสานไร้ญาติ ถูกฝูงสุนัขรุมล้อมจบเกือบกลายเป็นอาหารของมัน” พูดจบ เขาก็กล่าวต่อโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ตอนนั้นข้าไม่ได้อยากช่วยชีวิตเจ้า แค่คิดว่าสุนัขฝูงนี้ยอดเยี่ยมไม่เบา อยากนำกลับไปฝึกฝน หากฝึกให้ดี ต้องร้ายกาจยิ่งกว่าหมาในหรือจิ้งจอกเป็นแน่ หากตอนนั้นข้ารู้ว่าเจ้าคือฉินเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนใจสุนัขฝูงนั้นแล้ว เก็บเจ้ากลับไปแทนดีกว่า เจ้ามีมูลค่ากว่าสุนัขฝูงนั้นเป็นไหนๆ”
ฉินเจิงได้ยินเขาพูดเช่นนี้โดยการนำตนไปเทียบกับสุนัข ก็มิได้โกรธเดือดดาลแต่อย่างใด หากแต่เดินเข้ามา ยกเก้าอี้มาตัวหนึ่งตามอำเภอใจ นั่งลงข้างท้องเตากับเขา ก่อนกล่าวขึ้น “ต่อมาเจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย วันต่อมาได้ยินว่าเกิดเรื่องน่าสนใจในเมืองหลวง ฟังว่าคุณชายรองแห่งจวนอิงชินอ๋องเกือบตายในสุสานไร้ญาติแล้ว ไทเฮากับพระชายาอิงชินอ๋องเดือดจัด สั่งขุดสุสานไร้ญาติในรัศมีสามร้อยลี้รอบเมืองหลวงจนหมด” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าว “ตอนนั้นข้าเสียดายจะแย่ ลำไส้ดำ***[1]ไปครึ่งท่อน”
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ ถามว่า “สุนัขพวกนั้นเล่า”
“ตุ๋นเนื้อกินหมดแล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบ
ฉินเจิงเลิกคิ้วมองเขา
เจิ้งเซี่ยวหยางเห็นว่าป้าอ้วนนวดแป้งเสร็จแล้ว เขาจึงสอดฟืนเข้าไปในท้องเตาแล้วหยิบหินเหล็กไฟมาจุดฟืน ประกายไฟส่องกระทบใบหน้าเขาทันที สะท้อนให้เห็นความโมโหบนใบหน้าเขา “สุนัขเหลือขอพวกนั้นไหนเลยจะมีค่ากว่าคุณชายทายาทแห่งจวนอิงชินอ๋อง เพื่อจำบทเรียนครั้งนี้ ข้าไม่กินพวกมันแล้วจะกินใคร”
ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่ง ราวกับแย้งไม่ออก “กินไปก็ดี”
เจิ้งเซี่ยวหยางได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็ลำพองใจจนยักคิ้วหลิ่วตา
ฉินเจิงหยิบฟืนขึ้นมาท่อนหนึ่งสอดเข้าไปในท้องเตา ฟืนส่งเสียงแตกร้าวขึ้นมาทันที เขากล่าวเสียงเรียบ “ข้าอยากรู้นัก ตอนนั้นเจ้าผ่านไปยังสุสานไร้ญาติได้อย่างไร ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเกรงว่าคงอยู่ห่างจากสุสานไร้ญาติหลายร้อยลี้กระมัง”
เจิ้งเซี่ยวหยางแค่นเสียงในลำคอ “ไม่ปิดบังเจ้าเช่นกัน ท่านปู่สุดประเสริฐเห็นว่าข้าเป็นไม้อ่อนดัดง่าย จึงส่งข้าไปฝึกฝนในขบวนสายลับราชสำนัก ระหว่างทางข้าสลัดคนที่มาส่งข้าได้ บังเอิญผ่านสุสานไร้ญาติเข้า”
“เจิ้งอี้” ฉินเจิงถาม
“นอกจากเขายังมีใครอีก” เจิ้งเซี่ยวหยางถือไม้ก่อไฟ เขี่ยฟืนในท้องเตาให้เข้าที่ครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นต้องขอบคุณปู่เจ้าแล้ว หากไม่ใช่เขาเจ้าจึงล่อสุนัขออกไป ข้าคงถูกกินไปแล้ว” ฉินเจิงบอก
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณ ข้าช่วยขอบคุณแทนเจ้าแล้ว หลังจากข้ากลับไปถึงโดยนำสุนัขฝูงนั้นไปด้วย ก็บุกเข้าไปในกระท่อมผู้นำตระกูลของเขา สุนัขฝูงนั้นเห็นอาหารก็จู่โจมเข้าหาอย่างดุร้าย กัดจุดยุทธศาสตร์ของเขา” เจิ้งเซี่ยวหยางเล่าให้ฟัง
“เจิ้งอี้ที่เข้ามาเมืองวันนี้ ผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง” ฉินเจิงหรี่ตาลง
“เจ้าคิดว่าข้าพูดถึงใคร” เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา
“เจ้าช่างกล้านัก” ฉินเจิงตวัดตาเหลือบมอง
“ข้าต้องกล้าอยู่แล้ว ระหว่างทางกลับไปตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ทั้งวันล้วนเล่นและฝึกฝนสุนัขฝูงนั้น สิ่งที่ต้องการคือผลลัพธ์นั้น” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าวอย่างลำพองใจ
“เจ้าทำร้ายเจิ้งอี้เช่นนี้ เขายังยอมแต่โดยดีได้อย่างไร” ฉินเจิงมองเขา
“เขากล้าไม่ยอมหรือไม่ ข้าตะโกนเสียงหนึ่ง สุนัขในสิงหยางล้วนวิ่งตรงมาหาข้า ใครทำร้ายข้า สุนัขก็จะกัดมันผู้นั้น ไม่ว่าสุนัขเล็กหรือใหญ่ หมาบ้าหรือหมาดุ สุนัขทั้งหมดล้วนเชื่อฟังข้า ถึงเขามีคนคุ้มกันก็ไม่มีประโยชน์” เจิ้งเซี่ยวหยางยิ่งลำพองใจ
ฉินเจิงหลุดยิ้ม “มิยักรู้ว่าเจ้าเคยทำเรื่องแบบนี้ในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เพิ่งได้ยินครั้งแรก ให้ความรู้สึกแปลกใหม่นัก”
เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา “ข้าอยู่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ทำเรื่องแปลกใหม่เยอะแยะ ไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่เจ้าทำในเมืองหลวง เรื่องแค่นี้นับประสาอะไร เพียงแต่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีพื้นที่เล็ก ปิดบังข่าวคราวมิให้แพร่ออกมาได้ง่ายมาก” พูดจบ เขาก็เติมฟืนในท้องเตาเพิ่มอีกท่อน “ตอนนั้นข้ายังภูมิใจนัก โอ้อวดว่าสุนัขฝูงนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ต่อมาพบว่าช่างหัวสุนัขมันสิ ต่อให้มีสุนัขกี่ร้อยตัวรวมกัน ก็ไม่มีค่าเท่าเจ้า”
ฉินเจิงก็สอดฟืนเข้าไปในท้องเตาเพิ่ม มองป้าอ้วนที่เปลี่ยนตัวเองเป็นคนหูหนวกอย่างรู้งาน ก้มหน้าก้มตาต้มบะหมี่ในหม้อต่อไป เด็กรับใช้ก็หลบออกไปตั้งนานแล้ว เขากล่าวเสียงเรียบ “เจ้ามอบบทเรียนให้เจิ้งอี้ และมอบบทเรียนให้ตัวเองด้วย ข้าอยากรู้นัก เจ้าได้อะไรจากบทเรียนครั้งนี้ หลายปีที่ผ่านมา ด้วยความสามารถของเจ้า แม้ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในเมืองหลวง แต่วันนี้เจ้ากลับเข้ามาในเมืองแล้ว ใช่อยากลุยน้ำขุ่นในเมือง หรืออยากลุยน้ำขุ่นในใต้หล้ากันแน่”
เจิ้งเซี่ยวหยางกะพริบตาทันที “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า เจ้าว่าข้าลุยน้ำขุ่นอันไหน”
ฉินเจิงจ้องเขา “แม้เจ้าเกิดมาในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง แต่ตระกูลเจิ้งมิได้อยู่ในสายตาของเจ้า เมืองหลวงแม้เจริญรุ่งเรือง แต่ก็เป็นแค่เสื้อตัวนอกที่หุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง เจ้าไม่ได้สนใจอะไร มิฉะนั้นหลายปีที่ผ่านมา คงไม่เพิ่งเข้ามาเหยียบเมืองหลวงวันนี้” พูดจบ เขาก็เลิกคิ้ว “เจ้าใช่อยากลุยน้ำขุ่นในใต้หล้าหรือไม่”
เจิ้งเซี่ยวหยางตบไหล่ฉินเจิงทันที กล่าวอย่างปรองดอง “พี่ชาย เจ้าคิดว่าอย่างข้าจะลุยได้หรือ”
“จากที่ถูกคนคุ้มกันของฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาจับตัวเจ้าแล้ว ลุยมิได้” ฉินเจิงปัดมือเขาออก
เจิ้งเซี่ยวหยางได้ยินเช่นนั้นก็เหล่มองหลังคา “สตรีโง่เง่าคนหนึ่ง เจ้าอย่าได้ยกนางมาดูถูกข้าได้หรือไม่ ข้ากำลังจริงจังกับเจ้าอยู่”
ฉินเจิงหยิบฟืนท่อนใหญ่สอดเข้าไปในท้องเตาอย่างตามใจชอบ เปลวไฟลุกพรึ่บขึ้นมา ในท้องเตาเกิดเสียงหึ่งๆ “ในเมื่อเจ้าคิดว่าลุยได้ เช่นนั้นก็พูดมา เจ้านำสิ่งใดมาเป็นต้นทุน”
“ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบ
“บิดาเจ้า พี่ชาย หรือญาติสนิทไม่ดีกับเจ้ารึ” ฉินเจิงผินหน้ามอง
“แทบจะบูชาข้าเป็นบรรพบุรุษด้วยซ้ำ ไม่ดีตรงไหนกัน” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว ถ้าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางถูกทำลายลงในวันหนึ่ง จะมีประโยชน์อันใดกับเจ้า” ฉินเจิงมองเขา
เจิ้งเซี่ยวหยางเหยียดมุมปาก “แค่เล่นสนุกนั่นล่ะ ข้าชอบ” พูดจบ เขาก็หยิบฟืนท่อนใหญ่ขึ้นมา สอดเข้าไปในร่องที่ฉินเจิงใส่เข้าไปไม่หมด เปลวไฟลุกโชนขึ้นอีกเท่าตัว เสียงหึ่งประหนึ่งฟ้าร้อง เขากระตุกมุมปากกล่าวด้วยความจริงจัง “ข้าอยากให้ตระกูลยืนหยัดอยู่ใต้แสงตะวัน เหมือนจวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหว มีความมั่นคงในแผ่นดิน มีความจงรักภักดี กตัญญู และมีคุณธรรม มิใช่ซ่อนอยู่ในเงามืด กระทำเรื่องโสมมโดยทิ้งแผ่นดินเกิดไว้ข้างหลัง มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ถูกบริภาษในอีกพันปีให้หลัง” พูดจบ เขาก็กล่าวตามอำเภอใจ “ไม่ทำลายก็หยัดยืนใหม่ไม่ได้”
[1] ***ลำไส้ดำ หมายถึง เสียใจภายหลัง ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว