กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 871

กู้ชูหน่วนกวาดตามองหญิงสาวทั้งสิบแปดคน

พวกนางทุกคนรูปร่างผอมเพรียว สวมชุดสีขาวและปกคลุมใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีขาว ในมือถือตะกร้าดอกไม้อยู่ ซึ่งในตะกร้าดอกไม้เต็มไปด้วยกลีบดอกที่มีสีสันอยู่หลากหลายชนิด ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกนางได้ ทว่าหากมองจากรูปร่างอันผอมเพรียวและงดงามของพวกนางแล้ว คาดว่าคงเป็นบุคคลที่น่าทึ่งทุกคนแน่นอน

ตำแหน่งที่พวกนางยืนอยู่นั้นดูเรียบง่ายไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วมันคือประตูแฝงค่ายกลแปดทิศ!

กู้ชูหน่วนกล่าว “อาวุธของพวกเจ้าคือกลีบดอกพวกนี้หรือ?”

“ใช่” หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นตอบกลับอย่างอ่อนโยนราวกับเสียงนกกระจิบเหลืองออกจากภูเขา ทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มไปอย่างไม่รู้ตัว

“พวกเจ้าทุกคนต่างมีอาวุธกันเสียหมด แต่ข้ากลับไม่มีเลยสักชิ้น และข้ายังต้องสู้แบบหนึ่งต่อสิบแปด เช่นนี้จะไม่ยุติธรรมไปหน่อยหรือ?”

ไป๋หลี่ป้าส่งสายตาให้กับไป๋หลี่เฉิง

ไป๋หลี่เฉิงเข้าใจในทันทีและกล่าวเสียงดังว่า “เจ้าอยากได้อาวุธอะไร? เพียงแค่เจ้าพูดออกมาได้พวกเราจะมอบให้เขาเจ้าโดยตรง”

“พูดง่าย เช่นนั้นก็เอาหอกยาวเล่มนั้นแล้วกัน”

“ได้”

กำลังภายในของไป๋หลี่เฉิงเพ่งเล็งไปยังหอกยาวที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็ลอยสู่กู้ชูหน่วนทันที

กู้ชูหน่วนรับไว้และบ่นพึมพำว่า “หอกเล่มนี้ไม่เลวเลยมอบให้ข้าเลยได้หรือไม่?”

“รอให้เจ้ามีชีวิตให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน เริ่มได้” ไป๋หลี่เฉิงกล่าวด้วยความใจร้อน

ผู้คนในสนามแทบทุกคนต่างมองกู้ชูหน่วนเป็นคนตายคนหนึ่ง

ร่างของหญิงสาวทั้งสิบแปดคนแปรเปลี่ยนมาล้อมรอบกู้ชูหน่วนและหมุนวนอย่างต่อเนื่อง

ชุดของพวกนางทุกคนเหมือนกัน รูปร่างเหมือนกันทั้งการเคลื่อนไหวก็เหมือนกัน ทำให้ผู้คนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครในชั่วขณะหนึ่ง

ในขณะที่ร่างกายของพวกนางกำลังหมุนเวียนไปมารวดเร็วขึ้นอีกนั้นก็มีความรู้สึกเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง

จิตสังหารของทั้งสิบแปดคนกำลังพุ่งไปยังกู้ชูหน่วนราวกับสายฟ้า

ฟิ้ว…

ผู้คนในสนามต่างชะงักไปตามๆ กัน

เป็นจิตสังหารที่รุนแรงมาก

นางถูกล้อมไว้ตรงกลางและจิตสังหารก็อยู่ทั่วทุกมุม เช่นนั้นนางจะหลบหนีได้อย่างไรกัน?

แต่กลับพบว่าหอกยาวของกู้ชูหน่วนกลับกระแทกกับพื้นและเปล่งเสียงออกมาดังปัง ตามด้วยใบมีดหอกที่กวาดออกไปอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นประกายไฟออกมากวาดล้างจิตสังหารออกไปจนหมด และตนก็ใช้หอกยาวเพื่อบินขึ้นสู่อากาศ

หากไม่ใช่ว่านางรวดเร็วว่องไว มิเช่นนั้นคงได้ตายด้วยจิตสังหารนั่นไปนานแล้ว

ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศราวกับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น หลังจากปล่อยกระบวนท่าแรกออกไปรูปแบบค่ายกลก็เปลี่ยนในทันที ฝนดอกไม้โปรยปรายอยู่ท่ามกลางอากาศก่อตัวเป็นภาพวาดอันสวยงามของกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยราวกับเทพดากำลังเต้นรำอยู่

ผู้คนรอบๆ ต่างถูกฝนดอกไม้สีสันนั่นดึงดูดอย่างอดไม่ได้ ทั้งยังสูดดมกลิ่นหอมของฝนดอกไม้ไม่หยุดหย่อน

ผู้นำตระกูลมู่กระวนกระวายใจ

ฝนดอกไม้นี้มีกลิ่นหอมชวนพิศวาสแฝงอยู่

กลีบดอกไม้มากมายเพียงนี้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในค่ายกลไม่อาจหลบหนีไป

ขณะที่ผู้คนรอบๆ กำลังตกอยู่ในภวังค์ ฝนดอกไม้ก็แปรเปลี่ยนเป็นใบมีดในบัดดลและพุ่งไปยังกู้ชูหน่วนอย่างพร้อมเพรียงกัน

กู้ชูหน่วนตวัดหอกยาวของตน ทำให้ลมพัดโหมกระหน่ำขึ้นและป้องกันฝนดอกไม้เหล่านั้นซึ่งๆ หน้า

ทว่าฝนดอกไม้มีมากนัก เพียงแค่นางคนเดียวจะรับมือไหวได้อย่างไร

กู้ชูหน่วนตวัดหอกยาวอีกครั้ง ไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไรหอกยาวเล่มหนึ่งกลายเป็นแปดเล่มได้ในบัดดล หอกยาวทั้งแปดปิดกั้นฝนดอกไม้บนตำแหน่งยันต์แปดทิศ

ท่านผู้เฒ่าหนิงดวงตาฉายแวววับ

“เจ้าเด็กนี่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลด้วยงั้นรึ?”

“ท่านปู่ แม้ว่านางจะมีความรู้เกี่ยวกับค่ายกล แต่หอกแปดเล่มนี้ก็มิอาจต้านทานฝนดอกไม้นับหมื่นได้หรอกขอรับ อีกอย่างนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”

ท่านผู้เฒ่าหนิงไม่ได้พูดอะไรต่อไป เพียงแค่มองดูการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ บนสนามรบเท่านั้น และอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงแทนกู้ชูหน่วน

หากค่ายกลแปดทิศของนางอ่อนกำลังลง สิ่งที่รอคอยนางอยู่ก็คือความตายสถานเดียว

ผู้อาวุโสหลิวที่อยู่ข้างผู้นำตระกูลเหวินกล่าวว่า “เจ้ามู่หน่วนคนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ คิดว่าตนเข้าใจในค่ายกลเล็กน้อยก็จะสามารถทำลายค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศเลยอย่างนั้นหรือ ไร้สาระสิ้นดี”

เหวินเส่าอี๋ถือถ้วยชาและจิบไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศทำอะไรนางไม่ได้หรอก”

ทว่าเสียงของเขาไม่ได้ดังนัก

เพียงเพราะว่าเขานั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ผู้คนที่นั่งหรือยืนอยู่ข้างเขาไม่มีผู้ใดที่ไม่ใช่ยอดฝีมือเลย

จึงได้ยินในสิ่งที่เขาพูดไปจนหมด

ทว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศนี้จะทำอะไรนางไม่ได้

แม้แต่ผู้อาวุโสหลิวเองก็ไม่เชื่อ จึงกล่าวเตือนเสียงเบา “ผู้นำตระกูล ยันต์แปดทิศของมู่หน่วนยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนแอลงแล้วขอรับ”

“เจ้าลองดูดีๆ ว่าตำแหน่งที่นางยืนอยู่คือตำแหน่งใด?”

ได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสหลิวก็มองไปยังสนามรบจริง ทว่าดูอย่างไรก็ดูไม่ออก

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์จำนวนมากรวมถึงผู้นำหลายคนก็ดูไม่ออกเช่นกัน

มีเพียงผู้นำตระกูลไป๋หลี่ และผู้นำตระกูลซั่งกวนที่ตะลึงจนตัวลุกพรวด

หนิงเทียนโย่วกล่าว “ท่านปู่ ผู้นำตระกูลเหวินทำอะไรอยู่งั้นหรือ?”

“ตำแหน่งที่แม่หนูหน่วนยืนอยู่คือตำแหน่งเฉียน”

“ตำแหน่งเฉียนทำไมงั้นหรือ?”

“หากยืนในตำแหน่งเฉียนถึงแม้จะบาดเจ็บหนักก็ไม่ถึงขั้นตายได้”

“ปู่หมายความว่านางจะแพ้ในครั้งแรก แต่ไม่ถึงขั้นตายใช่หรือไม่ขอรับ? แต่หากนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นการต่อสู้อีกสองครั้งก็ยิ่งไม่มีโอกาสชนะน่ะสิ”

ผู้เฒ่าหนิงมองดูเหวินเส่าอี๋ที่ยังหนุ่มยังแน่นแล้วสลับมองมาที่หลานชายของตน ช่างปวดใจเหลือเกิน

“รุ่นราวคราวเดียวกันทั้งนั้น เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเพียงนี้กัน?”

“ข้าโง่เขลาอย่างไรอีกกันเล่า?”

“เจ้าไม่เห็นว่าแม่หนูหน่วนยืนอยู่ตำแหน่งเฉียนไม่ขยับก็เพราะจะปกป้องชีวิตตัวเองจากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังต้องการเล็งคนคนหนึ่งเพื่อโจมตีกลับงั้นหรือ?”

หนิงเทียนโย่วอยากถามว่าหญิงสาวทั้งสิบแปดคนนี้ว่องไวเพียงนี้ ทั้งยังมีรูปร่างเหมือนกันอีก นางจะเล็งคนคนหนึ่งเพื่อโจมตีกลับได้อย่างไรกัน?

แม้นว่านางอยากจะโจมตีกลับก็ทำไม่ได้เสียหน่อย

ไม่เพียงหนิงเทียนโย่วที่สงสัยเท่านั้น แต่ผู้คนในสนามรบต่างก็สงสัยเช่นเดียวกัน

เมื่อฝนดอกไม้แปรเปลี่ยนเป็นรูปดาบ รูปมีด รูปจี๋ รูปคนหรือเปลี่ยนลักษณะค่ายกลไปมา รวมทั้งค่ายกลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้คนดูมึนหัวตามัว

รูปร่างของฝนดอกไม้เหล่านี้ไม่ว่าเม็ดไหนก็เต็มไปด้วยแรงสังหาร ทั้งยังให้เข้าขากันได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนรอบๆ เห็นเป็นต้องตะลึงงัน

หากพวกเขาถูกส่งเข้าไปยังค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศแล้วนั้นต้องไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดออกมาได้เป็นแน่ แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ!

ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศของตระกูลไป๋หลี่แข็งแกร่งดั่งที่เล่าขานกันมาจริงๆ

เพียงแต่ว่า…

เหตุใดหญิงสาวคนนั้นถึงได้รอดจนถึงบัดนี้ได้กันล่ะ?

มู่ซินเห็นว่ากู้ชูหน่วนยิ่งอยู่ยิ่งอันตรายแล้ว มีหลายจุดบนร่างกายที่ถูกฝนดอกไม้โจมตีจนเป็นรู จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวลว่า “ข้าจะไปช่วยนาง”

ผู้นำตระกูลมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หากเจ้าเข้าไปเกรงว่ายังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปยังค่ายกลเลย เจ้าก็ถูกฝนดอกไม้โจมตีจนไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว”

“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”

“ตามเวรตามกรรม”

“ท่านพ่อ…”

ฝั่งตระกูลเหวิน

เหวินเส่าอี๋วางถ้วยชาลงเบาๆ และมองดูสนามรบที่ยังคงต่อสู้กันอย่างสบายใจ มุมปากเผยรอยยิ้มเบาๆ ออกมาและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “จบแล้ว”

ผู้คนรอบๆ ยังไม่ทันตั้งสติได้ หญิงสาวทั้งสิบแปดคนต่างก็กระเด็นออกไปเป็นแถวและกระอักเป็นดอกไม้ทุกคน หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสจนคลานก็คลานไม่ขึ้น

เมื่อมองดูกู้ชูหน่วนอีกครั้ง ถึงแม้นางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน ทว่านางยืนตัวตั้งตรงและยิงทีละคนๆ ได้อย่างแม่นยำ จากนั้นสายลมก็พัดผ่าน พัดผ่านชายเสื้อของนางราวกับเทพแห่งสงครามกำลังจุติบนโลก ช่างทรงพลังและคงกระพันเหลือเกิน

ผู้คนรอบๆ ตกตะลึงจนลุกพรวดขึ้นมา

โดนเฉพาะคนของตระกูลไป๋หลี่

เกิดอะไรขึ้น?

เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?

เหตุใดค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศถึงถูกทำลายได้?

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่พวกเขารู้ดี

ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศนั้นนอกเสียจากค่ายคลของคนนั้นจะเก่งกาจมากและเข้ากันได้เป็นอย่างดีแล้ว ที่สำคัญคือผงดอกไม้เหล่านั้น เพราะทุกๆ ผงดอกไม้ล้วนมียาพิษที่แตกต่างกันไป อาจจะทำให้คนตายได้หรืออาจจะสะกดจิตคนได้

แต่นาง…

กลับไม่เป็นอะไรเลย

นี่มัน…นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว?

“ค่ายกลบุปผาสิบแปดทิศถูกทำลายแล้ว ศึกครั้งแรกข้าชนะแล้วสินะ” กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างดีใจ

ดวงตาของหนิงเทียนโย่ว หยางโม่และคนอื่นๆ เป็นประกายและตะลึงยิ่งกว่าใครๆ “นางชนะแล้ว นางชนะแล้วจริงๆ”

คนตระกูลมู่ก็ตกตะลึงกันไปด้วย

คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะชนะได้

ส่วนคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “หญิงสาวคนนี้ไปได้โชคมาจากไหนกัน คงไม่ใช่เพราะตระกูลไป๋หลี่อ่อนข้อให้หรอกกระมัง?”

“เจ้าขี้โกง” ไป๋หลี่เฉิงรีบกล่าว