บทที่ 406 เข้าใจผิด

บัลลังก์พญาหงส์

เมื่อฮ่องเต้ได้ยินว่าไทเฮาเริ่มอยากอาหารแล้ว เขาพลันรู้สึกยินดี พูดรัวว่า “ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้! บอกห้องเครื่องให้ทำอาหารโปรดของไทเฮามาสองสามอย่าง!”

ไทเฮาล้มป่วยนอนติดเตียงกว่าครึ่งเดือนแล้ว ฉับพลันวันนี้ก็มีท่าทีแจ่มใสกว่าเดิมเล็กน้อย ฮ่องเต้จะไม่ดีใจได้อย่างไร?

พอฮ่องเต้เสด็จไปถึงวังของไทเฮาด้วยความดีใจแล้ว กลับไม่เห็นว่าท่าทีของไทเฮาดีขึ้นจากเดิมมากนัก ฉับพลันนั้นเองความยินดีก็เปลี่ยนเป็นกังวล “ไทเฮารู้สึกอย่างไรบ้าง? ทุกวันนี้ยังเสวยโอสถตามเวลาอยู่หรือไม่?”

ไทเฮายิ้มเล็กน้อย ท่าทีซูบเซียว “กินยาไปก็ยังเหมือนเดิม นี่คงเพราะแก่ไร้ประโยชน์แล้ว ต่อให้เคี้ยวหลินจือหรือโสมเข้าไปก็ไม่เห็นผลอะไร จะไปโทษหมอหลวงก็ไม่ได้” เนื่องด้วยอาการไทเฮาไม่ดีขึ้น ฮ่องเต้จึงลงโทษหมอหลวงไปแล้วสองคน ยามนี้นางรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถโทษหมอหลวงได้

ฮ่องเต้กลับไม่ชอบใจคำพูดนี้ของไทเฮา หน้าดำคล้ำไม่ยอมรับ “ไทเฮาแก่ตรงไหนกัน? ไทเฮายามนี้นี้อยู่ในวัยกลางคน จากที่ข้าดูแล้วเห็นได้ชัดว่าบรรดาหมอหลวงเหล่านั้นไม่ยอมงัดฝีมือที่แท้จริงออกมาใช้!”

“เจ้าดูซี ไรผมของเจ้าก็เป็นสีขาวแล้ว ไฉนเลยข้าจะไม่แก่อีก?” ไทเฮายิ้ม เอื้อมมือให้ฮ่องเต้ประคองตนเองเอาไว้ “วันนี้รู้สึกดีขึ้น เจ้าประคองข้าเดินรอบห้องสักสองรอบซี”

ฮ่องเต้รีบประคองไทเฮาคนละข้างกับขันทีเป่าฉวน ท่าทีของฮ่องเต้ดูเศร้าหมองเล็กน้อย

หลังจากเดินอยู่ครู่หนึ่งไทเฮาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย ฮ่องเต้สังเกตเห็นก็ไม่อยากให้ไทเฮาต้องเหนื่อยอีก รีบประคองไทเฮานั่งลง แล้วให้คนรีบจัดโต๊ะอาหาร ไทเฮาและฮ่องเต้นั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะนั้นมีอาหารเจ็ดแปดอย่างว่างเต็มโต๊ะ เมื่อมองดูแล้วก็มีอาหารกว่าเจ็ดอย่างที่ฮ่องเต้โปรดเสวย

ฮ่องเต้สังเกตเห็นก็เจ็บปวดใจ ด้วยถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่เด็ก เขาถูกอบรมสั่งสอนว่าไม่ให้ลำเอียง แม้แต่อาหารเองก็เป็นไปตามหลักการเดียวกัน ด้วยป้องกันไม่ให้มีคนวางยา ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะว่าใส่ใจเขาตลอดเวลาก็จะไม่มีทางรู้ความชอบของเขาได้ มีเพียงทุกครั้งที่อยู่ทานอาหารกับไทเฮาเท่านั้นถึงเห็นอาหารที่เขาชอบทานอยู่เสมอ

อีกทั้งเห็นสภาพไทเฮาเช่นนี้ เขาก็พลอยคิดไปถึงภาพเหตุการณ์สมัยเด็ก ยิ่งชวนให้ไม่สบายใจ

เขาคีบเป็ดสมุนไพรที่ถูกตุ๋นจนเละขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วเอาไปวางไว้ที่ถ้วยของไทเฮา เสียงของฮ่องเต้ดูผิดปกติเล็กน้อย “ไทเฮาลองชิมดู ข้าคิดว่าอันนี้รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว”

จางหมัวหมัวกลับเตือนเสียงเบา “ตอนนี้กระเพาะไทเฮาไม่ค่อยดีเพคะ เสวยเนื้อสัตว์เยอะไม่ได้ ชิมแค่คำเดียวก็ต้องหยุดเสวยแล้วเพคะ”

“ข้าให้จิ้งเฟยไปจัดการเรื่องพิธีแล้ว คิดว่าไทเฮาจะต้องหายดีในเร็ววันเป็นแน่” แต่เดิมนั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กลับคิดว่าเป็นวิธีใดก็ได้ ขอเพียงแค่ไทเฮาอาการดีขึ้น เขาก็ยินยอมทั้งหมด

แม่ลูกสองคนค่อยๆ ทานอาหารกลางวันจนเสร็จ จางหมัวหมัวประคองไทเฮาให้เอนตัวที่เตียงอ่อน พลางยิ้มและพูดว่า “วันนี้ไทเฮาเสวยพระกายาหารมากกว่าเมื่อวาน เห็นได้ว่าของว่างของชายารองตวนอ๋องได้ผลนะเพคะ!”

ไทเฮายิ้มแต่ไม่พูด กลับเป็นฮ่องเต้ที่ถามออกมาด้วยความแปลกใจ “ของว่างอะไรกัน?”

จางหมัวหมัวเล่าเรื่องที่ถาวจวินหลันทำของว่างให้กับไทเฮาว่า “ตวนอ๋องช่างกตัญญูนัก ชายารองตวนอ๋องก็กตัญญูเช่นกัน ไทเฮาจะต้องดีขึ้นเพราะความกตัญญูของหลานๆ นะเพคะ”

ไทเฮาหัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า “ข้าเองก็อยาก แต่ถาวซื่อช่างเป็นคนดีเสียจริง มิน่าซวนเอ๋อร์ถึงได้โตมาดีเช่นนั้น และไม่แปลกใจที่ตวนอ๋องจะโปรดปรานนางมากเสียหน่อย ต่อให้เป็นข้าในตอนนี้ก็ชอบนางมากขึ้น ในบรรดาหลานสะใภ้ทั้งหลาย ก็มีเพียงนางที่ใส่ใจหญิงชราอย่างข้าเป็นพิเศษ”

คำพูดของไทเฮานี้ไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่น แต่ฮ่องเต้กลับอดคิดไม่ได้ ใช่แล้วพระชายาคังอ๋องนั้นเป็นหลานสะใภ้คนโตก็ไม่เห็นว่าจะมาทำความเคารพไทเฮาทุกวันเป็นประจำ กลับเป็นชายารองของเจ้ารองคนนี้ที่ไปๆ มาๆ ในวังหลวง ส่วนพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องนั้นก็เข้าวังน้อยครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเข้าวังยุ่งยากก็จริง แต่ตอนนี้อยู่ที่พระราชฐาน ไทเฮาก็ล้มป่วยอยู่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีคนอื่นมาดูแลปรนนิบัติทุกวัน

พระชายาคังอ๋องไม่ต้องพูดถึง ปกติแล้วฮองเฮาก็เข้ากับไทเฮาไม่ค่อยได้ พระชายาคังอ๋องตกอยู่ตรงกลางก็ทำอะไรมากไม่ได้ อีกทั้งอาการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ของเด็กสาวสองสามคนในจวนคังอ๋องอีก พระชายาคังอ๋องก็ถือว่าไม่มีแรงทำอย่างอื่นจริงๆ อีกอย่างครั้งนี้ก็ไม่ได้ตามคังอ๋องมาที่พระราชฐานด้วย

แต่เมื่อพูดไปแล้ว ชายารองตวนชินอ๋องก็ไม่ใช่ว่าต้องดูแลลูกหญิงชายหรืออย่างไรกัน? แต่ก็ยังหาเวลามาดูแลใส่ใจไทเฮาได้มิใช่หรือ? เห็นได้ว่าเป็นเพียงแค่มีใจหรือไม่มีใจเท่านั้นเอง ความคิดของพระชายาคังอ๋องนั้นต่อให้มีเวลาว่างทั้งวันก็ไม่เห็นว่าจะมานั่งคิดสิ่งต่างๆ แทนไทเฮา

ดังนั้นจึงพูดได้ว่าพอได้ยินคำพูดนี้ของไทเฮาแล้ว ฮ่องเต้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจต่อบรรดาลูกชายทั้งหลาย ยกเว้นหลี่เย่

ไทเฮาในพูดเสริมอีกว่า “สุดท้ายแล้วก็เพราะว่าข้าเอ็นดูเขามาตั้งแต่เด็กจนโต ตอนนี้ถึงได้กตัญญูมากกว่าคนอื่นๆ”

ได้ยินดังนั้นอารมณ์ของฮ่องเต้ยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม เพราะว่าไทเฮาเอ็นดูเจ้ารอง ถึงทำให้ลูกชายคนอื่นไม่กตัญญูต่อไทเฮา นี่ถูกต้องหรืออย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงว่าไทเฮาลำเอียงรักเจ้ารองมากกว่า ต่อให้ไทเฮาไม่เอ็นดูพวกเขาอย่างไรนี่ก็เป็นท่านย่าของพวกเขา ปฏิบัติเช่นนี้ต่อย่าของตัวเองถือว่าอกตัญญู!

“ได้ยินว่าหลายวันก่อนนี้เจ้าดุกล่าวตวนชินอ๋องเพราะว่าถาวซื่อ? เกิดอะไรขึ้นอีก?” ไทเฮายิ้มพูด ท่าทีเป็นธรรมชาติ “หรือเกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? ข้าดูแล้วถาวซื่อไม่ได้เหมือนคนที่ทำตัวไม่เหมาะสม”

ฮ่องเต้ดูประหม่าเล็กน้อย คิดจะกลบเรื่องนี้ไป “ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญ เพียงแค่มีคนพูดว่าตั้งแต่ที่เจ้ารองได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ถาวซื่อก็ยิ่งโอ้อวดหยิ่งทะนง จึงได้เอ่ยเตือนเล็กน้อย ไม่ถือว่าดุกล่าว”

ไทเฮาขมวดคิ้วในทันที ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้หลุดไป “โอ้อวดหยิ่งทะนง? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เพราะว่าถาวซื่อมาเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”

ไทเฮาใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ก็มีท่าทีโมโหขึ้นมา ฮ่องเต้รีบเอ่ยพูดว่า “ไทเฮาโปรดอย่าใจร้อน เรื่องเป็นเช่นนี้ วันนั้นอี๋เฟยหกล้ม ที่จริงแล้วชายารองตวนชินอ๋องก็อยู่แต่ไม่ยอมเข้าไปช่วย รอจนเจ้าแปดเจ้าเก้ามาแล้วถึงเข้าไปพร้อมกัน แต่กลับมีท่าทีเบื่อหน่ายและเย่อหยิ่ง อี๋เฟยมาร้องไห้กับข้าอยู่ทีหนึ่ง อีกทั้งได้ยินว่าถาวซื่อคนนั้นเป็นคนจิตใจเ**้ยมโหด บ่าวไพร่ทำผิดเพียงเล็กน้อยก็ลากออกไปตีให้ตาย กำเริบเสิบสานมากนัก ข้ากลัวว่านางจะสอนซวนเอ๋อร์จนเสียคนหรือขัดขวางเจ้ารอง”

ไทเฮาตกใจเป็นอย่างมาก “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? เหตุใดข้าไม่รู้เรื่องนี้? เรื่องอี๋เฟยหกล้มนั้นเจ้าได้ยินมาอีกทีหนึ่ง หรือว่ามีคนพบเห็นกับตาจริงๆ? ข้าดูแล้วถาวซื่อไม่เหมือนคนเช่นนั้น ส่วนการตีบ่าวไพร่จนตายนั้น…”

ไทเฮาขมวดคิ้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างพิจารณา “สุดท้ายก็เป็นบ่าวไพร่ที่ทำผิด ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียหมด”

ในตอนนี้ขันทีเป่าฉวนก็พูดแทรกขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าน้อยพอรู้อยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นเสียงขันทีเป่าฉวน ฮ่องเต้กับไทเฮาก็หันมองเขาทันที ฮ่องเต้ยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม “เจ้ารู้เรื่องอย่างนั้นหรือ?” เขารู้สึกสงสัย ขันทีเป่าฉวนรู้เรื่องในจวนตวนชินอ๋องได้อย่างไรกัน? เพราะว่ากระจายไปจนทุกคนรู้กันทั่ว หรือว่า…

ขันทีเป่าฉวนแสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาสงสัยของฮ่องเต้ เพียงแค่ยิ้มและอธิบายว่า “ฮ่องเต้ทรงไม่ทราบว่าบ่าวที่ถูกโบยตีจนเสียชีวิตนั้นเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหวคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นคนของวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องเอ่ยถึงจวนเพ่ยหยางโหว พูดถึงแค่คนในวังของพวกเรา วันนั้นตวนชินอ๋องได้รับบาดเจ็บจนต้องพักอยู่ที่วังหลวงกว่าครึ่งเดือน วันที่ออกจากวังหลวงไปเพราะว่าวังหลวงให้รถม้าไปส่งตวนชินอ๋องกลับจวน ระหว่างทางที่กลับจวนนั้นรถม้าของจวนเพ่ยหยางโหวทำให้รถม้าที่ตวนชินอ๋องนั่งมาตกใจ ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือขันทีที่บังคับรถม้านั้นรักตัวกลัวตาย ทิ้งรถและวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปเองพ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตวนชินอ๋องมีบุญบารมี ผลลัพธ์ที่นั่งในรถม้าไร้คนขับก็พอจะคาดเดาได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นบาดแผลที่มือของตวนชินอ๋องก็ยังเปิด ที่โชคดีก็คือบาดแผลที่ขาไม่ได้มีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงจะพิการเป็นแน่”

สิ้นเสียง ในห้องพลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ไทเฮาถึงค่อยๆ พูดด้วยความโมโห “บ่าวไพร่เช่นนี้ควรตีให้ตายไปเลย!”

ฮ่องเต้มีสีหน้าไม่ดี นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”

“เรื่องนี้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ชายารองตวนชินอ๋องคิดอยากจะตีให้ตายด้วยตนเอง ในตอนนั้นได้ส่งคนเข้าวังหลวงมาถามขันทีที่คอยดูแลธุระ และเพราะว่าเป็นเช่นนั้นบ่าวถึงได้รู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่ด้วยไม่ใช่เรื่องใหญ่จึงไม่ได้รายงานฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเป่าฉวนอธิบายต่อไป

ฮ่องเต้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก็ถือว่าเป็นการกำจัดความสงสัยในใจของตน

ไทเฮามองฮ่องเต้อย่างคาดโทษทีหนึ่ง พูดกล่าวโทษว่า “เรื่องนี้ฮ่องเต้ลำเอียงฟังความข้างเดียว ส่วนเรื่องที่อี๋เฟยหกล้มนั้น พวกนางกลับมาและบอกข้าว่าถาวซื่อไม่ได้บังเอิญพบอี๋เฟย เรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

โชคดีที่ตอนนั้นถาวจวินหลันใช้เหตุผลเช่นนี้มาปิดบัง จึงกลายเป็นเหตุผลให้ไทเฮาสงสัยเรื่องนี้แล้ว

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” จากนั้นสีหน้าก็ขรึมลง “เป่าฉวน เจ้าลองไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าอยากจะรู้นักว่าใครที่พูดจาเลอะเทอะ?”

ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “ควรสืบให้ชัดเจน แม้ว่าถาวซื่อจะเป็นชายารอง แต่อย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ ของซวนเอ๋อร์และยังเป็นคนดูแลจวนตวนชินอ๋องตอนนี้ หากเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ ต่อจากนี้คงจะส่งผลกระทบไม่น้อยเลยทีเดียว”

ไทเฮาพูดอย่างสง่าผ่าเผย จริงใจไม่ปิดบัง ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดขึ้นมาหลายส่วน ตอนที่เขาว่ากล่าวหลี่เย่กลับไม่เคยคิดมากเช่นนี้มาก่อน รู้สึกเพียงแค่ว่าถาวซื่อก็เป็นเพียงแค่อนุภรรยาเท่านั้น ไม่ว่าจะกักขังหรือฆ่าให้ตายก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างมากก็หาคนมาเปลี่ยนให้หลี่เย่ดีหน่อยก็เท่านั้นเอง

ไทเฮาไม่ได้ต้องการคำตอบทันที แล้วให้ฮ่องเต้กลับไปเพราะรู้สึกเหนื่อย

พอฮ่องเต้กลับไปแล้ว จางหมัวหมัวก็ประคองไทเฮาให้ไปพักผ่อนบนเตียง อดพูดเย้าไม่ได้ว่า “คราวนี้ไทเฮาช่วยเหลือชายารองถาวมากเลยนะเพคะ”

ไทเฮายิ้ม พูดออกมาช้าๆ “เจ้าว่าที่ถาวซื่อกระตือรือร้นเช่นนั้นเพื่ออะไรกัน? ถ้าบอกว่านางกตัญญูกับข้าจริง ก็เห็นว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด นางปรนนิบัติข้าด้วยใจเช่นนี้ก็เพียงแค่ต้องการเรียกร้องศักดิ์ศรีกลับมาเท่านั้น นางเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรจะต้องเริ่มทำจากตรงไหน อีกทั้งดูจากความผูกพันธ์ที่นางมีต่อเย่เอ๋อร์แล้ว ข้าช่วยเหลือนางก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยหน้าของเย่เอ๋อร์ก็จะได้ดูสดใสมากขึ้น อีกทั้งอี๋เฟยเองก็จะยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”