ส่วนที่ 5 ตอนที่ 35-2 เลือกได้

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ครั้นบะหมี่หยางชุนสองชามตกถึงท้องหมดแล้ว เจิ้งเซี่ยวหยางลูบท้องพลางกล่าวขอบคุณป้าอ้วน “บะหมี่นี้อร่อยจริงๆ ลำบากป้าแล้ว”

 

 

           “คุณชายรองอย่าเกรงใจเลย” ป้าอ้วนยิ้มเบิกบาน “ระหว่างที่ท่านอยู่ในจวนอ๋อง ถ้าอยากกินเมื่อไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

 

 

           “ได้เลย มิใช่แค่ตอนอยู่ในจวนอ๋องเท่านั้น จากนี้เกรงว่าข้ายังอยู่ในเมืองอีกนาน” เจิ้งเซี่ยวหยางหมุนตัวออกจากครัวใหญ่

 

 

           ป้าอ้วนเก็บชามและตะเกียบอย่างอารมณ์ดี

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางออกมาจากครัวใหญ่ก็เรอออกมาเสียงหนึ่ง ถามเด็กรับใช้ว่า “เจ้าง่วงหรือไม่”

 

 

           เด็กรับใช้ส่ายหน้า “คุณชายรองยังมีคำสั่งใดอีกหรือ”

 

 

           “เมื่อวานมาถึงอย่างกะทันหัน ยังไม่ได้เดินเล่นบนถนนในเมือง เจ้าพาข้าออกไปเดินเล่นหน่อย”

 

 

เจิ้งเซี่ยวหยางบอก

 

 

           เด็กรับใช้มองท้องฟ้าแวบหนึ่ง ทิศตะวันออกแม้เพิ่งมีแสงสีขาวเริ่มปรากฏขึ้น แต่ยังอีกนานกว่าฟ้าจะสว่างเต็มที่ เขากล่าวขึ้นทันที “คุณชายรอง เดินเล่นบนถนนยามนี้ ร้านค้าไหนๆ ล้วนยังไม่เปิดร้าน บนถนนไม่มีใครเลย”

 

 

           “เพราะไม่มีคนข้าถึงอยากไปเดินเล่น จะได้ไม่ไปชนรถม้าตระกูลใดเข้าอีก หรือทำร้ายใครเข้าอีกหน” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าว

 

 

           เด็กรับใช้นิ่งชะงักไป “คุณชายรอง ท่าน…อยากไปเดินเล่นบนถนนยามนี้จริงหรือขอรับ”

 

 

           “ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าไปเองก็ได้” เจิ้งเซี่ยวหยางบอก

 

 

           “อยากไป ข้าไปกับท่านเองขอรับ” เด็กรับใช้รีบนำทาง

 

 

           ทั้งสองออกจากจวน บังเอิญพบหลินชีหน้าประตูพอดี

 

 

           “พี่หลินชี เจ้าจะออกไปจ่ายตลาดหรือ” เด็กรับใช้ทักทายหลินชีทันที

 

 

           “อืม ท่านอ๋องน้อยเพิ่งบอกว่าจะให้ข้าตุ๋นน้ำแกงไก่ป่า เพื่อบำรุงร่างกายให้พระชายาน้อย ข้าจึงต้องรีบไปรอที่ตลาดนัดแต่เช้า ดูว่าเช้านี้มีใครล่าสัตว์มาขายหรือไม่” หลินชีตอบ ก่อนทำความเคารพเจิ้งเซี่ยวหยาง “คุณชายรอง อรุณสวัสดิ์ขอรับ”

 

 

           “เจ้าคือหลินชีที่ป้าอ้วนพูดถึง ครัวเล็กในเรือนลั่วเหมยของท่านอ๋องน้อยเจิงดูแลโดยเจ้ารึ” เจิ้ง

 

 

เซี่ยวหยางยกยิ้มมุมปาก

 

 

           “เรียนคุณชายรอง ใช่แล้วขอรับ” หลินชีพยักหน้าตอบ

 

 

           “วันหลังไว้ข้าชิมฝีมือเจ้า” เจิ้งเซี่ยวหยางยิ้มกล่าว

 

 

           หลินชีพยักหน้า

 

 

           ทั้งสามออกจากหน้าจวนด้วยกัน หลินชีไปยังตลาดนัดตอนเช้า เจิ้งเซี่ยวหยางกินมากต้องใช้เวลาย่อยอาหาร จึงเดินทอดน่องเลียบถนนใหญ่ตามอำเภอใจ มองซ้ายทีขวาที ไม่มีจุดหมาย

 

 

           ฟ้าเพิ่งสว่าง เหล่าขุนนางบ้างขี่ม้า บ้างนั่งเกี้ยว เริ่มเดินทางไปเข้าว่าราชการยามเช้า

 

 

           อิงชินอ๋องเดินออกมาจากเรือนหลัก ถามสี่ซุ่นว่า “เมื่อวานเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์กลับมายามใด”

 

 

           “เลยยามจื่อ**[1]ไปแล้วขอรับ” สี่ซุ่นตอบ

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้า เดินต่อไปยังด้านนอก

 

 

           เขาเพิ่งมาถึงหน้าจวน กำลังจะขึ้นรถม้า อวี้จั๋วก็วิ่งออกมาจากในจวนพลางตะโกนเสียงดังว่า “ท่านอ๋อง รอก่อนขอรับ”

 

 

           อิงชินอ๋องหันไปมองพบว่าเป็นอวี้จั๋ว เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ทั้งเต๋อฉือไทเฮากับหวางชิงเม่ยล้วนเกิดมาในตระกูลหวาง เขาจึงถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “มีเรื่องใด”

 

 

           “จดหมายขอรับ” อวี้จั๋ววิ่งเข้ามาหาโดยที่หอบหายใจแฮกๆ ส่งจดหมายที่ถูกพับลวกๆ ให้กับอิงชินอ๋อง “จดหมายที่ท่านอ๋องน้อยให้ฝ่าบาท ฝากท่านนำติดไปวังหลวงด้วย”

 

 

           “เขากลับมาแล้ว ไม่ไปเข้าว่าราชการยามเช้ารึ” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึมลง

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยบอกว่าเหนื่อยมาก ไม่ไปแล้ว วันนี้จะอยู่ในจวนกับพระชายาน้อย ให้ท่านนำจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้ฝ่าบาทก็พอแล้ว” อวี้จั๋วส่ายหน้า

 

 

           อิงชินอ๋องรับจดหมายมา พยักหน้าแล้วขึ้นรถม้าไป

 

 

           แต่ละวันอิงชินอ๋องมักเข้าวังหลวงแต่เช้า วันนี้ก็ไปเข้าว่าราชการยามเช้าก่อนเวลาเช่นกัน แต่มิได้ไปรอว่าราชการยามเช้าเหมือนวันก่อนๆ หากแต่ตรงไปรอพบฉินอวี้ระหว่างทางมาว่าราชการ

 

 

           ฉินอวี้เห็นอิงชินอ๋องก็แปลกใจเล็กน้อย “ท่านลุงใหญ่ ท่านมีเรื่องด่วนหรือ”

 

 

           อิงชินอ๋องถวายบังคม ก่อนยื่นจดหมายที่ถูกพับอย่างลวกๆ ของฉินเจิงให้ฉินอวี้ “จดหมายที่เจิงเอ๋อร์ให้ฝ่าบาท ฝากให้กระหม่อมนำเข้ามาในวัง”

 

 

           ฉินอวี้เลิกคิ้ว รับมาอ่านแวบหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           อิงชินอ๋องมิได้อ่านจดหมาย มองไปยังฉินอวี้

 

 

           ฉินอวี้กางจดหมายออกแล้วยื่นให้อิงชินอ๋องอ่าน

 

 

           อิงชินอ๋องรับไปอ่านแวบหนึ่งก็ชะงักไปทันที “เขาบอกให้…ท่านแต่งตั้งเจิ้งเซี่ยวหยางเป็นอาลักษณ์”

 

 

           “เป็นลายมือเขาไม่ผิดแน่” ฉินอวี้เอ่ย

 

 

           อิงชินอ๋องกระแอมขึ้นมา “เขามิได้เขียนผิดกระมัง เป็นเจิ้งเซี่ยวหยางหรือ มิใช่เจิ้งเซี่ยวฉุน”

 

 

           ฉินอวี้ยิ้ม “เขาคือฉินเจิง จะเขียนชื่อคนผิดได้อย่างไร” เอ่ยจบก็เดินต่อไปเบื้องหน้า

 

 

           “ในนี้มิได้เขียนเหตุผลไว้ มีเพียงแนะนำบุคคล” อิงชินอ๋องกังวลอยู่บ้าง กล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาท ถ้ามิอย่างนั้น กระหม่อมส่งคนกลับที่จวน ถามว่าเขามีเจตนาใด”

 

 

           “ไม่ต้องหรอก” ฉินอวี้โบกมือ “ต้องมีเหตุผลของเขา ว่าตามที่เขาทัดทานมาแล้วกัน”

 

 

           อิงชินอ๋องเงียบเสียงลง ลอบคิดในใจว่าทั้งสองไม่ถูกชะตากันและกันมาตั้งแต่เด็ก ต่อหน้าลับหลังล้วนตั้งตัวเป็นศัตรูกัน ยามนี้หลังปรองดองสมัครสมานกันแล้ว ข้อดีที่ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันมานานก็ปรากฏออกมา ไม่คาดเดา ไม่สงสัย

 

 

           ครั้นมาถึงตำหนักจินหลวน ฉินอวี้นั่งด้านบน ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดก้มกราบพร้อมกัน

 

 

           ฉินอวี้โบกมือ เอ่ยว่าตามสบายประโยคหนึ่ง ก่อนถามว่าขุนนางคนใดมีสาส์นกราบทูลจะยื่นบ้าง

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวามองทุกคนแวบหนึ่ง ก่อนออกจากแถวแล้วพูดเสียงดัง “กระหม่อมอายุมากแล้ว ช่วงนี้เพราะเรื่องในบ้าน ยิ่งรู้สึกว่าสังขารไม่อำนวย ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมเกษียณด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาพูดออกมาเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็ส่งเสียงเกรียวกราว มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

           ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน พรมแดนแม้สงบสุขชั่วคราว แต่ภายในยังต้องเตรียมเสบียงอาหารเลี้ยงทหารและม้าเพื่อเตรียมทำสงคราม เสนาบดีฝ่ายขวายังเป็นหัวหน้าสภาขุนนางทั้งหมด ไฉนก่อนหน้านี้ถึงไม่มีแนวโน้มเลยแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่านึกจะเกษียณก็เกษียณ

 

 

           โดยเฉพาะเสนาบดีฝ่ายซ้าย อิงชินอ๋อง หย่งคังโหว รวมถึงอีกหลายคนที่สนิทสนมกับเขา ล้วนตกใจและทั้งสงสัยคิดว่าฟังผิดไปแล้ว

 

 

           ฉินอวี้เองก็มึนงงไปชั่วขณะ เอ่ยเสียงนุ่มนวล “เรามิได้ฟังผิดกระมัง เสนาบดีฝ่ายขวาไฉนจู่ๆ ถึงอยากจะเกษียณ”

 

 

           “ทูลฝ่าบาท ท่านมิได้ฟังผิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถูกปัญหาครอบครัวเหนี่ยวรั้งจนเหนื่อย การงานต่างๆ มิอาจทำได้ตามใจนึกแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาน้อมคำนับ

 

 

           อิงชินอ๋องก้าวออกจากแถวทันใด กล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา “เสนาบดีฝ่ายขวาต้องทบทวนให้ดี เจ้าเป็นหัวหน้าสภาขุนนาง เรื่องเกษียณมิอาจประมาทได้ ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาภายใน เรื่องที่เกิดในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเจ้านั้นก็ไม่นับประสาอะไร”

 

 

           “มิใช่แค่ปัญหาครอบครัว ช่วงนี้ยิ่งรู้สึกว่าไร้ประโยชน์ในราชสำนักตั้งนานแล้ว มิสู้เกษียณออก” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า

 

 

           “หากเจ้าไร้ประโยชน์ คนแก่อย่างพวกเรามีหรือจะไม่ล้วนไร้ประโยชน์ด้วย” อิงชินอ๋องมองเขา

 

 

           “ท่านอ๋องไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจมาดีแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า

 

 

           อิงชินอ๋องอึ้ง มองไปยังฉินอวี้

 

 

           ฉินอวี้มองเสนาบดีฝ่ายขวา เอ่ยถามเขาด้วยเสียงอบอุ่น “ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน ไม่รู้ว่าหลังเสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณออกไปแล้ว เจ้าได้เลือกหรือแนะนำใครมารับหน้าที่ต่อหรือไม่”

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาครุ่นคิดก่อนส่ายหน้า “แม้บอกว่าแนะนำคนในครอบครัวโดยไม่เลี่ยง ลูกชายมีพรสวรรค์เพียงพอที่จะรับหน้าที่ต่อก็จริง แต่ยังต้องฝึกฝนประสบการณ์อีกมาก ยังมิอาจรับหน้าที่ในตอนนี้ได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ราชสำนักแม้มีทั้งเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา แต่ความจริงมีแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ถึงกระหม่อมเกษียณออกไป แต่เสนาบดีฝ่ายซ้ายยังอยู่ ขาดตำแหน่งนี้ไปแต่ก็ไม่เป็นไรเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

     

 

 

[1] **ยามจื่อ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01:00 น.