ซวนเทียนหมิงเข้าใจชายาของเขาเป็นอย่างดี เมื่อผู้หญิงคนนี้รู้สึกผิดหรือพบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ นางชอบที่จะเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ตัวอย่างเช่น เฟิงหยูเฮงกำลังถักผมของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นิ้วมือของนางขยับ เพียงแค่บิดมันก็ไม่พอเพราะมันดูเหมือนมาฮวาตัวเล็ก*
เขาพ่ายแพ้ “คิดเสียว่าข้าไม่เคยถาม ปล่อยผมของข้าด้วย”
นางส่ายหน้า “เมื่อเจ้าได้ถามมาแล้ว ข้าจะทำราวกับว่าเจ้าไม่เคยถามได้อย่างไร ข้าไม่ได้หูหนวก”
ซวนเทียนหมิงมีความหวาดกลัวอย่างกะทันหันว่าเขาจะลงเอยด้วยถูกถักผมเปียทั้งหัว
โชคดีหลังจากหญิงสาวถักเปียที่สามเสร็จแล้ว นางก็หยุด และกอดคอของเขาถามว่า “ซวนเทียนหมิง ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นเทพธิดา เจ้าจะมีความสุขหรือไม่ ? ”
ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ข้าต้องการ นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการ การมีเทพธิดาเป็นชายา นั่นหมายความว่าข้าสามารถมีชีวิตเฉกเช่นเทพเซียนได้ นั่นจะยอดเยี่ยมมาก”
“แล้วถ้าข้าเป็นภูตผีล่ะ ? ” นางดึงคอไปข้างหน้าดึงหน้ากากของซวนเทียนหมิงมองตาเขาจากด้านข้าง “พูดสิ ถ้าข้าเป็นภูตผีล่ะ ? คนที่น่ากลัวมาก ๆ ”
ซวนเทียนหมิงค่อนข้างไร้กังวล “ แม้ว่าจะเป็นภูตผีก็ใช้ได้ ที่แย่ที่สุดเจ้าจะติดตามข้าไปตลอดชีวิตนี้ และข้าจะติดตามเจ้าไปที่นรกขุมที่ 18 ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าจะไปกับเจ้าไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่” ในขณะที่เขาพูด เขาขยับนางขึ้นเล็กน้อย นางคนนี้หนักขึ้นเล็กน้อย
เฟิงหยูเฮงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ซบหัวบนไหล่ของเขา นางแอบยิ้มและไม่สนใจภาพพจน์ หากมีการกล่าวถึงการกลับชาติมาเกิดของนางนั้น การพบกับซวนเทียนหมิงนั่นคุ้มค่าจริง ๆ ! มันเป็นเรื่องที่ดีมาก !
ซวนเทียนหมิงอุ้มชายาของเขาและเดินฝ่าหิมะ ทั้งสองพูดและหัวเราะขณะเดินไปข้างหน้า บานซูที่ตามหลังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่อารมณ์ของเป่ยจื่อก็แย่ลงเรื่อย ๆ การอยู่รอดของเป่ยฟูหรงนั้นอยู่ในขั้นวิกฤติและอยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำอะไร
กลุ่มยังคงเดินผ่านถนน พวกเขาเดินผ่านถนนครึ่งทางในเมืองกวนโจว ในตอนเที่ยงเฟิงหยูเฮงชี้ไปที่แผงลอยบะหมี่ที่วางอยู่ขายบนหิมะ โดยยืนยันว่านางต้องการกินบะหมี่ ไม่มีสิ่งใดที่ซวนเทียนหมิงทำได้และต้องวางนางไว้บนเก้าอี้ตัวเล็ก
กลุ่มนี้หากไม่มีซวนเทียนหมิงอยู่ด้วย พวกเขาอาจหลอกว่าเป็นคนธรรมดาได้ เมืองกวนโจวไม่เล็ก มันเป็นไปไม่ได้ที่พลเมืองทุกคนจะคุ้นเคยกัน แต่ปานและรูปลักษณ์ไม่เหมือนใครของซวนเทียนหมิงก็สังเกตได้ชัดเจนเกินไป ด้วยหน้ากากทองคำที่อยู่บนใบหน้าของเขา พวกเขาได้พบผู้คนมากมายบนถนน และทุกคนที่ไม่ใช่คนโง่ ที่ไม่สามารถเดาตัวตนของเขาได้
เสี่ยวเอ้อหนุ่มที่ร้านดูเหมือนกลัวไม่กล้าที่จะพูดกับพวกเขา เขาโน้มตัวเข้าหาฝั่งเจ้านายของเขาอย่างสิ้นหวัง แต่เฟิงหยูเฮงต้องหยอกล้อเขาว่า “ข้าน่าเกลียดหรือ ทำให้เจ้าตกใจ ? ”
เสี่ยวเอ้อหนุ่มสั่นตัวจนเกือบโยนถ้วยบะหมี่ในมือ เขาวางมันไว้ข้าง ๆ แล้ววิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย
ซวนเทียนหมิงก็รู้สึกหมดหนทางจึงเรียกเจ้าของร้าน “มานี่สิ”
เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนในช่วงอายุ 30 ปี เขาอ้วนและดูตรงไปตรงมาบนใบหน้าของเขา แต่เขาก็ไม่กล้ามากนัก เขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่เขาไม่สามารถหนีไปได้อย่างที่เสี่ยวเอ้อทำ แต่ร้านนี้เป็นของเขา แม้ว่าเขาจะหลบหนีได้ แต่เขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้อย่างสมบูรณ์ **
ซวนเทียนหมิงเห็นการแสดงออกที่ขี้ขลาดของเขา และสับสนว่า “เจ้าไม่ได้ขโมยร้านนี้มาใช่หรือไม่ ? ”
เจ้าของร้านโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ เป็นร้านของกระหม่อมจริง ๆ พะยะค่ะ”
“แล้วทำไมเจ้าไม่มาล่ะ ? ”
“อะ..องค์ชายเก้าเรียกกระหม่อมทำไมพะยะค่ะ ? ” เนื่องจากความกลัวเขาเริ่มพูดติดอ่าง เมื่อถอนหลังกลับไปอีกก้าวก็ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจยอมแพ้ในร้าน หากสิ่งต่าง ๆ ดูไม่ดีเขาจะหนีไป
ซวนเทียนหมิงรู้สึกโมโหเล็กน้อย “ข้าพูด เจ้าไม่ใช่คนจากภาคเหนือจริงหรือ ? พวกเขาไร้เหตุผลและค่อนข้างเย็นชา? มันคืออะไร? ด้วยความกล้าหาญเพียงเล็กน้อยนี้เจ้ากล้าที่จะก่อกบฏร่วมกับตวนมู่อันกัวและยอมจำนนต่อเฉียนโจว?”
เมื่อเจ้านายอ้วนได้ยินสิ่งนี้เขาก็คิดกับตัวเองว่าปัญหามาถึงแล้วจริง ๆ เขากัดฟันของเขาและหันวิ่งออกไป น่าเสียดายที่เขาจะเร็วกว่าบานซูได้อย่างไร ก่อนที่เขาจะหันกลับไป บานซูได้ปิดกั้นเส้นทางของเขาไปแล้ว
เจ้าของร้านคุกเข่าแล้วเขาตะโกนซ้ำ ๆ ว่า “องค์ชาย ทรงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพะยะค่ะ ! ”
ใบหน้าของซวนเทียนหมิงมืดครึ้มลงไปถึงขีดจำกัด แล้วเตือนเขาอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้ายังไม่ทำบะหมี่ให้พวกเรา องค์ชายผู้นี้จะไม่ไว้ชีวิตเจ้าอย่างแน่นอน”
เจ้าของร้านมึนงง “หืมม”
จากนั้นเจ้าของร้านก็สามารถตอบสนองได้ “องค์ชายต้องการที่จะกินบะหมี่หรือพะยะค่ะ ? ” *เอ่อ องค์ชายแค่มากินบะหมี่ !*องค์ชายทำให้ข้ากลัวแทบตาย ข้าคิดว่าข้ากำลังจะถูกฆ่า ทำไมต้องใส่หน้ากากที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถ้าองค์ชายอยากกินบะหมี่ ? ในขณะที่บ่นอยู่ในใจ เขาเริ่มลวกเส้นบะหมี่ เมื่อลวกบะหมี่ เขาต้องยอมรับว่ามันดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ทำหน้าตาที่ดุดันมากนัก มันเป็นเสี่ยวเอ้อที่ทำให้เขากลัวและวิ่งหนีไป นั่นคือสิ่งที่สร้างบรรยากาศนั้น
วัตถุดิบหลักของร้านนี้คือบะหมี่เส้นใหญ่ ชามขนาดใหญ่ 4 ใบถูกยกขึ้นและเฟิงหยูเฮงกำลังจะน้ำลายไหล นางหยิบตะเกียบขึ้นมาหนึ่งคู่แล้วเริ่มคีบอาหารเข้าปาก ขณะรับประทานอาหารนางกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจที่ร้านนี้จะต้องเปิดข้างนอก บะหมี่ร้อนมากและไม่สามารถกินได้ทันที เมื่อถึงเวลากินเนื้อจะไม่อร่อย ต้องารใช้ประโยชน์จากลมหนาวเท่านั้นถึงจะเพลิดเพลินอย่างเต็มที่ ! ”
อะไร ? ทุกคนมองเฟิงหยูเฮงรวมถึงเจ้าของร้านด้วย ในขณะนี้ความคิดในใจของเขาคือ “องค์หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะคนต่ำต้อยผู้นี้ที่ไม่มีเงินมากพอ ข้าจะไม่เปิดร้านนี้ท่ามกลางหิมะอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”
แต่ด้วยเฟิงหยูเฮงที่พูดแบบนี้ คนอื่น ๆ รู้สึกว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผล แม้แต่ซวนเทียนหมิงก็ยังคีบบะหมี่เข้าปากของเขา ในขณะที่รับประทานอาหาร เขาพยักหน้า “นั่นสมเหตุสมผล”
เนื่องจากกลิ่นอายของซวนเทียนหมิงและการมาถึงของคนทั้งสี่นี้ ร้านที่เงียบอยู่แล้วก็เงียบยิ่งกว่าเดิม ! เจ้าของอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
กลุ่มนี้มีความสุขกับบะหมี่สี่ชามโดยเฉพาะเฟิงหยูเฮง หลังจากกินไปครึ่งหนึ่งนางก็ให้เจ้าของร้านเพิ่มบะหมี่อีกส่วนหนึ่ง ไม่นานเจ้าของร้านรู้สึกว่าองค์ชายจากราชวงศ์ต้าชุนและองค์หญิงไม่ได้วางท่าสูงส่งเกินไป พวกเขาดูเหมือนจะเป็นคนปกติ พวกเขานั่งที่ร้านบนถนนเพื่อทานบะหมี่ และเด็กหญิงก็ขอให้เพิ่มบะหมี่เป็นพิเศษ ในความเป็นจริงหลังจากที่นางจะใช้แขนเสื้อเพื่อเช็ดปากของนาง แม้แต่คุณหนูในตระกูลปกติก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากอย่างระมัดระวัง แต่องค์หญิงไม่ได้ทำแบบนั้น !
หลังจากบะหมี่หนึ่งถ้วยและเพิ่มเส้นพิเศษ เฟิงหยูเฮงก็อิ่มแล้ว ชายสามคนที่โตแล้วดูเหมือนจะหิวนิดหน่อย ในที่สุดพวกเขาก็เดินวนไปรอบ ๆ มาทั้งวัน และมีบางคนต้องทำงานหนักเพื่ออุ้มชายาของเขา เจ้าของร้านใช้ความคิดเริ่มที่จะให้บะหมี่พวกเขาเพิ่มอีกครึ่งชามฟรี ๆ
เฟิงหยูเฮงเป็นคนแรกที่กินจนเสร็จ รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องทำ นางไปเล่นกับเด็ก ๆ ที่กำลังมองจากด้านข้าง เด็กคนหนึ่งเพิ่งหัดหัดเดินและเดินเตาะแตะขณะที่มารดาจับมือและเดินไปบนหิมะ เด็กเล็กไม่รู้ที่จะกลัวผู้คน เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงและรู้สึกว่านางใจดี เด็กก็ยื่นมือเล็ก ๆ ออกมาแล้ววิ่งไป มารดากลัวต้องการพาบุตรกลับมา อย่างไรก็ตามนางเห็นว่าเฟิงหยูเฮงกางแขนเพื่อกอดบุตรของนางแล้ว ขณะที่ลูบหัวเด็กนางถามว่า “เจ้าชื่ออะไร ? ”
เด็กสองขวบพูดไม่เก่ง พูดไม่ชัดว่า “เปาเอ๋อ, เปาเอ๋อ” เฟิงหยูเฮงอุ้มเด็กและนั่งที่ด้านข้างของซวนเทียนหมิง นางดึงขวดนมออกมาจากแขนเสื้อของนาง
บุตรของคนธรรมดาสามัญในสมัยโบราณจะมีนมวัวให้ได้อย่างไร เมื่อมารดาของเด็กเห็นเด็กหยิบขึ้นมา และเริ่มดื่มนางก็หวาดกลัวมาก ในทันทีความคิดอย่างที่อยู่รอบ ๆ “พิษ” ปรากฏขึ้น แต่หลังจากการเฝ้าดูอีกซักพักหนึ่งไม่นานเด็กก็ดูดีมีความสุขมาก จากนั้นนางก็สงบลงอย่างช้า ๆ
ซวนเทียนหมิงเห็นว่าเฟิงหยูเฮงกำลังอุ้มเด็กและเล่นอย่างมีความสุข และเขาก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวเด็ก เด็กน่ารักมาก เมื่อซวนเทียนหมิงลูบหัวเขา เขาหันไปมองซวนเทียนหมิงและยิ้มให้ ทำให้ซวนเทียนหมิงรู้สึกลังเลที่จะดึงมือของเขากลับมา
อาจเป็นเพราะฉากนี้อบอุ่นมาก แต่เจ้าของร้าน พลเมืองที่อยู่ไม่ไกลเกินไปรวมถึงลูกค้าจากร้านค้ารอบ ๆ ก็รวมตัวกันอย่างช้า ๆ ไม่มีความกลัวแบบเดียวกันนี้อีกต่อไป ขณะที่พวกเขาเริ่มพูดคุยอย่างเงียบ ๆ
“นั่นคือองค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันใช่หรือไม่ ? ทั้งสองเป็นมิตรมาก”
“ใช่ พวกเขาแตกต่างจากสิ่งที่ท่านผู้นำพูดมาก”
“อย่าพูดถึงตวนมู่อันกัวอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นผู้ทรยศต่อราชวงศ์ต้าชุน หากต้องการเรียกเขาว่าท่านผู้นำอีกต่อไป เราจะถูกลงโทษด้วยกัน”
“หากพูดไป กองทัพของราชวงศ์ต้าชุนอยู่ในเมืองมานานแล้ว แต่พวกเขาก็ตั้งค่ายในถนนเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายมากในชีวิตของเรา พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้พลเมืองเดือดร้อน คิดดูแล้วก็ค่อนข้างดี”
“ถูกต้อง ! ” พลเมืองทุกคนเห็นด้วย ภาพที่พวกเขามองกลุ่มของซวนเทียนหมิงนั้นกลายเป็นคนใจดีมาก
เฟิงหยูเฮงอุ้มเด็กคนนั้นแล้วมองไปที่กลุ่ม นางเห็นหญิงชราเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ตัวสั่นจากความหนาว นางจ้องไปที่ไอน้ำเล็ดลอดออกมาจากหม้อบะหมี่ นางกลืนน้ำลาย บางทีนางอาจจะเป็นคนขอทาน
นางถามซวนเทียนหมิงอย่างเงียบ ๆ “ไม่ใช่วว่านโยบายของราชสำนักดีสำหรับภาคเหนือหรือ ? ยังมีคนขอทานได้อย่างไร ? ” ขณะที่พูดอย่างนี้นางมองไปที่หญิงชรา หลังจากนั้นไม่นานนางก็ส่ายหน้า “ดูเหมือนนางเป็นขอทาน เมื่อคนอื่นมองนางสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ”
ซวนเทียนหมิงมองไปในทิศทางนั้นจากนั้นก็โบกมือให้เจ้าของร้าน “มานี่”
เจ้าของร้านรีบไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่วิ่งเหยาะ ๆ เขากล่าวว่า “องค์ชายกินบะหมี่แค่ 4 ถ้วย ไม่ต้องจ่ายเงินพะยะค่ะ”
ซวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมอง “ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะให้เงินกับเจ้า ข้าแค่อยากถามคำถามกับเจ้าสองสามข้อ”
เจ้าของร้านเกาหัวแล้วก็ยืนต่อหน้าทั้งสองอย่างเชื่อฟัง ซวนเทียนหมิงชี้ไปที่หญิงชราแล้วถามเขาว่า “เจ้ารู้จักหญิงชราคนนั้นหรือไม่ ? นางมีเหตุผลที่ทำแบบนี้หรือไม่ ? ราชวงศ์ต้าชุนสนับสนุนภาคเหนือมาหลายปี ส่งเงินจำนวนมากมาที่นี่ ไม่เคยเก็บภาษีจากสามมณฑลภาคเหนือ ทำไมคนที่ดูเหมือนขอทานถึงปรากฏที่นี่”
เจ้าของร้านถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วกล่าวว่า “ข้าจะไม่ปิดบังฝ่าบาท นางไม่ใช่ขอทาน นางเป็นแค่คนจนที่ถูกไล่ออกจากบ้านของนางโดยลูกสะใภ้ เมื่อปีที่แล้วบุตรชายของนางพาภรรยากลับบ้านเมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วง คิดว่าอนาคตจะดีขึ้นและดีขึ้น น่าเสียดายที่สภาพบ้านดีขึ้น แต่ภรรยาพบว่านางแก่และไม่ต้องการดูแลนาง บุตรชายคนนั้นก็ไร้ค่าเช่นกัน เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ภรรยาของเขาพอใจ เมื่อได้รับคำสั่งให้ไล่มารดาของเขา เขาก็เตะมารดาออกบ้าน หญิงชราคนนั้นขอทานอาหารเป็นเวลาสองสามเดือนแล้ว เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดีที่นางไม่แข็งตายจากความหนาวพะยะค่ะ”
เจ้าของร้านก็โกรธมากในขณะที่พูดถึงผู้หญิงเลวคนนั้น แต่มันก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับความสับสนที่เกิดจากสิ่งที่เขาได้ยินซวนเทียนหมิงพูด เขางงและถามว่า “องค์ชายบอกว่าราชสำนักไม่เคยเก็บภาษีจากสามมณฑลภาคเหนือหรือพะยะค่ะ ? ”
——————————————————————————————————
* TN: มาฮวาเป็นขนมแป้งทอดที่ถูกบิด คล้ายปาท่องโก๋
** TN: การแปลโดยตรงจะเป็น “แม้ว่าเขาจะหนีพระได้ แต่เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากพระวิหารได้”