ภาคที่ 5 บทที่ 73 ข้าต้องการอ้อมกอด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หลายครั้งขบวนอันยิ่งใหญ่ล้วนเป็นการโอ้อวดอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำให้คนอิจฉาด้วย

รวมทั้งงานศพ

แต่ไม่รวมตระกูลฟาง

สิ้นเสียงผู้เฒ่า เสียงสะอื้นของสตรีทั้งหลายด้านข้างก็ลอยมา

“ให้มาดูเรื่องสนุกรึ? ให้มาดูเรื่องสนุกรึ?” พวกนางตะโกน

ผู้เฒ่ารู้สึกมึนงงสับสนอยู่บ้าง

จ้างคนหลายร้อยส่งไปยังสุสาน ขบวนใหญ่โตเช่นนี้ไม่ใช่ให้คนมาดูเรื่องสนุกหรือ?

“คนตายไปแล้ว ยังดูเรื่องสนุกอะไร” สตรีนางหนึ่งตาแดงเอ่ยขึ้น

“แต่ก่อนหน้านี้คนตายลงแห่ไปสุสาน ทุกคนก็ล้วนมาดูเรื่องสนุกนี่” ผู้เฒ่าผายมือเอ่ย

รู้สึกว่าสตรีเหล่านี้ยากจะเข้าใจ

“แต่นี่คือนายน้อยฟางนะ” สตรีอีกนางหนึ่งปิดหน้าร่ำไห้

แม้ไม่ได้อยู่ในขบวนแห่ศพ แต่ความเศร้าโศกของนางไม่น้อยกว่าคนเหล่านั้น

“ใช่แล้ว นายน้อยฟางอายุน้อยปานนี้”

“นายน้อยฟางคนดีปานนี้”

“นายน้อยฟางหน้าตาดีปานนั้น”

เสียงของสตรีและเด็กสาวมากกว่าเดิมดังขึ้น แต่ละคนๆ สีหน้าเศร้าสลด

อายุน้อยๆ ก็จากไป บุปผายามสะพรั่งถูกตีร่วงมักทำให้สตรีทั้งหลายที่โศกเศร้าสะเทือนอารมณ์ง่ายเศร้าโศกสงสารอยู่เสมอ ผู้เฒ่าไม่เถียงกับสตรีทั้งหลายเหล่านี้อีก แต่ก็ไม่ได้เห็นพ้องกับความโศกเศร้านี้ สำหรับเขาผู้เฒ่าที่เคยเห็นความเป็นความตายมากมากมายนักเช่นนี้ชินชาเสียแล้ว

“ที่โศกเศร้าไม่ใช่แค่นายน้อยฟางอายุน้อยเท่านั้น” บุรุษด้านข้างคนหนึ่งถอนหายใจ สีหน้าก็โศกเศร้าอยู่บ้างเช่นกัน “ที่โศกเศร้าคือท้ายที่สุดก็ยังยากหนีพ้นโชคชะตา”

โชคชะตาหรือ

ผู้เฒ่ามองไปยังขบวนแห่ศพ

“เดิมทีคิดว่าจะไม่ได้เห็นขบวนแห่ศพของตระกูลฟางอีกเร็วเช่นนี้” บุรุษคนนั้นเอ่ยขึ้น “ศัตรูประหารแล้ว โรคก็รักษาหายแล้ว นายน้อยตระกูลฟางใช้ชีวิตอยู่อย่างเจิดจ้างดงาม คิดไม่ถึง…”

เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะ ทนพูดต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง

คิดไม่ถึงชีวิตของคนหนุ่มก็ยังคงหยุดชะงักลงเช่นนี้ เด็กน้อยที่ตั้งแต่อายุห้าขวบก็ถูกมองว่าเป็นคนตายคนนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้นอนแก่ตาย ยังคงตายตั้งแต่ยังหนุ่มอายุน้อย

คำสาปนั่น…ดูท่าจะไม่ได้ถูกทำลาย ยังคงบังเกิดผลเช่นเดิม

โชคชะตาหนอ

ทุกคนล้วนยากหนีพ้น

พยายามอีกเท่าใดก็ไม่ไหว

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนโศกเศร้าสิ้นหวังอย่างแท้จริง

ผู้เฒ่าถอนหายใจยาวทีหนึ่ง ดูขบวนแห่ศพที่คล้ายมองไปไม่มีสุดปลายด้วยดวงตาแดงเรื่อ

……………………………………….

……………………………………….

“นายน้อยเสียแล้ว เต๋อเซิ่งชางก็ไม่มีแล้ว”

ผู้ดูแลเกาสะอื้นเอ่ยพลางมองสตรีที่เพิ่งลงจากม้าตรงหน้า

คุณหนูจวินดึงผ้าคลุมหน้าลง แม้ดวงตามีชีวิตชีวา แต่ถึงหมวกงอบกับผ้าตาข่ายจะปิดบังไว้ การเร่งเดินทางไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนก็ทำให้ใบหน้าของนางถูกฝุ่นดินย้อมไปทั่ว

“เขาไม่อยู่แล้ว นี่เกี่ยวอันใดกับเต๋อเซิ่งชางด้วย?” นางขมวดคิ้วเอ่ย

“เพราะเต๋อเซิ่งชางไม่มีเงินแล้ว” เสียงของฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้นด้านหลัง

คุณหนูจวินไม่ได้หยุดก้าวเท้าไปข้างหน้า ขานอ้อไปพลาง

“เต๋อเซิ่งชางช่วงก่อนหน้านี้ทำกิจการขาดทุน หนี้สูญ ดังนั้นน้องเล็กถึงรีบไปพบเศรษฐีใหญ่คนหนึ่งได้เงินก้อนใหญ่มา” ฟางอวี้ซิ่วตามไปพลางเอ่ยอย่างเชื่องช้า

“ถ้าอย่างนั้นเงินเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

“เพราะไฟไหม้ไปครึ่งถนน” ผู้ดูแลใหญ่เกาที่ขยับตามมาสองสามก้าวก้มศีรษะเอ่ย “นายน้อยจึงสั่งให้ชดใช้แก่ครอบครัวเหล่านั้น บ้านสร้างใหม่ คนตายฝัง คนเจ็บเลี้ยงดู ดังนั้นจึงใช้เงินไปมากมายนัก”

ดังนั้นเงินที่หมุนในร้านแลกเงินจึงไม่พออีกแล้ว

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้เขายืมนะ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “เขาปิดบังพวกเราเรียกผู้ดูแลทั้งหมดมา คืนเงินจ่ายหนี้ สะสางบัญชีร้านแลกเงินจนเรียบร้อย”

นางพูดพลางผายมือ

“หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงจากไปแล้ว พวกเรายังมีวิธีใดอีก”

คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่ง

“ส่วนผู้ดูแลและพนักงานเหล่านั้นของเต๋อเซิ่งซาง ที่แยกย้ายไปแล้วก็แยกย้ายไปแล้ว ข้าแย่ง…ไม่ใช่ข้าเชิญจำนวนหนึ่งมาใช้ก็เป็นเรื่องปกติยิ่งไหม” ฟางอวี้ซิ่วผายมือเอ่ยอีกครั้ง

คุณหนูจวินมองมาทางผู้ดูแลเกาอีกหน

ผู้ดูแลเกาก้มศีรษะต่ำลงอย่างละอายอยู่บ้าง

พูดไปๆ ก็มาถึงเรือนหลัก ฟางเฉิงอวี่ฝังไปแล้ว แต่ซุ้มพิธีศพในเรือนยังไม่ได้รื้อ ทุกหนทุกแห่งล้วนขาวพิสุทธิ์ไปหมด หญิงรับใช้เด็กรับใช้ที่เดินไปมาล้วนยังคงเช็ดน้ำตา ในโถงเซ่นไหว้ควันธูปอบอวล

คุณหนูจวินยืนหยุดเท้ามองดูโถงเซ่นไหว้ หญิงรับใช้สาวใช้ด้านข้างถือเบาะรองนั่งและผ้าเช็ดหน้าไหมเป็นต้นไว้รอนางร่ำไห้โฮเรียบร้อยแล้ว ทว่ารออยู่ครู่เดียวก็เห็นคุณหนูจวินหมุนตัวจากไป

ฟางอวี้ซิ่วกับผู้ดูแลเกาไม่ได้ขัดขวาง มองนางก้าวยาวไปนอกประตู

……………………………………….

……………………………………….

สุสานบรรพบุรุษตระกูลฟางอยู่ที่ซานตง ทว่านับแต่ตัดขาดกับซานตงด้านนั้น นายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางก็สร้างสุสานขึ้นที่หยางเฉิง

วันนี้ฟางเฉิงอวี่ก็ย่อมถูกฝังอยู่ในสุสานที่นี่เช่นกัน

มองไปจากบนเนินเขา ที่นี่ถูกสีขาวพิสุทธิ์บดบังไปแถบใหญ่ ลูกกตัญญูและภรรยากตัญญูนับไม่ถ้วนโขกศีรษะคำนับ เสียงกลองเสียงปี่ฉีกกรีดหัวใจ

เด็กหนุ่มเลี้ยงวัวที่นั่งอยู่บนเนินฟังอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล วัวที่อยู่ด้านข้างกัดเคี้ยวมงกุฏหญ้าที่เขาสวมอยู่บนศีรษะเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว

“น่าดูไหม?”

มีเสียงเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็จับมงกุฎหญ้าออกมาจากปากวัว ตบหัววัวเบาๆ วัวก็ไม่โกรธหันหัวหนีไปอีกด้านหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย

“น่าดูสิ” เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา เผยใบหน้ายิ้มแย้มให้คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหลังร่าง

ใต้แสงตะวันดวงตาสุกใสฟันขาวกระจ้างแสบตา

“พิธีศพนี่ข้าเป็นคนจัดการเองกับมือเชียวนะ กระทั่งธงขาวพวกนั้นก็เป็นข้าเชิญปรมาจารย์ช่างฝีมือที่ดีที่สุดของซานซีมาเจาะ” เขาเอ่ยท่าทางภูมิใจอยู่บ้างแล้วเลิกคิ้วอีก “สวยไหม?”

คุณหนูจวินมองลงไปจากเนินเขา

“ของไร้ชีวิตมีอันใดสวยไม่สวย คืนนี้ฝนห่าใหญ่ลงห่าหนึ่ง วันพรุ่งนี้สิ่งใดก็ไม่เหลือแล้ว” นางเอ่ย

“ข้าพูดถึงตอนนี้สิ” เด็กหนุ่มยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ เวลานี้ พริบตานี้งดงามก็เพียงพอแล้ว ไยต้องสนหลังจากนี้”

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา คล้ายมองภาพใต้เนินเขาจนเหม่อลอย

“อย่าก่อเรื่อง” นางพลันเอ่ยขึ้น ยกเท้าเล็กน้อย

เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักยิ้มเก็บมือกลับไป ปล่อยชายกระโปรงจีบซึ่งทิ้งตัวลงมาคลี่ออกของนาง

“บอกว่าเต๋อเซิ่งชางเงินทุนไม่พอไม่อาจหมุนได้ เจ้าดูแคลนตัวเจ้าเองหรือ?” คุณหนูจวินก้มศีรษะมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น

จากคำบอกเล่าเหล่านั้น เห็นชัดยิ่งว่าเป็นตัวเขาเองต้องการแจกจ่ายเงินของเต๋อเซิ่งชาง ต้องการให้เต๋อเซิ่งชางร้านแลกเงินแห่งนี้หายไปอย่างสมบูรณ์

“จิ่วหลิง เต๋อเซิ่งชางเดิมก็ไม่ควรมีอยู่” ฟางเฉิงอวี่หุบยิ้ม สีหน้าจริงจังเอ่ย “ท่านปู่ของข้า ท่านพ่อของข้า ท่านย่าของข้าทำถึงขั้นนี้ไม่ลง ข้าเป็นคนไร้หัวใจคนหนึ่ง ให้ข้าจบมันเอง”

เต๋อเซิ่งชางเดิมทีก็เป็นเครื่องมือที่ฉีอ๋องใช้หาเงินมาวางแผนก่อกบฏ

จุดนี้ยามฮ่องเต้ด่าไทเฮายอมรับเองกับปาก

ส่วนตอนแรกนายท่านผู้เฒ่าฟางรู้หรือไม่รู้ นายหญิงผู้เฒ่าฟางรู้ความจริงมากน้อยเท่าไร คุณหนูจวินไม่ได้ถามฮ่องเต้ ตอนนี้ก็ไม่คิดจะสืบสาวแล้วเช่นกัน

ก็ดังเช่นที่ฟางเฉิงอวี่ว่า เต๋อเซิ่งชางไม่ควรมีอยู่ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้มันหายไปแล้ว ก็เช่นนี้เถอะ

ไม่ว่าจะว่าอย่างไร นับแต่ตนเองมาถึง เงินของเต๋อเซิ่งชางก็ล้วนอยู่ในการควบคุมของนาง ให้นางใช้เช่นกัน

“ร้านแลกเงินไม่มีอยู่ได้ เจ้าทำไมต้องแกล้งตายด้วยเล่า?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยถาม “เพราะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นถึงจัดพิธีศพเช่นนี้จบอดีตไปหรือ?”

ไม่ได้รับความเป็นธรรม

เพราะเกิดมาแซ่ฟางโดยไร้ทางเลือกจึงต้องใช้ชีวิตพบพานความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ต้องรีดเร้นแรงกายแรงใจเพื่อกิจการของตระกูลฟาง

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ

คุณหนูจวินมองเขา ไม่เอ่ยวาจา

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก

“ก็ได้ มีนิดหนึ่ง” เขายื่นมือเกาปลายจมูกเอ่ยขึ้น “ดังนั้นข้าถึงขยันทำงาน”

ขยันทำงานหลังจากนั้นทำลายทิ้ง

“ก็เรียกว่าทำลายทิ้งไม่ได้ สำหรับตระกูลฟางแล้ว เป็นการถือกำเนิดใหม่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “ร้านแลกเงินของพี่สาวทั้งหลายหลังจากนี้ก็จะขาวสะอาด ทำกิจการอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุกสิ่งเริ่มใหม่ทั้งหมด”

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืนปัดมือ

“ข้าก็ถือกำเนิดใหม่แล้วเช่นกัน” เขาเอ่ยแล้วหันหน้ามองคุณหนูจวิน ดวงตาทอประกาย “จิ่วหลิง ข้ามีเรื่องมากมายนักที่อยากทำ เจ้ายังจำได้ไหม? ตอนนั้นข้าอ่านหนังสือไปมากมาย เวลานั้นข้าคิดเพียงรอข้าหายดี ข้าจะไปดูสถานที่เหล่านั้นประเพณีเหล่านั้นที่เขียนไว้ในหนังสือ ดูทิวทัศน์ภูเขาลำธารและผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เหมือนกับหยางเฉิง แล้วก็เจ้ารู้ไหมว่าที่จริงข้าอยากเป็นอะไรที่สุด?”

คุณหนูจวินมองเขา

“อะไร?” นางเอ่ยถาม

“ช่างตีเหล็ก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

คุณหนูจวินมองใบหน้าขาวผ่องที่ทำให้เด็กสาวทั้งหลายอิจฉาของเขาแล้วอดไม่ได้หัวเราะ

“นี่ ตอนนี้ข้าก็มีเรี่ยวแรงมากแล้วเหมือนกัน” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยเหมือนถูกรังแกอยู่บ้าง ยกแขนขึ้นมา “เจ้าจับดู”

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

ฟางเฉิงอวี่ถูกนางหัวเราะยิ่งไม่ยอม คว้ามือของนางมาจับบนแขนของตนเอง

“เจ้าดู” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินตบๆ แขนของเขาอย่างตั้งใจ

“ใช่ มีเรี่ยวแรงมากทีเดียว” นางเอ่ย

ฟางเฉิงอวี่ตอนนี้ถึงยิ้มปล่อยมือของนาง

“พูดขึ้นมา ข้าก็ไร้หัวใจจริงๆ เพื่อชีวิตใหม่ของตนเอง เพื่อใช้ชีวิตในอย่างที่ตนเองต้องการก็โยนทุกสิ่งทิ้งไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “พี่สาวทั้งสองถึงตอนนี้จะต้องด่าข้าว่าใจดำอยู่แน่ หากรู้ก่อนว่าข้าจะโยนท่านย่ากับท่านแม่ให้พวกนาง ตอนนั้นนางก็ควรแบ่งเงินไปเพิ่มอีกหน่อย”

พูดพลางก็มองคุณหนูจวินอีก

“แล้วก็วันนี้เวลานี้ จิ่วหลิงเจ้าไม่ควรออกจากเมืองหลวง ข้าควรปิดข่าวไว้”

วันนี้ฮ่องเต้ประชวร ราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทกำลังถูกตั้งข้อสงสัย ราชสำนักวุ่นวายคลื่นใต้น้ำโหมซัด

คุณหนูจวินได้ยินข่าวปุบกลับเร่งเดินทางวันคืนไม่หยุดพักจากเมืองหลวงกลับมาหยางเฉิงตั้งแต่เพลาแรก

คุณหนูจวินมองเขา ไม่เอ่ยวาจา

ฟางเฉิงอวี่ก็มองนางเช่นกัน

“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไม่อยากปิดข่าวสักนิด ต่อให้ข้ารู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะ ตอนนี้เรื่องที่เจ้าต้องทำสำคัญยิ่ง แต่ข้าก็ยังอยากบอกเจ้า” เขาเอ่ย “ข้าก็แค่อยากดูว่าเจ้าจะทิ้งทุกสิ่งมาดูข้าหรือไม่”

คุณหนูจวินมองเขา

“หลังจากนั้นเล่า?” นางเอ่ย

ฟางเฉิงอวี่มองนาง

“ขอกอดหน่อย” เขาเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

เวลานี้เขาจัดพิธีศพยิ่งใหญ่ ทำจนฮือฮา พร้อมกันนั้นก็ส่งข่าวไปถึงเมืองหลวงตั้งแต่ทีแรก

เวลานี้นางผ่านการประหัตประหารที่ไม่สำเร็จในวังหลวง ท่ามกลางอันตรายบังเอิญฮ่องเต้ในที่สุดก็ล้มป่วย แผนการที่วาดหวังและก้าวเดินอย่างยากลำบากทีละก้าวๆ มาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็จะถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินแล้ว

เขาบอกว่าตนเองจะตาย นางก็สะบัดมือผละตัวเร่งเดินทางมาอย่างไม่ลังเลสักนิด

ที่จริงเขาไม่บอก วิ่งไปเมืองหลวงบอกนางต่อหน้าก็ได้

ที่จริงนางจะไม่กลับมาก็ได้ เพราะนางรู้ว่าเขาไม่มีทางตายจริงๆ แล้วก้รู้ว่าต่อให้นางไม่กลับมา เขาก็จะอธิบายเรื่องทั้งหมดเช่นกัน

แต่เขาก็บอก ส่วนนางก็กลับมาแล้ว

ในเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุดทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่สุด

ตอนนี้ทำเรื่องนี้ หลังจากนั้นเล่า?

หลังจากนั้นเขาทำเพื่อขอกอดครั้งหนึ่ง?

คุณหนูจวินมองฟางเฉิงอวี่พลางยิ้มเล็กน้อย ก้าวหนึ่งก้าวเข้าไปหน้าร่างเขา ยื่นมือกอดเขาไว้

ศีรษะของฟางเฉิงอวี่สูงกว่านางแล้ว ดังนั้นนางจึงได้แต่กอดเอวเขา เขาก็ไม่ได้พิงหัวไหล่ของนางเหมือนเด็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ให้ศีรษะของนางพิงหัวไหล่ของตนเหมาะกว่า

ผู้ดูแลเกาที่ยืนอยู่ไม่ไกล มองคนสองคนที่กอดกันอยู่บนเนินเขาจากนั้นละสายตาออก แต่ฟางอวี้ซิ่วยังคงมองอย่างตั้งใจ

“โง่จริงเชียว” นางวิจารณ์

ทั้งที่อ้อมกอดนี่จะขอหลังจากนี้ในยามที่เหมาะสมกว่านี้ก็ได้แท้ๆ

จะต้องทำเรื่องไร้ความหมายเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้

“แต่” ฟางอวี้ซิ่วรั้งสายตากลับไป แล้วยิ้มนิดๆ อีกหน “ฉลาดเกินไป สนใจความหมายมากเกินไป ชีวิตคนก็น่าเบื่อเกินไปจริงๆ”

นางหมุนตัวเหยียบย่ำเงินกระดาษหนาเป็นปึกที่ร่วงเกลื่อนพื้นเดินเดินเอื่อยเฉื่อยจากไป

ดูเช่นนี้ ชีวิตคนก็ยังน่าสนุกยิ่งอยู่ นี่ก็คือความหมายที่ทำไมทุกข์อีกเท่าใดยากอีกเท่าใดก็ต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่กระมัง

เพราะว่า คุ้มค่า

……………………………………….