ตอนที่ 426 เป็นโอกาสสร้างผลงาน / ตอนที่ 427 ข้าเป็นห่วงเจ้า

หวนแค้นชะตารัก

ตอนที่ 426 เป็นโอกาสสร้างผลงาน

 

 

เหตุการณ์ที่เกิดในจวนตระกูลมู่ พอเห็นจูอวี้ซิ่วเขาก็นึกถึงท่าทางของนางตอนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขารู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที จนคิดว่าจูอวี้ซิ่วไม่สมควรเป็นชายาของเขา

 

 

จูอวี้ซิ่วน้อยใจมาก นางตะกายขึ้นจากพื้นแล้วออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว

 

 

ฟู่เยว่อี้เตรียมออกไปกับจูอวี้ซิ่ว แต่ถูกฟู่จิ่งเรียกให้หยุด จึงได้แต่กลับมานั่งที่ตำแหน่งเดิม

 

 

“เมื่อก่อนข้าประเมินเจ้าเด็กนี่ต่ำเกินไปจริงๆ นางไม่เพียงแต่เข้าไปในตระกูลมู่ ยังทำให้อวี้ซิ่วอับอายขายหน้า

 

 

วันหลังคงเกิดเรื่องอีก เยว่อี้ ข้ามอบหมายให้เจ้าจัดการนาง รักษาชีวิตนางไว้ แต่ไม่ให้นางวางอำนาจอีกต่อไป”

 

 

ฟู่เยว่อี้พยักหน้า “ลูกเข้าใจ ท่านพ่อวางใจ ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง”

 

 

“ซาหลัวรุกรานชายแดนหลายครั้ง และยึดครองเทียนเฉิง ฝ่าบาทคงส่งคนไปโจมตีซาหลัวที่ชายแดน ชิงเทียนเฉิงกลับ อี้หาน ข้าอยากให้เจ้าไป นี่เป็นโอกาสสร้างผลงาน

 

 

หากสามารถเอาชนะซาหลัวได้ วันหลังบารมีของเจ้าในกองทัพจะเพิ่มขึ้น และเหนือกว่ากองทัพตระกูลเฟิง

 

 

พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวกองทัพตระกูลเฟิง เจ้าต้องช่วงชิงโอกาสให้ได้ เวลานี้เฟิงเชี่ยนเป็นตัวขัดขวางที่สำคัญที่สุด ข้าจะค่อยๆ ยึดอำนาจทางการทหารกลับมา”

 

 

ฟู่อี้หานตั้งแต่เล็กก็ฝึกฝนในกองทัพ ติดตามฟู่จิ่งทำสงครามได้รับชัยชนะหลายครั้ง แม้ไม่ได้ออกรบนานแล้ว แต่เขาเชื่อมั่นในตัวเองมาก

 

 

สำหรับกองทัพตระกูลเฟิง เขาไม่เคยยอมแพ้ โดยเฉพาะเฟิงชิงสุ่ย เขายิ่งรู้สึกไม่อาจยอมแพ้ได้ ตัวเขาเป็นผู้ชายสูงเจ็ดฉือ มีหรือจะยอมแพ้ผู้หญิง

 

 

เฟิงเชี่ยนแก่แล้ว ลูกชายเก่งสู้เขาไม่ได้ มีคนเดียวที่พอจะใช้ได้ก็คือเฟิงชิงสุ่ย แต่เฟิงชิงสุ่ยเป็นผู้หญิง เขาไม่ยอมปล่อยให้เฟิงชิงสุ่ยชิงโอกาสนี้แน่

 

 

ฟู่จิ่งพยักหน้า หากเขาสนับสนุนฟู่อี้หาน เรื่องนี้คงสำเร็จ เวลานี้ซุ่นตี้ไม่มีคนที่เหมาะสมให้เลือก

 

 

เฟิงเชี่ยนก็แก่แล้ว และป่วยอยู่ ไม่สามารถออกรบได้

 

 

เหลือก็แต่เฟิงชิงสุ่ยที่สามารถรับภารกิจใหญ่ครั้งนี้ แต่เฟิงชิงสุ่ยเป็นหญิง เขาไม่เชื่อว่าซุ่นตี้จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปรบโดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้านของขุนนาง ฟู่อี้หานผ่านการฝึกฝนในกองทัพตั้งแต่เล็กและเป็นคนมีความสามารถ

 

 

ฟู่เยว่อี้ฟังคำพูดของฟู่จิ่งกับฟู่อี้หาน แล้วพูดขึ้นทันที “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ เฟิงเชี่ยนออกรบไม่ได้จริงๆ ฝ่าบาทจะให้องค์รัชทายาทออกรบหรือไม่ นี่ก็เป็นโอกาสที่องค์รัชทายาทจะสร้างบารมี”

 

 

พอได้ยินอย่างนี้ ฟู่อี้หานก็รีบปฏิเสธ พูดด้วยสีหน้าดูแคลน “เป็นไปไม่ได้ องค์รัชทายาทเมื่อก่อนเป็นลูกเลี้ยงของตระกูลกู้ อย่างมากก็เป็นคุณชายสูงศักดิ์ จะรบเป็นหรือ ส่งคนอย่างนี้ไปสนามรบก็เท่ากับส่งไปตาย ฝ่าบาทกว่าจะตามหาพระราชนัดดาเจอ มีหรือจะยอมให้เขาไปตาย”

 

 

ฟู่จิ่งเองก็พยักหน้า “ฟู่เฉินหรงไม่เคยออกรบ ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะ คงไม่สามารถรับมือกับซาหลัวได้ ซาหลัวสู้รบกล้าหาญ เชี่ยวชาญการขี่ม้า มีหรือที่ฝ่าบาทจะไม่รู้ เว้นแต่ว่าพระองค์อยากให้ฟู่เฉินหรงตาย ไม่งั้นคงไม่ให้ฟู่เฉินหรงออกรบแน่ นี่เป็นภารกิจที่อันตรายมาก

 

 

แม้ฟู่จิ่งจะรู้สึกว่าฟู่เฉินหรงฉลาด แต่สนามรบไม่เหมือนที่อื่น ต้องเข้าใจตำราพิชัยสงคราม ต้องรู้จักการใช้ทหาร ถึงฟู่เฉินหรงจะเคยอ่านตำราพิชัยสงคราม แต่ก็นแค่เข้าใจตำรา ไม่เคยผ่านการฝึกฝนในกองทัพ จึงเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 427 ข้าเป็นห่วงเจ้า

 

 

ฟู่เยว่อี้ครุ่นคิด รู้สึกว่าฟู่จิ่งพูดมีเหตุผล จึงไม่พูดอะไรอีก ฟู่เฉินหรงอาจจะถือโอกาสนี้สร้างบารมี แต่เขาก็ไม่มีความสามารถพอ

 

 

ฟู่เยว่อี้เพียงแต่ประหลาดใจ ฟู่เฉินหรงจะใช้วิธีใดมาพลิกสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อตนเอง

 

 

แม้เขาจะเป็นรัชทายาท แต่ขุนนางที่ยอมรับเขามีไม่มาก การจะตั้งหลักอย่างมั่นคงในแคว้นเจียงไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

เรื่องการออกรบไม่ใช่เรื่องที่นางใส่ใจ ฟู่จิ่งย่อมจัดการได้ เรื่องที่นางจะทำก็คืออาศัยกู้จื่อหยวน ได้ข่าวว่ากู้จื่อหยวนมาแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่สุดสำหรับนาง

 

 

“เยว่อี้ ทูตแคว้นเว่ยมาถึงแล้ว สายเรารายงานว่า กู้จื่อหยวนกับรัชทายาทแตกหักกัน เมื่อก่อนซูจิ่วซือเป็นคู่หมั้นของกู้จื่อหยวน พวกเขาคงมีเรื่องมีราวกันไม่น้อย เจ้าใส่ใจไว้ ใช้กู้จื่อหยวนให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่”

 

 

ฟู่จิ่งจัดการวางแผน มอบหมายให้ฟู่เยว่อี้รับมือกับกู้จื่อหยวน ให้นางดึงกู้จื่อหยวนเป็นพวก

 

 

“ท่านพ่อวางใจเถอะ เรื่องนี้ลูกถนัดที่สุด” ฟู่เยว่อี้รับปาก นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางถนัดที่สุดหรอกหรือ การพูดโน้มน้าวกู้จื่อหยวนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง ได้เวลาที่นางจะลงมือแล้ว

 

 

พอนึกได้อย่างนี้ แววตาของฟู่เยว่อี้ก็ตื่นเต้นอยู่ลึกๆ นางอยากรู้จริงๆ ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

 

 

 

 

หลังจากมู่หยางไปแล้ว ซูจิ่วซือก็นั่งหน้ากระจกให้ปิงซินเอาปิ่นปักผมออก ยังไม่ทันเสร็จ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังเพล้ง ปิ่นหยกตกพื้น หักเป็นสองท่อน

 

 

ปิงซินรีบคุกเข่าขอโทษ “คุณหนูโปรดอภัย”

 

 

ซูจิ่วซือมองผ่านกระจกเห็นฟู่เฉินหรงเดินเข้ามาในห้อง นางหันไปสีหน้าจนใจ “ดูสิเจ้าทำให้ปิงซินตกใจ จะชดใช้ปิ่นหยกให้ข้าหรือไม่”

 

 

“ชดใช้ให้สิบอันก็ได้” ฟู่เฉินหรงพูดจบก็โบกมือ ทำท่าให้ปิงซินออกไป ปิงซินรีบลุกไปทันที

 

 

พอเห็นปิ่นหยกหักเป็นสองท่อน ฟู่เฉินหรงก็ก้มลงหยิบ “ปิ่นหยกนี้เจ้าชอบหรือไม่”

 

 

“ชอบ”

 

 

“งั้นข้าเอาไปซ่อมให้”

 

 

พูดจบฟู่เฉินหรงก็เก็บปิ่นหยกไว้ในอกเสื้อ ซูจิ่วซือมองดูฟู่เฉินหรง “ดึกแล้วทำไมยังไม่กลับ”

 

 

เดิมทีคิดจะลาเจ้า นึกไม่ถึงว่ามู่หยางจะมาขัดจังหวะ ถ้าไม่บอกลา ข้าไม่อาจสงบใจได้” ฟู่เฉินหรงยิ้ม ยกม้านั่งมานั่งข้างซูจิ่วซือ “เจ้าทำต่อ ข้าดูอยู่ข้างๆ ก็ได้”

 

 

“ข้าอยากพักผ่อน”

 

 

“ข้านั่งเป็นเพื่อนเจ้าครู่หนึ่ง”

 

 

“ข้าไม่ต้องการให้ใครอยู่เป็นเพื่อน”

 

 

“ข้าต้องการ” ฟู่เฉินหรงตอบอย่างหน้าด้านๆ

 

 

มีสายตาจ้องมองนางอยู่ข้างๆ ซูจิ่วซือรู้สึกเขิน

 

 

นางเป็นคนหน้าบาง และเวลานี้ก็ดึกแล้ว นางยื่นมือไปดึงเครื่องประดับผมออก รู้สึกแก้มร้อนผ่าว

 

 

เพื่อปกปิดความรู้สึกอึดอัด นางจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “เรื่องไปรบ เมื่อกี้ข้ามาคิดอีกที ซาหลัวมีแม่ทัพชื่อถ่าปู้ ว่ากันว่าเป็นคนกล้าหาญรบเก่ง เขาเป็นคนยึดเทียนเฉิง เจ้าไม่เคยอยู่กองทหารมาก่อน จะต่อสู้กับเขาอย่างไร”

 

 

พูดเรื่องนี้ ซูจิ่วซือรู้สึกวิตกขึ้นมาทันที แม้นางสนับสนุนการตัดสินใจของฟู่เฉินหรง แต่นางก็ไม่มั่นใจ เป็นห่วงฟู่เฉินหรงมาก

 

 

“จิ่วซือ เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” ฟู่เฉินหรงพูดช้าๆ ทำท่าไม่ใส่ใจเรื่องนี้

 

 

ซูจิ่วซือส่ายหน้า “ข้าเชื่อเจ้า แต่เป็นห่วงเจ้า”