Sign in Buddha’s palm 298 (II) เจ้าสํานักผู้ วิเศษชิงหมาง? เป็นสงครามหรือสันติภาพ?  

“เอ๋?”  

“หลีหว่านก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธด้วยงั้นหรือ?” ท่าทีของซูฉินที่แสดงออกมาดูประหลาดใจ  

กว่าหนึ่งปีแล้วที่พรรคหมื่นดาบได้พาตัวหลีหว่านไปยังต่างดินแดนในฐานะร่างที่จะให้บรรพชนดาบเข้ายึดครอง  

เพื่อให้บรรพชนดาบเข้ายึดครองร่างได้ราบรื่นยิ่งขึ้น พรรคหมื่นดาบทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้เพื่อปรับปรุงฐานบ่มเพาะของหลีหว่าน จึงให้โอสถศักดิ์สิทธิ์และสมบัตินับไม่ถ้วนแก่หลีหว่าน  

เป็นผลให้ยามเมื่อซูฉินพาหลีหว่านกลับมา นางก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเสียแล้ว  

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดก็คือในระยะ เวลาเพียงหนึ่งปี หลีหว่านจะสามารถข้ามคอขวด ทั้งการแปรสภาพร่างกายแปรสภาพจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และแปรสภาพแก่นแท้แห่งพลัง จนสุดท้ายก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้  

“เป็นเพราะเจตจํานงดาบนั่นน่ะหรือ?”  

อาการนึกคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน  

นอกจากโอสถศักดิ์สิทธิ์จํานวนนับไม่ถ้วนแล้ว บรรพชนดาบยังได้ใส่เจตจํานงดาบไว้ในร่างของหลีหว่าน  

เจตจํานงดาบนี้เป็นมรดกของบรรพชนดาบที่สืบทอดต่อมาจากนักพรตหมั่นดาบ  

“นั่นสินะ มันเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยขอบเขต เซียนเทพปฐพี…” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็นึกออก  

เซียนเทพปฐพีเป็นตัวตนเช่นไร? ภายในชื่อมีตัวอักษรคําว่าเซียนด้วยซ้ํา แม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าเทพเซียนจริงๆ แต่ความสามารถนั้นก็น่าทึ่ง พรรคหมื่นดาบเดิมเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่กี่ลี้ แต่เพราะนักพรตหมื่นดาบไล่น้ําทะเลออก เพื่อขยายที่ดินของเกาะ มันจึงกลายเป็นแผ่นดินเล็กๆ ที่มีรัศมีหลายร้อยล้ํา  

วิธีดังกล่าวอยู่ไกลเกินจินตนาการของตํานานยุทธ  

แน่นอน  

การช่วยให้หลีหว่านตัดผ่านคอขวดของขอบเขตตํานานยุทธก็เป็นขีดจํากัดของเจตจํานงดาบนั้นแล้ว  

ท้ายที่สุดเจตจํานงดาบนี้ก็อยู่มานับพันปีแล้ว และบรรพชนดาบก็ดูดซับไปจนเกือบหมด ที่ทิ้งไว้ให้หลีหว่านมีเพียงเจตจํานงดาบที่พอช่วยผลักดันให้นางขึ้นไปสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้บ้าง ส่วนขอบเขตตํานานยุทธอีกทั้งเก้าระดับชั้นนั้น หลีหว่านต้องพึ่งพาตนเอง ก้าวไปทีละขั้น  

ดวงตาของซูฉินสงบลง ก้าวเท้าไปปรากฏตัวบนหอดูดาวในพระราชวังถัง  

หอดูดาวเป็นอาคารที่สูงที่สุดในพระราชวังถัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังมักจะมาที่นี่เพื่อดูดาว ทว่าซูฉินมาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการดูดวงดารา แต่มองลงไปดูแสงไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นในเมืองฉางอัน
ชายชราเฟ่ยยวี๋ ติดตามซูฉินไปติดๆ โดยไม่กล้า พูดอะไรออกมา  

ขณะที่เฟ่ยยวี๋ กําลังคิดว่าซูฉันคงจะเหม่อมองต่อไป  

ฉับพลัน ในตอนนั้นเอง  

ดวงตาของซูฉินก็ไม่ได้ขยับไปไหน แต่พูดอย่างสบายๆ ว่า “ท่านก็เฝ้ามองมาตั้งนานแล้ว เหตุใดยังไม่ออกมาเจอกันหน่อยเล่า?”  

คําพูดของซูฉินนั้นสงบนิ่งมาก ไม่มีความผันผวนใดๆ แต่เมื่อได้ยินไปถึงหูของชายชราเฟ่ยยวี๋ มันก็ไม่ต่างไปจากเสียงระฆังใบใหญ่  

“มีคนอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” หนังศีรษะของเฒ่าเฟ่ยยวี๋ ชาวาบ มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง  

ช่วงเวลาต่อมา  

ต่อหน้าสายตาที่มองอย่างเหลือเชื่อของชายชราเฟ่ยยวี๋  

ชายร่างสูงที่สวมชุดคลุมผู้วิเศษเรียบๆ ก็เดินออกมาจากความมืด  

ชายผู้นี้ไว้ผมยาว มีผ้าคลุมไหล่ที่พลิ้วไหวโบกสะบัด ตัวของเขากลมกลืนไปกับโลกหล้า แม้จะยืนอยู่ต่อหน้าเฟ่ยยวี๋ แต่เฟ่ยยวี๋กลับไม่รู้สึกตัวเลย  

“คนผู้นี้คือใครกัน?”  

เฟ่ยยวี๋ตั้งสติ แต่ความตื่นตระหนกก็ยังคงเกิดขึ้นภายในใจ  

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฟ่ยยวี๋ คิดว่ามีซูฉินอยู่เคียงข้างก็โล่งใจเล็กน้อย  

“สหายเต๋าท่านนี้มีสายตาที่ดี”  

ชายในชุดคลุมผู้วิเศษมองมาที่ซูฉิน รอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปากของเขา “สํานักผู้วิเศษ ชิงหมาง มาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ ขอคารวะสหายเต๋า”  

ชายที่ชื่อชิงหมางโค้งคารวะให้กับซูฉินเล็กน้อย  

ที่เขาโค้งคารวะ ไม่ใช่ว่ากลัวซูฉิน แต่เป็นเพราะความเคารพและยอมรับ  

“สํานักผู้วิเศษ?”  

“ชิงหมาง?”  

“เจ้าคือเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางใช่หรือไม่? ชายชราเฟ่ยยวี๋ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินชื่อนั้น จิตใจของเขาก็คํารามลั่นอุทานออกมาโดยไม่รู้  

“คาดไม่ถึงจริงๆ ผ่านมาสองพันปีแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนจดจําข้าได้…” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง เหลือบมองชายชราเฟยยวและกล่าวด้วยน้ําเสียงที่อ่อนโยน  

“เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง?”  

ซูฉินมองไปยังชายที่ใส่ชุดคลุมผู้วิเศษ ความคิดของเขาแล่นไปมา  

เขามักจะได้ยินเรื่องราวในต่างแดนจากนักพรต สํานักเอกะวิถีเป็นครั้งคราว
นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งสุดท้าย ยุทธภพต่างแดนก็สืบทอดมรดกต่อมากว่าหมื่นปี  

ในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดเห็นทีจะไม่พ้นเซียนเทพปฐพีสิบกว่าคน  

ทุกยุคทุกสมัยที่มีเซียนเทพปฐพี พวกเขาก็มักจะมีอํานาจครอบงําโลก แม้จะเป็นนิกายใหญ่ อย่างสํานักเอกะวิถีหรือนิกายเทพเจ้าสายฟ้า พวกเขาก็ไม่กล้าดูหมิ่นเซียนเทพปฐพี  

นอกจากเซียนเทพปฐพี่สิบกว่าคนนี้แล้ว เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ไม่ได้ห่างไกลมากนักจากตัวตนเหล่านั้น  

สองพันกว่าปีที่แล้ว เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง เรืองอํานาจกว่าสี่ร้อยปี มีทั้งอาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกําเนิด เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดในยุคสมัยนั้นที่มีแนวโน้มเป็นเซียนเทพปฐพีได้  

น่าเสียดาย ในท้ายที่สุด เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ล้มเหลวในการทะลวงขอบเขต ปราณเลือดเหี่ยวแห้ง จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็แตกสลายก ระจายออกไปเหมือนหมู่ดาวพร่างพราย  

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ได้ตกตายไป แต่รอดชีวิตมาได้ทั้งยังหลับใหลด้วยวิธีลับปิดผนึกตนเอง  

“เจ้ามาคนเดียวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?” ซูฉินไม่ได้กลัวเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง  

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนนี้เจ้าสํานักผู้วิเศษ ชิงหมางไม่ได้อยู่ในช่วงรุ่งเรืองของตนเอง ปราณเลือดเองก็ลดลง แม้จะเป็นเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางผู้มีชื่อเสียงเมื่อสองพันปีก่อน หากได้พบกับซูฉินในร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ก็คงต้องถูกฉีกทั้งเป็นชิ้นๆ  

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”  

“ทั้งโลกกล่าวกันว่าตํานานยุทธอาณาจักรถังล่า สังหารไร้ปรานี ไปที่ใดก็มักจะเข่นฆ่าทําลายไม่ต่างไปจากนิกายเฮยหยวน แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เคลื่อนไหวโดยไม่มีเหตุผล อย่างพรรคหมื่น ดาบที่ถูกทําลายลงก็เพราะพรรคหมื่นดาบนั้นจับตัวลูกหลานของเจ้าไป”  

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางหัวเราะเสียงดัง  

“โอ้?”  

ซูฉินลืมตาขึ้นและมองไปยังเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางอีกครั้ง  

เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะมีทัศนคติเช่นนี้  

อย่างไรเสีย สิ่งที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูดมาก็ไม่ผิด นับตั้งแต่ที่ซูฉินเปิดตัวมา เขาก็ไม่เคยหลีกเลี่ยงการฆ่าสังหาร แต่คนที่ถูกเขาฆ่าล้วนเป็นคนที่มายั่วยุเขา  

“ถ้าข้ามองไม่ผิด เจ้าน่าจะสัมผัสปลายขอบของขอบเขตนั้นแล้วใช่ไหมเล่า?” ดวงตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเป็นประกาย จ้องมองไปที่ซูฉินอย่างใกล้ชิด  

ในสายตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง แม้ร่างกายของซูฉินจะถูกระงับยับยั้งไว้อย่างเต็มที่ แต่เศษเสี้ยวกลิ่นอายที่ออกมาก็ทําให้ใจสั่น  

“ฮ่าฮ่า…”  

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ตอบคํา แต่ถามกลับ ไปว่า “เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ท่านมาถึงที่นี่คงไม่ใช่แค่มาเจอข้าเท่านั้นกระมัง”  

ซูฉินมองไปที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางด้วยรอยยิ้มบางๆ  

แม้ว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะเชื่อว่าซูฉิน ไม่ฆ่าผู้คนโดยไร้เหตุผล แต่สิ่งนี้ก็เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของเขาเอง ไม่ว่าเรื่องราว ต่างๆ จะมีน้ําหนักมากน้อยแค่ไหน แต่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะยอมเสี่ยงกับมันได้อย่างไร?  

“มิผิด”  

“ข้ามาที่นี่ มีอีกเรื่องด้วยจริงๆ” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา  

เมื่อชายชราเฟยย ที่อยู่ด้านข้างได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็เต้นถี่รัว แม้จะคิดด้วยเท้า เขาก็รู้ ว่าสิ่งที่ทําให้เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเดินทางมาด้วยตนเองนั้นจะต้องหนักหนาไม่น้อย  

“ว่ามา” ซูฉินพูดเบาๆ มองลงไปยังเมืองฉางอัน  

“ไม่มีอะไรยาก”  

เมื่อเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้ามาส่งข้อความแทนสหายเต่คนอื่นๆ อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นสงครามหรือสันติภาพ ก็มีเพียงสหายเต่ําเท่านั้นที่จะตัดสินใจ”