ตอนที่ 416 ความน่าสะพรึงกลัวของทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เจ็ด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

กลุ่มก้อนเมฆทะมึนปกคลุมอย่างหนาแน่นและสายฟ้ากำลังก่อตัว

ในเวลานี้ หมอกเยือกเย็นแผ่ไปทั่วทุกหนแห่งและบรรยากาศทั่วบริเวณดูหดหู่อย่างที่สุด

วาจาของฉินอวี้โม่ทำให้ผู้ชมเหตุการณ์ทุกคนรู้สึกจับใจไปตามๆกัน

ฉินเฟิงก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชม ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอสูรของนางจึงอุทิศตนให้กับผู้เป็นนายเช่นนี้

“เจ้าเมืองฉินเฟิง เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆหรือ?”

ซูวั่งชวนมองดูสถานการณ์ของมารยาพร้อมกับกำหมัดขึ้นมาอย่างแน่น เมื่อเห็นหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะพลังมหาศาลของทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่หก เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหัวใจเต็มไปด้วยความกังวล

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ พวกเขาและฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีและผูกพันกันอย่างมาก พวกเขาตั้งตารอเด็กน้อยในครรภ์ของฉินอวี้โม่อย่างที่สุด เขาไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับนางและบุตรในครรภ์ ทว่าก็ไม่ต้องการให้อะไรขึ้นกับมารยาเช่นกัน

แม้ว่ามารยาเป็นเพียงอสูรมายา ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็มองมันเป็นเหมือนกับมิตรสหายคนหนึ่ง

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ฉินเฟิงก็หันไปสบตากับอดีตผู้นำของชนเผ่าเมฆาครามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าแม่นางผู้นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสซูอย่างไร?”

แม้ในตอนที่เผชิญวิกฤตความเป็นความตายเมื่อหลายทศวรรษก่อน เขาก็ไม่เคยเห็นซูวั่งชวนแสดงท่าทีกังวลเช่นนี้

“อวี้โม่เป็นแขกคนสำคัญของชนเผ่าเมฆาคราม และก็เป็นดั่งสหายและคนในครอบครัวของเรา”

ซูวั่งชวนมิได้อธิบายให้มากความ ทว่ากล่าวตอบเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของซูวั่งชวน ฉินเฟิงก็พอจะเข้าใจบางอย่าง ซูวั่งชวนให้ความสำคัญกับความรู้สึกและความเที่ยงธรรมมาเสมอซึ่งเขาก็ทราบเป็นอย่างดี

“ไม่ต้องห่วง หากเกิดอันตรายที่ร้ายแรงจริงๆ ข้าจะพยายามปกป้องนางอย่างเต็มที่ที่สุด”

ต่อให้ซูวั่งชวนไม่เอ่ยสิ่งใด ฉินเฟิงก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว เขารู้สึกคุ้นเคยกับฉินอวี้โม่อย่างน่าประหลาด ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจที่จะช่วยนางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ฉินเฟิงคิดมาเสมอว่าตนเองเป็นคนเฉยเมยไม่แยแสสิ่งใดเป็นพิเศษ ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกเช่นนี้

“ขอบคุณท่านมาก เจ้าเมืองฉินเฟิง”

ซูวั่งชวนกล่าวอย่างจริงใจ ถึงแม้เขาจะทราบถึงความน่าสะพรึงกลัวของทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นเป็นอย่างดี ทว่าฉินเฟิงผู้นี้ก็ไม่ได้ธรรมดาเลย เขาเชื่อว่าหากฉินเฟิงลงมือทำอะไรสักอย่าง ฉินอวี้โม่จะต้องมีชีวิตรอดออกมาอย่างแน่นอน สำหรับบุตรในครรภ์ของนางและมารยานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น

ครืนนน ครืนนนน ครืนนนนน!

เสียงที่ดังสนั่นปะทุขึ้นมาส่งผลให้สีหน้าของทุกคนเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ

พลังของทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นน่าสะพรึงกลัวจนทำให้หัวใจของทุกคนสั่นระรัวทั้งๆที่มันยังไม่ปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น เสียงนั้นก็ดังติดต่อกันมาอย่างยาวนานถึงสองก้านธูปและกลุ่มก้อนเมฆในท้องฟ้าก็หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เจ็ดก็ยังไม่ปรากฏขึ้นมา เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าสายฟ้าเส้นต่อไปจะน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด

“นายหญิง มันมาแล้ว”

ทันใดนั้น เมื่อมารยาเงยหน้ามองขึ้นไปกลางอากาศและสัมผัสถึงทัณฑ์สายฟ้าที่กำลังจะผ่าลงมา มันก็กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“เราจะเอาชนะทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นนี้ไปให้ได้”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ ในเวลานี้หากมีซิวอยู่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย มันจะต้องเอ่ยวาจาที่ยโสโอหังออกมาอย่างแน่นอน บอกว่านี่เป็นเพียงทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดขั้นที่ต่ำต้อย ทว่ากลับกล้ากระทำการอุกอาจต่อหน้ามัน ช่างเป็นการรนหาที่ตาย

เปรี้ยง!

ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นและสายฟ้าเส้นหนาเท่าถังขนาดใหญ่ก็ฟาดตรงมาที่ฉินอวี้โม่และมารยา

สายฟ้าขั้นที่เจ็ดนี้ทรงพลังยิ่งกว่าสายฟ้าขั้นที่หกถึงสองเท่าตัวเสียอีก

ตู้ม!

เสียงปะทะดังขึ้นอีกครั้งเมื่อสายฟ้าสายที่เจ็ดกระทบกับม่านป้องกันของมารยาจนเกิดเสียงดังสนั่น

เปรี๊ยะ!

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงแตกหักของม่านป้องกันขึ้นมาและด้วยการปะทะเพียงครั้งเดียว ทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เจ็ดนี้ก็เกือบทำลายม่านป้องกันที่มารยาและฉินอวี้โม่สร้างขึ้นร่วมกันได้

“มารยา เตรียมตัว”

ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับมารยาและหายตัวไปอย่างกะทันหัน

ร่างของฉินอวี้โม่ที่ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงชั้นหนาปรากฏตัวใต้ม่านป้องกันราวกับนักผจญเพลิง พลังทั้งหมดแผ่จากมือบางของนางออกไปอุดรอยร้าวรั่วในม่านป้องกันขณะใบหน้าฉายแววความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน

การเสริมพลังของฉินอวี้โม่ทำให้สายฟ้าขั้นที่เจ็ดซบเซาลงเล็กน้อยและม่านป้องกันที่ได้รับความเสียหายก็ค่อยๆซ่อมแซมตนเองขึ้นมา

เปรี้ยง!

ราวกับรู้สึกได้ถึงการต่อต้านของฉินอวี้โม่ จู่ๆเสียงที่ดังสนั่นก็ปะทุออกมาอีกครั้งและพลังของสายฟ้าก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น

พรวด!

ฉินอวี้โม่กระอักเลือกคำโตออกมาพร้อมกับม่านป้องกันเหนือศีรษะที่พังทลายลง การโจมตีของสายฟ้าที่ทรงพลังทำให้ร่างของฉินอวี้โม่กระเด็นออกไปขณะเลือดที่กระอักออกมาก็สาดกระเซ็นอยู่กลางอากาศ

“ท่านแม่!”

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หานอวี้ก็อดอุทานออกมาไม่ได้ มันเตรียมพุ่งออกไปช่วยฉินอวี้โม่และมารยาในทันที

“หากเจ้าเข้าไปตอนนี้ มันมีแต่จะกระตุ้นให้ทัณฑ์สายฟ้าทรงพลังยิ่งขึ้นและความพยายามทั้งหมดของพวกนางก็จะสูญเปล่า”

ฉินเฟิงเอ่ยปรามหานอวี้ที่กำลังจะพุ่งออกไป

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง หานอวี้ก็กัดฟันแน่นทว่ายอมถอยหลังกลับไปแต่โดยดี บัดนี้สีหน้าของมังกรน้อยบิดเบี้ยวอย่างที่สุด

“นายหญิง!”

มารยาอุทานออกมาขณะพุ่งตรงออกไปรับร่างของฉินอวี้โม่ไว้โดยที่มีใบหน้าซีดเผือด

“ทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เจ็ดช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แรงโจมตีเมื่อครู่ทำให้พลังมายาทั้งหมดในร่างของข้าหายไปชั่วคราว หลังจากนี้ข้าเกรงว่ามันจะขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

ฉินอวี้โม่ชาไปทั่วร่างราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อตและรู้สึกไม่สบายตัวนัก นางฝืนส่งยิ้มให้มารยาและบ่งบอกว่านางพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว

“ไม่ต้องห่วง นายหญิง ข้าจะจัดการต่อเอง อยากรู้นักว่าทัณฑ์สายฟ้าที่ต่ำต้อยนี่จะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงใด”

หลังจากวางร่างของฉินอวี้โม่ลงด้านข้าง มารยาก็ยืนขึ้นและประจันหน้ากับสายฟ้าขนาดใหญ่ตรงหน้า คลื่นพลังจากร่างของมันก็พุ่งพรวดออกไปในทันทีและร่างกายของมันก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อน

หลังจากรวบรวมพลังทั้งหมดมารวมไว้ที่แขน ร่างของมารยาก็พุ่งออกไปปะทะกับสายฟ้าโดยตรง

ตู้ม!

เสียงการปะทะดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้า และเมื่อทุกๆคนเรียกสติกลับคืนมาได้ สายฟ้าขั้นที่เจ็ดหายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะฉินอวี้โม่และมารยาก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา

“ท่านแม่!”

หัวใจของหานอวี้สั่นไหวเล็กน้อย มันไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของฉินอวี้โม่และพยายามเอ่ยเรียกอีกครั้งทว่าไม่มีการตอบสนองใดๆ

“อวี้โม่!”

เวลานี้ใบหน้าของซูวั่งชวนก็บิดเบี้ยวเช่นกัน ยากที่จะกล่าวได้ว่าสายฟ้าขนาดใหญ่เมื่อครู่ได้ทำลายร่างของฉินอวี้โม่และมารยาจนแหลกสลายไปหรือไม่

“ดูนั่น ทำไมจู่ๆบนหอคอยน้ำแข็งจึงสว่างขึ้นมาล่ะ?!”

ทันใดนั้น เสียงตะโกนของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจของทุกคนให้มองไปตามทิศทางดังกล่าว

พลังอันน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากกลางอากาศอย่างกะทันหันส่งผลให้จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าหลายคนในบริเวณนั้นรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้และความรู้สึกจำนนต่อพลังแกร่งกล้าก็ก่อตัวขึ้นในหัวใจของพวกเขา

“พี่ซิว!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามนี้ หานอวี้ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยจากมันพร้อมกับความโล่งใจและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า

การเปลี่ยนแปลงทางกิริยาท่าทางอย่างกะทันหันของหานอวี้ทำให้ซูวั่งชวนซึ่งอยู่ด้านข้างถึงกับงุนงงไม่น้อยในขณะที่ฉินเฟิงก็มองมันด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ผู้อาวุโสซู ไม่ผิดแน่ นี่คือพลังของพี่ซิว-อสูรมายาประจำตัวของท่านแม่ ในเมื่อพี่ซิวปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ก็หมายความว่าท่านแม่ปลอดภัยแล้ว”

หานอวี้อธิบายอย่างง่ายๆขณะพุ่งตรงไปที่หอคอยน้ำแข็ง

ซูวั่งชวนพยักศีรษะและไม่ได้คิดมากนักก่อนตามหานอวี้ออกไปอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของฉินเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับเขานึกอะไรบางอย่างขึ้น ทว่าเขาส่ายศีรษะเบาๆเพื่อสลัดความคิดนั้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้ที่อยู่ในเผ่าอสูรจะมาปรากฏกายที่นี่ได้อย่างไร?

“หานอวี้ การที่เจ้าไม่ปกป้องนายหญิงเช่นนี้ ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี?”

น้ำเสียงทรงพลังน่าเกรงขามดังขึ้นและร่างของซิวก็พุ่งออกมาจากหอคอยน้ำแข็ง ขณะอุ้มฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งใบหน้าซีดเผือดและไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนของมัน

“พี่ซิว มันเป็นเพราะข้าเองที่ไร้ความสามารถ ดังนั้นจึงปกป้องท่านแม่ไว้ไม่ได้ ข้ายินดีรับบทลงโทษทุกอย่าง”

เมื่อได้ยินวาจาของซิว มังกรน้อยก็ไม่รอช้าและเอ่ยปากยอมรับการลงโทษของซิวแต่โดยดี ตราบใดที่ฉินอวี้โม่ปลอดภัย ต่อให้มันต้องตายมันก็ไม่นึกเสียใจ

“ซิว อย่ากล่าวโทษเสี่ยวอวี้เลย ข้ายืนกรานที่จะทำเช่นนี้เอง”

ฉินอวี้โม่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา แม้ว่าใบหน้าของนางจะซีดเซียว พลังของนางก็กำลังฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

“ท่านควรจะเปลี่ยนนิสัยเช่นนี้ได้แล้ว”

ซิวมองฉินอวี้โม่ที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างจนปัญญา ในแววตาของมันมีความรู้สึกบางอย่างที่ผู้อื่นไม่สังเกตเห็น แน่นอนว่ามันทราบถึงนิสัยของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดีและทราบว่านางจะต้องเลือกตัดสินใจเช่นนี้ในสถานการณ์ดังกล่าว

ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะบุคลิกนิสัยเช่นนี้ของฉินอวี้โม่ที่ทำให้มันและอสูรมายาตัวอื่นๆยอมจำนนต่อนางอย่างเต็มใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันก็ยังมีความกลัวหลงเหลือในใจ หากมันไม่สัมผัสถึงภยันตรายรุนแรงจากโลกภายนอกและเคลื่อนไหวออกมาได้ทันเวลา เกรงว่ามันคงจะสูญเสียทั้งมารยาและฉินอวี้โม่ไปเสียแล้ว

การลงทัณฑ์สายฟ้าขั้นที่เจ็ดของมารยาในครานี้ดูจะแตกต่างไปจากปกติมาก พลังของมันไม่ต่างจากทัณฑ์สายฟ้าขั้นเก้าแม้แต่น้อย แม้ว่าทั้งฉินอวี้โม่และมารยาจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อต้านทานด้วยกันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต้านทานได้อย่างสมบูรณ์

“มารยาล่ะ?”

เมื่อไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของมารยา ฉินอวี้โม่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“กำลังทะลวงพลังขั้นสุดท้ายอยู่บนหอคอยน้ำแข็ง ดูเหมือนว่าภายในเวลาประมาณครึ่งชั่วยาม มันก็น่าจะออกมาได้ เมื่อถึงตอนนั้น ด้วยการปกป้องคุ้มครองของมารยา หากเผชิญหน้ากับฉินเหยียน ต่อให้ท่านจะเอาชนะไม่ได้ การหลบหนีออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

ซิวกล่าวอธิบายและความโกรธของมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“แล้วเจ้าล่ะ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินวาจาของซิว วาจาเหล่านั้นฟังดูราวกับว่าซิวจะต้องกลับไปเก็บตัวอีกครา

“การวิวัฒนาการของข้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์และจะต้องใช้เวลาอีกประมาณปีครึ่ง ครานี้ข้าเพียงสัมผัสถึงวิกฤตและฝ่าออกมาก่อนเท่านั้น”

ซิวยิ้มอย่างใจเย็นและอธิบาย การวิวัฒนาการของมันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มันเพียงสัมผัสถึงวิกฤตที่เป็นอันตรายต่อฉินอวี้โม่และฝ่าออกจากกระบวนการวิวัฒนาการเป็นการชั่วคราว

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางรู้ดีว่าหากถูกรบกวนในขณะที่ฝึกยุทธ์ มันจะส่งผลต่อกระบวนการพัฒนาทั้งหมดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นางไม่เอ่ยสิ่งใดให้มากความ แน่นอนว่านางเข้าใจลักษณะอารมณ์ความคิดของซิวอย่างชัดเจน นางไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดและเข้าใจความคิดของอสูรประจำกายได้

“จริงสิ ลูกของข้าล่ะ?”

จู่ๆเมื่อถึงนึกบุตรในครรภ์ สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ตึงเครียดทันทีและคิดที่จะเอื้อมมือไปแตะท้องของตนเองโดยสัญชาตญาณ

“ในที่สุดก็นึกถึงลูกได้แล้วสินะ”

ทว่าก่อนที่จะสัมผัสหน้าท้องได้ ซิวก็หยุดมือของนางไว้

“ซิว บอกข้ามาเถอะ ลูกของข้าเป็นอย่างไร?”

เมื่อถูกซิวหยุดมือไว้ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น

.