ตอนที่ 429 หนึ่งชั่วยามกับมือหนึ่งข้าง
เมื่อเห็นว่าสิ่งใดบรรจุอยู่ในกล่องใส่อาหาร หลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นยืนมองหน้าคนส่งอาหารทันที “บอกมา ใครเป็นคนใช้ให้เจ้ามาส่งที่นี่?”
แต่เมื่อเด็กหนุ่มผู้ส่งอาหารพบว่าด้านในกล่องนั้นบรรจุมือมนุษย์ เขากลับมีความตกตะลึงยิ่งกว่าหลินเป่ยเฉินเสียอีก
หลินเป่ยเฉินต้องถามย้ำคำถามเดิมถึงสองรอบ
เด็กหนุ่มจึงได้ตอบกลับมาด้วยความตื่นกลัว “ขะ… ข้าน้อยไม่เกี่ยวนะขอรับ… ข้าน้อยไม่รู้เรื่องด้วย มีคนผู้หนึ่ง… เขาว่าจ้างข้าน้อยด้วยราคา 1 เหรียญเงิน ให้นำกล่องอาหารใบนี้… มาส่งให้กับคุณชาย… ข้าน้อยเข้าใจว่ามันเป็นกล่องอาหารธรรมดาเท่านั้น…”
เห็นได้ชัดว่าคนส่งอาหารกำลังตื่นกลัวสุดขีด
ดูจากสีหน้าแล้วไม่ได้โกหกแน่ๆ
ฟังจากสำเนียงเสียงพูด ดูเหมือนจะเป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งโดยกำเนิด
“แล้วคนที่ส่งมอบกล่องใบนี้ให้กับเจ้า มีหน้าตาเป็นอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินใจเย็นลงมาบ้างแล้ว จึงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องตกใจ ลองคิดทบทวนดูให้ดี พี่ชายคนนี้ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เด็กหนุ่มมีเหงื่อไหลเต็มใบหน้า เขาขมวดคิ้วขบคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ให้คำตอบออกมา “บุคคลผู้นั้นไม่เตี้ยไม่สูง ไม่อ้วนไม่ผอม สวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงิน หน้าตาราบเรียบธรรมดา ไม่มีหนวดไม่มีเครา ผิวไม่ขาวไม่ดำ… นอกจากนี้ ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ตอบแบบนี้ไม่ต้องตอบยังจะดีเสียกว่า
บุคคลที่มีรูปพรรณสัณฐานตามที่กล่าวมา มองดูทั่วเมืองหยุนเมิ่ง น่าจะหาได้ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก
“ข้าน้อยไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ นะขอรับ…” เด็กหนุ่มคนส่งอาหารยังคงพูดด้วยความหวาดกลัว “ปล่อยข้าน้อยไปเถิด เงินค่าจ้าง 1 เหรียญเงินนั้น ข้าน้อยจะมอบให้คุณชายก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปรับเหรียญเงินมาถือไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง เรียบร้อยแล้วจึงโบกมือไล่อีกฝ่าย “ไสหัวไปได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินถือเหรียญเงินอยู่ในมือ
เขาถอนหายใจใส่เหรียญเงินนั้น
เด็กส่งอาหารไม่ได้โกหกจริงๆ
หลินเป่ยเฉินตวัดสายตาหันไปมองมือมนุษย์ในกล่องอาหารอีกครั้ง
ดูจากข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือและลักษณะผิวหนังที่ค่อนข้างหยาบกร้าน เจ้าของมือข้างนี้น่าจะมีอายุอยู่ในช่วงวัย 30 ถึง 40 ปี และเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ ผ่านการออกกำลังอย่างหนักมาตลอดชีวิต
หลินเป่ยเฉินลองนึกถึงผู้คนที่เขารู้จัก แต่ก็นึกไม่ออกว่าใครกันที่ควรจะเป็นเจ้าของมือข้างนี้
มันจะเป็นมือของใครกันนะ?
ระหว่างที่คิดมาถึงตรงนี้ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
หวังจงวิ่งหน้าตาตื่นกลับเข้ามาพร้อมกับตะโกนโหวกเหวกว่า “นายน้อยขอรับ นายน้อยขอรับ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วขอรับ นายน้อย…”
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์
หวังจงนะหวังจง
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินคำพูดประโยคเหล่านี้ ก็คือตอนที่หวังจงวิ่งเข้ามาแจ้งว่าคฤหาสน์ตระกูลหลินถูกเจ้าหน้าที่จากทางการบุกยึดแล้ว
หวังว่าครั้งนี้คงไม่มีอะไรเลวร้ายถึงขั้นนั้นนะ…
“ไม่ต้องโวยวาย มีเรื่องอะไรรีบพูดออกมา?”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
หวังจงไม่เสียเวลาประจบประแจงแม้แต่น้อย เขาไม่เสียเวลาถอดรองเท้าก่อนเดินเข้ามาในบ้านพักด้วยซ้ำ “นายน้อยขอรับ เกิดเรื่องขึ้นกับกงกงแล้วขอรับ…”
เกิดเรื่องขึ้นกับกงกงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?
คนที่ต้องไปรายงานควรเป็นจักรพรรดิในวังหลวงไม่ใช่หรือ?
อ้อ จริงด้วยสิ
หวังจงหมายถึงกงกง
หัวหน้ากลุ่มอันธพาลประจำเมืองที่พวกเขาจ้างเอาไว้หาข่าวนั่นเอง
คิดถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็หัวใจกระตุกวูบขึ้นมาอีกครั้ง
“บอกมา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เขาถามทั้งที่พอจะเดาเรื่องราวบางอย่างได้อยู่แล้ว
หวังจงรายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวล “บ่ายวันนี้มีกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายบุกเข้าไปในบ้านพักของกงกง และจัดการลักพาตัวพ่อแม่ รวมถึงภรรยาของเขาไปหมดสิ้น กงกงรีบนำลูกน้องไปช่วยเหลือ เขากลับหายตัวไป ไม่ส่งข่าวติดต่อมาอีกเลย หวังจงเป็นหนี้บุญคุณกงกงยังไม่ได้ชดใช้ จึงนำกำลังพลออกไปตามหาโดยไม่ได้รายงานนายน้อยก่อน เพราะไม่อยากให้นายน้อยไม่สบายใจ”
“แต่ไม่นานหวังจงก็ได้รับทราบข่าวว่ากงเมิ่ง ซึ่งเป็นบุตรสาวของกงกงก็ถูกลักพาตัวไปเช่นกัน กงเมิ่งเคยเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองด้วยขอรับ นางมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่ก็ยังพลาดท่าเสียทีฝ่ายตรงข้าม ตอนนั้นเองที่หวังจงรู้ว่าเรื่องนี้จะไม่รายงานนายน้อยไม่ได้แล้ว หวังจงจึงรีบกลับมารายงานนายน้อยนี่แหละขอรับ”
กงเมิ่งอย่างนั้นหรือ?
นั่นมันชื่อของเด็กสาวที่หลินเป่ยเฉินเคยประทับใจ
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่านางแสดงความสามารถในการยกกระถางทองคำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้หน้าตาจะไม่ได้สวยหยาดเยิ้ม แต่ก็มีเสน่ห์จากความมั่นใจในตนเองที่เปี่ยมล้น กงเมิ่งถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เด็กสาวประเภทเดียวกับเยว่หงเซียง คือเป็นคนราบเรียบไม่มีอะไรโดดเด่น ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน อาศัยเพียงความสามารถพิเศษเฉพาะตัวจึงกลายเป็นที่รู้จักของผู้คน
“ดูนี่สิ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าไปทางกล่องอาหาร
หวังจงหันไปมองตามสายตาของนายน้อย ดวงตาของเขาหรี่ลง ก่อนที่พ่อบ้านชราจะอุทานออกมาด้วยความตกใจกลัว “นี่มัน… นี่มันมือของกงกง หวังจงแน่ใจว่านี่ต้องเป็นมือของกงกงแน่นอน นายน้อยขอรับ… ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินจึงได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
“ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเป็นฝีมือของเจียงจี้หลิวแน่นอนเลยขอรับ…” หวังจงตัวสั่นเทาด้วยความโกรธแค้น
หลินเป่ยเฉินหันไปมองกล่องอาหารด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง
เขายกถาดวางอาหารชั้นแรกออก
ด้านล่างเป็นถาดวางอาหารชั้นที่ 2 มีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางเอาไว้
บนกระดาษเป็นข้อความที่ถูกเขียนด้วยเลือดสีแดงสด…
“หนึ่งชั่วยามกับมือหนึ่งข้าง”
ลายมือน่าเกลียด แต่ก็อ่านได้อย่างไม่มีปัญหา
นี่คือกระดาษธรรมดาสามัญ สามารถพบได้ทั่วไปในร้านเครื่องเขียนทั่วเมืองหยุนเมิ่ง
ไม่สามารถใช้เป็นเบาะแสตามหาคนร้ายได้เลย
“หนึ่งชั่วยามกับมือหนึ่งข้างอย่างนั้นหรือขอรับ?”
หวังจงทวนประโยคบนกระดาษด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ตราบใดที่นายน้อยไม่ยอมลงนามในสัญญามอบความตาย อีกหนึ่งชั่วยามต่อจากนี้ มันก็จะตัดมืออีกข้างของกงกงใช่ไหมขอรับ? นี่มัน… แล้วไหนจะพ่อแม่ของกงกง ภรรยาของเขา บุตรสาวของเขาอีก… เจียงจี้หลิวนับเป็นตัวชั่วร้ายเกินไปแล้วจริงๆ”
แผนการที่ชั่วร้ายนี้เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้
เพราะมันเป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินก็เคยอยากทำเช่นกัน
“นายน้อยขอรับ เราไปจัดการไอ้เจ้าเจียงจี้หลิวคนนี้กันเลยดีกว่า”
หวังจงพูดด้วยความโกรธแค้น “เราไปตามอาจารย์ติง อาจารย์ฉู่ อาจารย์พาน ให้ไปเล่นงานมันเสียเดี๋ยวนี้ รับรองว่าพวกเราผนึกกำลังกัน เจียงจี้หลิวไม่มีทางสู้พวกเราได้เด็ดขาด”
นับตั้งแต่ที่หน่วยสืบข่าวถูกก่อตั้งขึ้นมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำงานโดยไม่ได้ออกหน้าออกตา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหวังจง กงกงและบรรดาอันธพาลในหน่วยสืบข่าว ต่างก็เป็นไปอย่างสนิทสนมกลมเกลียว เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นกับพวกเขาคนใดคนหนึ่ง คนที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าปฏิเสธ พูดว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้ไปยืนพูดต่อหน้า เจียงจี้หลิวก็ไม่มีทางยอมรับว่ามันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เด็ดขาด”
อีกอย่าง นอกจากเจียงจี้หลิวแล้ว ก็ยังมีอีกสามมือกระบี่องครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉินด้วยเช่นกัน
เผชิญหน้าคนเดียวน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าจะให้พวกเขาไปเผชิญหน้า 4 องครักษ์พร้อมๆ กัน ก็เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังศพตนเองแล้ว
มีเพียงติงซานฉือคนเดียวเท่านั้นที่พอจะสู้กับจูปี้ฉีได้อย่างสูสี
แต่ตัวหลินเป่ยเฉินกับฉู่เหิน ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดมือกระบี่อีกสองคนที่เหลือแน่นอน
และที่สำคัญก็คือ พวกเขาไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเจียงจี้หลิวเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ
ต่อให้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่จากทางการก็ไม่มีประโยชน์
ในทางกลับกัน นั่นจะทำให้กงกงและครอบครัวถูกฆ่าตายเร็วกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหนึ่งวางแผนมาเป็นอย่างดี
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
หวังจงกัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นใจ “นายน้อย นายน้อยต้องไม่ลงนามในสัญญาส่งมอบความตายนี้นะขอรับ เจียงจี้หลิวไม่ใช่ตัวดี มันจะต้องวางแผนบางอย่างอยู่แน่นอน เรื่องของกงกง ปล่อยให้เป็นหน้าที่หวังจงจัดการเอง หวังจงจะอธิบายให้พี่น้องหน่วยสืบข่าวทุกคนเข้าใจ… หากครอบครัวของกงกงต้องเสียชีวิตทั้งหมด หวังจงจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว…”
“เจ้าจะออกไปสู้กับพวกมันหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้าพ่อบ้านชราด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้าจะเอาอะไรไปสู้? เจ้ามีเพียงตัวคนเดียว ชีวิตเดียว ยังไม่ทันจะชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ ก็คงถูกพวกมันฆ่าตายโดยไม่รู้ตัวแล้ว”
หลังหยุดชะงักไปเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็มองหน้าหวังจงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยนะว่าบุคคลที่หน้าไม่อายอย่างเจ้า ก็ยังหลงเหลือความกล้าหาญและความรับผิดชอบติดตัวอยู่ไม่น้อย”
หวังจงพึมพำว่า “นายน้อยขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินโบกมือปฏิเสธ “ลืมไปซะ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากลงนามในสัญญาความตายนี่หรอกนะ แต่ว่าข้ามีวิธีแก้ปัญหานี้ในแบบฉบับของข้าเอง…”
เมื่อหยุดพูดเพื่อใช้ความคิดอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มก็กล่าวต่ออีกครั้ง “เอาล่ะ เจ้าไปบอกหน่วยสืบข่าวทุกคนว่า ขณะนี้ ให้พวกเขาอยู่เฉยๆ อย่าเพิ่งทำอะไรเด็ดขาด แค่ปกป้องดูแลตัวเองให้ปลอดภัยก็พอ และขอให้รอฟังข่าวจากข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
หวังจงยิ้มกว้างออกมาทันที “นายน้อยมีหนทางช่วยเหลือผู้คนแล้วใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า ตอบว่า “บัดนี้ก็ยังไม่มี แต่เรายังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่พวกมันจะเริ่มตัดมืออีกข้างของกงกงไม่ใช่หรือ ข้าจะใช้เวลาระหว่างนี้แหละคิดหาหนทางเอง”
สองหนุ่มต่างวัยยืนปรึกษาหารือกันอยู่อีกสักพัก พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร
หวังจงรีบเดินทางไปแจ้งข่าวแก่หน่วยสืบข่าวประจำเมืองตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินนั่งลงที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง แล้วรอยยิ้มแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เราตั้งใจว่าจะไม่ช่วยเหลือใครโดยเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันเด็ดขาด แต่ทำไมพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ถึงได้ทำใจอยู่เฉยๆ ไม่ได้สักทีนะ?”
เขานำโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูแอปแผนที่
ในช่องค้นหา หลินเป่ยเฉินพิมพ์คำว่า ‘กงกง’
แล้วเด็กหนุ่มก็กดค้นหา