ตอนที่ 306 วิชาหิมะบิน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 306 วิชาหิมะบิน โดย Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงหรี่ตามองดูการเปลี่ยนแปลงของชายตรงหน้า จากนั้นสีหน้าก็กลับมาเฉยเมยเช่นเดิม

กวนจื่อยางเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก!

ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พอเขาขยับแขน กำปั้นลูกหนึ่งก็ทุบออกไป

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น!

คลื่นอากาศสั่นไหวตรงหน้าหลิ่วหมิง เงากำปั้นสีดำปรากฏออกมาพร้อมกับพลังมหาศาล

“เพล้ง!”

หลิ่วสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ฝ่ามือสีขาวยื่นออกมาจับเงากำปั้นไว้ นิ้วทั้งห้าออกแรงขยี้จนเงากำปั้นแตกกระจายออกมา

พลังไร้รูปโจมตีลงบนตัวหลิ่วหมิง แต่เพียงแค่มีเสียงดังราวกับใบไม้แห้งหล่น จากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก

ประจักษ์ชัดว่าพลังแค่นี้ ไม่สามารถทำอะไรเกราะหนังมังกรบนตัวได้

ไม่ว่าจะเป็นกวนจื่อยางที่อยู่ตรงหน้า หรือว่าคนอื่นๆ ที่อยู่นอกม่านแสง พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งขึ้นมา

“เป็นไปไม่ได้! เจ้ารับการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายได้!” ในที่สุดกวนจื่อยางก็ได้สติ หลังจากที่เขาคำรามด้วยความโมโหแล้ว ก็ขยับแขนทั้งสองจนดูพร่ามัว เงากำปั้นจำนวนมากปรากฏตรงหน้า แต่พอสั่นไหวแค่ทีเดียว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ขณะนั้นเอง มีเสียงแหลมดังแสบแก้วหูดังมาจากอากาศ

เงากำปั้นสีดำพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงติดต่อกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ กลับเลิกคิ้วและหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ปล่อยกำปั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

“ตู๊ม!!” บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น

เงากำปั้นจำนวนมากหยุดชะงักราวกับถูกกำแพงต้านทานไว้ และค่อยๆ ระเบิดตัวออกมาท่ามกลางแรงสั่นสะเทือน คลื่นอากาศทั้งหมดปกคลุมอากาศเหนือลานกว้างเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด

ขณะนั้นเอง มีเงาร่างเคลื่อนไหวท่ามกลางคลื่นสั่นสะเทือน หลิ่วหมิงค่อยๆ ก้าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน จนอยู่ห่างจากกวนจื่อยางไม่กี่จั้ง จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันแล้วกดไปยังด้านหน้า

“ตู๊ม!”

เงาฝ่ามือยักษ์สีดำขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ ปรากฏอยู่เหนือศีรษะกวนจื่อยาง และค่อยๆ กดลงมา

ชายหนุ่มรู้สึกว่าอากาศบริเวณนั้นอึดอัดขึ้นมาทันที พลังบางอย่างที่ทำให้เขาหวาดกลัวกดทับลงมา จนทำให้แสงสีดำที่ห่อหุ้มร่างเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา

“ฝันไปเถอะ!”

แม้จิตใจของกวนจื่อยางจะร่วงหล่นลงไป แต่เขากลับคำรามออกมาด้วยความโมโห แสงสีดำพร่ามัวกลายเป็นหัววัวขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว เปลวไฟสีเงินพวยพุ่งในเบ้าตาทั้งสอง จากนั้นก็แหงนหน้าพ่นอะไรบางอย่างขึ้นบนอากาศ

คลื่นแสงสีดำพวยพุ่งออกมาต้านทานฝ่ามือยักษ์ไว้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

อย่างที่รู้ว่าพลังอันแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เกิดจากการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับกระดูกมังกรภายในร่างที่ค่อยๆ กลั่นออกมา จนดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าก่อนศึกเผ่าเจ้าสมุทรหนึ่งเท่าขึ้นไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกร่างระดับเดียวกัน ก็ยากที่จะรับการโจมตีนี้ได้

แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับใช้เคล็ดวิชาต้านทานพลังของเขาในตอนนี้ได้ ดูท่าร่างกายคงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

แต่มาถึงเวลานี้แล้ว หลิ่วหมิงไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป เขากระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างเงียบๆ เสียงมังกรคำรามออกจากร่างของเขา ไอดำพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง และกลายร่างเป็นอสรพิษสีดำ มันแยกเขี้ยวหมุนวนรอบตัวเขาอยู่ครู่หนึ่ง

และขณะนั้นเอง ลำแสงสีดำได้เปล่งประกายบนหลังมือของฝ่ามือยักษ์สีดำที่กดทับลงมา สัญลักษณ์มังกรที่ดูเหมือนจะมีชีวิตได้ปรากฏออกมา ผลึกแสงเปล่งประกายแวววาว และกระพริบอยู่ในลำแสงสีดำลึกลับ

ชายหนุ่มรู้สึกว่าพลังเหนือศีรษะเพิ่มขึ้นมาโดยฉับพลัน เขาทำเสียงฮึดฮัดและกระอักเลือดออกมา เงาร่างหัววัวแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

มือยักษ์สีดำพร่ามัวเข้ามา พอมันอยู่ห่างศีรษะชายหนุ่มไม่กี่ชุ่น ก็หยุดชะงักลงในทันที

“สหายกวน ท่านออมมือแล้ว!” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และหดแขนกลับมา ฝ่ามือยักษ์สีดำแตกสลายไป แต่แอบตกใจกับความรุนแรงของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอยู่ไม่หยุด

ใบหน้าของกวนจื่อยางไร้ซึ่งเลือดฝาด เขามีสีหน้าเสียใจเป็นอย่างมาก ผ่านไปนานสองนานถึงควักถุงหนังออกมาจากอก และโยนไปยังฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็พุ่งทะยานหนีไป

หลิ่วหมิงคว้าถุงหนังไว้ พอส่งพลังจิตไปกวาดดู ก็ค้นพบว่าข้างในเต็มไปด้วยผลึกหินสีดำขนาดเท่าเล็บมือเกือบร้อยก้อน เขาจึงรีบเก็บด้วยความดีใจ

อย่างที่รู้ว่า ผลึกปีศาจนี้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่หัวปีศาจชอบกินมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถชดเชยพลังชีวิตที่สูญเสียไปได้

หัวบินของเขาตนนั้น เดิมทีมีพลังระดับของเหลว แต่ภายหลังได้รับบาดเจ็บมานาน ทำให้สูญเสียพลังชีวิตไปมาก ถึงได้ลดระดับลงมาเช่นนี้ ผลึกปีศาจเหล่านี้คงมีประโยชน์กับมันไม่น้อย

ขณะนี้ กลุ่มคนที่อยู่นอกม่านแสงกลับรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

หญิงสาวผมยาวที่ชื่อโหรวเอ๋อร์ ก็อ้าปากค้างจนไม่อาจหุบได้ในชั่วขณะ

หานหลีกลับมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที

“ดูท่าศิษย์พี่กวนจะดูเบาศัตรูไปหน่อย วิชาเรียกปีศาจที่เขาแสดงเมื่อครู่ กลับไม่ใช้อาวุธจิตวิญญาณใดๆ เลย ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้” ชายหนุ่มที่มีอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าปีฝืนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

“ฮึ! อย่าหลอกตัวเองเลย แม้ศิษย์พี่กวนจะยังไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณ แต่คนผู้นี้ก็ยังไม่ได้ใช้สิ่งของใดๆ เช่นกัน ต่อให้อาวุธจิตวิญญาณของศิษย์พี่กวนจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่คงไม่อาจต้านทานคนผู้นี้ได้นาน จุ๊ๆ! สมกับเป็นคนที่อาจารย์หยวนกล่าวชมจริงๆ ที่แท้ก็มีพลังที่ไม่ธรรมดา เกรงว่าร่างฝึกระดับของเหลวขั้นปลายก็ไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้” โหรวเอ๋อร์เหยียดปากเล็กๆ กล่าว นางจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยตาที่เป็นประกาย ราวกับว่ากำลังมองสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

ชายหนุ่มที่กล่าวออกมาในก่อนหน้านั้น เพียงแค่เบะปากยิ้มอย่างขมขื่น

ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่ชื่อโหรวเอ๋อร์นี้ จะมีสถานะไม่ธรรมดา ทำให้คนเหล่านี้ไม่อาจล่วงเกินนาง

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

แสงสีขาวม้วนออกจากตัวหานหลี จากนั้นร่างของเขาก็ทะยานเข้าไปในม่านแสง พอเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวกลางอากาศที่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่มากนัก จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นโดยไม่กล่าวอะไรออกมา

“สหายหาน ในที่สุดท่านก็มา เชิญลงมือเถอะ!” หลิ่วหมิงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรับสิบกระบวนท่า เพียงแค่รับหนึ่งกระบวนท่าได้ ข้าก็ยอมรับให้เจ้าเข้าเจดีย์กักปีศาจแล้ว” ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“กระบวนท่าเดียว?” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“ไม่ผิด! ดูจากการลงมือของเจ้าเมื่อครู่ หากรับกระบวนท่านี้ของข้าได้ อีกเก้ากระบวนท่าก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา” ร่างของชายหนุ่มเริ่มแผ่ไอเย็นสะท้านออกมา

พอกล่าวจบ เขาก็อ้าปากพ่นตะเกียงโบราณสีดำออกมาอันหนึ่ง มือข้างหนึ่งทำท่ามือแล้วชี้ไปที่มัน

“ฟู่!”

ตะเกียงโบราณถูกจุดสว่างขึ้นมา เปลวตะเกียงสีดำปรากฏออกมา และพร่ามัวขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ทั้งหมด

ตะเกียงโบราณส่งเสียงดังหวึ่งๆ และหายเข้าไปในร่างของชายหนุ่มอย่างไร้ร่องรอย

ตอนนี้หานหลีถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง และเริ่มร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว

เดิมทีหลิ่วหมิงจ้องมองการกระทำของชายหนุ่มด้วยสีหน้าปกติ แต่พอได้ยินคาถาที่ชายหนุ่มร่ายออกมา ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“วิชาหิมะบิน! ไม่คิดว่าเจ้าจะฝึกฝนวิชาระดับสูงนี้ได้ เจ้าคิดว่าข้าจะให้เวลาเจ้าแสดงออกมาหรือ!”

พอกล่าวจบก็มีเสียงดัง “ฟู่ๆ!”

หลิ่วหมิงชกกำปั้นผ่านอากาศออกไปสองทีอย่างไม่ลังเล

แม้จะไม่มีเงากำปั้นปรากฏออกมา แต่พลังไร้รูปทั้งสองกลับปะทะลงบนเปลวตะเกียงที่ห่อหุ้มชายหนุ่มติดต่อกัน

แต่ฉากที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตื่นตะลึงได้ปรากฎขึ้นแล้ว

พริบตาที่พลังไร้รูปทั้งสองปะทะลงบนเปลวตะเกียงสีดำ มันก็จมหายเข้าไปในนั้นราวกับดินที่จมลงท้องทะเล โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นเลย

หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ครู่ต่อมา เขาก็ท่ามือด้วยมือทั้งสอง คมวายุยักษ์สีเขียวปรากฏขึ้นตรงหน้า เพียงแค่สะบัดข้อมือ มันก็กลายเป็นเส้นสีเขียวหายวับไป

เปลวตะเกียงบนร่างชายหนุ่มค่อยๆ สั่นไหว จากนั้นเส้นสีเขียวก็จมหายเข้าไปในนั้น และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นเลย

หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีฟ้าเป็นจุดๆ ก่อตัวขึ้นตรงหน้า แท่งวารีสีฟ้าปรากฏออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ

“ไป!”

หลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำ แท่งวารีที่ดูคล้ายกับหอกกลายเป็นลำแสงสีฟ้าพุ่งยิงออกไป มันพร่ามัวแค่ทีเดียวก็แทงลงบนเปลวตะเกียงอย่างรุนแรง และกะจะแทงทะลุร่างของชายหนุ่ม

แต่เปลวตะเกียงเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นแท่งวารียักษ์ก็หายไปในนั้นโดยไร้สุ้มเสียง แต่ครั้งนี้ หลังจากเปลวตะเกียงเปล่งประกายไม่กี่ที มันก็ระเบิดตัวกลายเป็นจุดแสงสีดำและสลายไป

ขณะนี้เอง เสียงร่ายคาถาของชายหนุ่มก็หยุดชะงักลง มือทั้งสองประกบกันตรงอกและแยกออกอีกครั้ง เกล็ดน้ำแข็งสีดำที่ดูไม่เตะตากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมากลางอากาศ มันพร่ามัวพุ่งขึ้นฟ้าแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าพายุเย็นสะท้านม้วนเข้ามาจากทั่วทิศ จากนั้นก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลางอากาศ เกล็ดหิมะจำนวนมากร่วงหล่นลงมา

ตอนแรกมันมีขนาดใหญ่ไม่เกินเมล็ดถั่ว แต่พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่หลายชุ่น พื้นผิวของมันแวววาวระยิบระยับ ขอบแหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พอถูกพายุพัดเข้าหากัน ก็ส่งเสียงดังราวกับโลหะกระทบกัน

พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงเช่นนี้ ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา มือข้างหนึ่งตบลงบนตัวอย่างรวดเร็ว

“ฟู่!”

แสงสีแดงเปล่งประกายขึ้นตรงหน้าอก พริบตาเดียวก็กลายเป็นม่านแสงสีแดงปกคลุมร่างเขาไว้

เกล็ดหิมะจำนวนมากแผ่ไอเย็นสะท้าน และม้วนตัวเข้าหาม่านแสง

แสงแวววาวเปล่งประกายบนม่านแสง ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังราวกับฝนตกกระทบรั้วไม้ไผ่

ช่วงเวลานั้น ราวกับว่ามีคมมีดอันแหลมคมพยายามทิ่มแทงม่านแสงอย่างสุดชีวิต ขณะเดียวกันไอเย็นสะท้านรอบด้านก็เริ่มก่อตัวเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ

………………………………………