บทที่ 241 เหล่าเชลยศึกผู้มาจากอาณาจักรอ้าวเทียน
ทุกคนในอาณาจักรจันทราต่างได้ยินเสียงคำรามของมังกรที่เป็นของหลิงว่านจุน
“บุตรหลานแห่งสายเลือดมังกรสวรรค์?”
คำ ๆ นี้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนทันทีที่ได้ยินเสียง
ทุกคนรู้แล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอาณาจักรจันทรา เมื่อข่าวการตายของเหลียงซานแพร่กระจายออกไป
ชนชั้นล่างโดยทั่วไปไม่ได้สนใจมากนักว่าใครจะเป็นจักรพรรดิ เพราะไม่ว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์หรือเสียผลประโยชน์ใด ๆ
จะมีก็แต่คนชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่สนใจในการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนผู้นำหมายถึงการเปลี่ยนนโยบายหรือรูปแบบการบริหารอาณาจักรใหม่ ซึ่งมันค่อนข้างจะมีผลกับพวกเขาไม่ทางอ้อมก็ทางตรง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เหล่าคนชนชั้นสูงเป็นกลุ่มคนที่ได้เปรียบที่สุด เนื่องจากพวกเขาค้นพบมานานแล้วว่าคนที่กลายเป็นจักรพรรดินั้นเป็นคนจากคฤหาสน์สราญรมย์แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ยังมีบางคนก็รู้แล้วเหมือนกันว่าเป็นหลิงยี่เทียนที่จะขึ้นครองบัลลังก์
ซึ่งข่าวนี้ทำให้พวกเขาทุกคนอยากรู้อยากเห็นมาก เพราะเคยมีข่าวลือว่าหลิงยี่เทียนไม่สามารถบ่มเพาะได้ จักรพรรดิใหม่ผู้นี้จะไม่อ่อนแอเกินไปงั้นหรือ?
อย่างไรก็ตามเมื่อเสียงคำรามของมังกรแผดดังออกมาจากคฤหาสน์สราญรมย์ทุกคนก็สงบความคิดของตัวเองลง ด้วยการปรากฏตัวของบุตรหลานแห่งสายเลือดมังกรสวรรค์แม้ว่าตอนนี้จักรพรรดิใหม่ผู้นี้จะอ่อนแอ แต่พวกเขาก็ยังต้องยำเกรง
หลายคนที่มีความคิดไม่ซื่อก็ล้มเลิกในทันที แม้แต่คนจากตระกูลเหลียงก็ไม่ได้พูดอะไร ความจริงตระกูลเหลียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนิ่งเงียบ พวกเขาเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่น่าสังเวชของเหล่าตระกูลที่ล้มเหลวในการบ่มเพาะเต๋าดวงใจจักรพรรดิดีว่าจุดจบของพวกเขานั้นจะไม่น่าพิศมัยสักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขากลับไม่ถูกกดขี่แม้แต่น้อย ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตามก็ยังมีหลายคนในเมืองหลวงที่ยังคงอยู่ในอาการตื่นตระหนก
คนเหล่านี้คือเหล่าคนที่ยังไม่ทันได้หลบหนีไป เช่น หยุนตงไห่ ซึ่งเป้นลูกชายของเจ้าเมืองหมอกเมฆา และคนอื่น ๆ
ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียว และหัวใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความกลัว พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงยี่เทียนจะทำอะไรกับพวกเขาหลังจากขึ้นสู่บัลลังก์
หลังจากคิดอยู่นาน หยุนเหลียนชานก็พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “เราต้องขายหอการค้าของเรา และไปขอขมาพวกเขา ด้วยวิธีนี้มันอาจรับประกันความอยู่รอดของตระกูลของเราได้”
หยุนตงไห่ก็คิดแบบเดียวกัน ปัญหาก็คือหอการค้าของพวกเขาใหญ่เกินไปใครจะสามารถซื้อและดูแลมันต่อไปได้? เกี่ยวกับเรื่องนี้พวกเขาพบว่ามีเพียงตระกูลมี่ ที่ในช่วง 2-3 ปีนี้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นทุกวัน น่าจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะซื้อหอการค้าของพวกเขาได้
ในขณะที่ผู้คนในเมืองกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเองและตระกูล
ตอนนี้ข้ารับใช้ใหม่ทั้ง 17 คนร่วมกับหลิงฉุยฟงได้พาเชลยศึกกองทัพศักดิ์สิทธิ์มาถึงที่คฤหาสน์สราญรมย์แล้ว
เมื่อตอนที่พวกเขามาถึงทางเข้าคฤหาสน์สราญรมย์ พวกเขาเองก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกร แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน
เมื่อกองทัพศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่คฤหาสน์สราญรมย์ บรรดาข้ารับใช้ใหม่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
ขนาดกองทัพศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอ้าวเทียนยังหนีไม่รอด ฉะนั้นเรื่องที่พวกเขาต้องอยู่ในสภาพแบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องน่าอับอายสักเท่าไหร่จริงไหม?
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง หลิงตู้ฉิงก็ออกมาพร้อมกับหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียน
“พวกเจ้าทุกคนอยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา ถ้าหากว่าข้าฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดทุกคนในตอนนี้มันคงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายเกินไป” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “แต่อันที่จริงข้าเองก็สามารถฝึกฝนคนของข้าให้แข็งแกร่งเท่ากับหรือมากกว่าพวกเจ้าได้เช่นกัน แต่มันก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นข้าจะให้พวกเจ้าเลือกว่าจะจำนนต่อข้าหรือว่าพวกเจ้าต้องการที่จะตาย?”
พอได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของอู่หยุนจี๋เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีพร้อมกับพูดว่า “พวกเราทุกคนเป็นทหารของอาณาจักรอ้าวเทียน ถ้าเรายอมจำนนต่อท่าน เราจะกลายเป็นคนทรยศและต้องเผชิญกับการไล่ล่าขององค์จักรพรรดิ แถมพวกท่านเองจะต้องเดือดร้อนอย่างหนัก รู้แบบนี้ท่านยังอยากให้พวกเราเป็นคนของท่านอีกงั้นเหรอ?”
“ถึงแม้พวกเจ้าไม่เข้าร่วมกับข้า ท่านพ่อของข้าก็จะสังหารพวกเจ้าทั้งหมดอยู่ดีและจักรพรรดิของเจ้าก็จะต้องมาแก้แค้นข้าคืนเหมือนเดิม สรุปแล้วไม่ว่าจะยังไงฝั่งข้าก็มีปัญหา ฉะนั้นเจ้าจะเลือกยังไงดี? จะร่วมกันฝ่าฟันปัญหาไปกับข้าหรืออยากจะหนีปัญหาโดยการเลือกที่จะตาย พวกเจ้าก็เลือกเอา” หลิงยี่เทียนยิ้ม “แต่อันที่จริงพวกเจ้าก็ไม่ควรต้องกังวลอะไรให้มันมากมายหรอก ต่อจากนี้ข้าจะขยายความแข็งแกร่งของอาณาจักรเราทันที และในอนาคต อาณาจักรอ้าวเทียนจะเป็นเพียงหินรองเท้าของข้า”
อู่หยุนจี๋ขมวดคิ้ว “นี่พวกท่านรู้รึเปล่าว่าอาณาจักรอ้าวเทียนแข็งแกร่งแค่ไหน?!”
หลิงยี่เทียนหัวเราะและพูดว่า “ข้าไม่สนหรอกว่าอาณาจักรอ้าวเทียนจะแข็งแกร่งแค่ไหน เพราะถึงยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีถ้าหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับท่านพ่อของข้า”
อู่หยุนจี๋และคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็พูดไม่ออกเช่นกัน
“จักรพรรดิอาณาจักรอ้าวเทียนของเจ้าอยู่ที่ระดับอะไรของขอบเขตสวรรค์?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
“ระดับที่ห้า!” อู่หยุนจี๋ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลิงตู้ฉิงตะคอก “ระดับการบ่มเพาะเพียงแค่นี้แต่พวกเจ้ากลับกล้าพูดว่าแข็งแกร่ง ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำคือตอบว่าเจ้าจะยอมจำนนหรือไม่ ถ้าไม่ข้าจะได้นำพวกเจ้าไปเป็นอาหารดอกบัวปีศาจกระหายโลหิต ถึงตอนนั้นดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตอาจมีประโยชน์มากกว่าพวกเจ้า!”
เมื่อเผชิญกับคำขู่ของหลิงตู้ฉิง อู่หยุนจี๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาพูดว่า “ได้! พวกเรายอมจำนน!”
ในฐานะแม่ทัพ เมื่ออู่หยุนจี๋เอ่ยคำว่า ‘ยอมจำนน’ บรรดาทหารคนอื่น ๆ ที่ติดตามเขาก็ย่อมปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ เนื่องจากบรรดาทหารก็ไม่มีใครที่อยากจะโดนจับตัวไปให้ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตกิน เมื่อตกลงกันได้แล้วกองทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2,500 คนที่เหลือได้ลงนามในสัญญากับหลิงยี่เทียนภายใต้คำแนะนำของหลิงตู้ฉิง
หลังจากอู่หยุนจี๋ทำสัญญาเสร็จ หลิงตู้ฉิงก็ปล่อยให้หลิงยี่เทียนรับช่วงคนเหล่านี้ต่อ เพราะงานของเขาเกี่ยวกับหลิงยี่เทียนในช่วงเริ่มต้นนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ทางด้านของหลิงยี่เทียน หลังจากที่เขาถามชื่อของอู่หยุนจี๋แล้วเขาก็สั่งว่า “เนื่องจากกองทัพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้ามาก่อน ฉะนั้นข้าจะมอบหมายให้เจ้าได้ดูแลพวกเขาต่อไป! ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ ดังนั้นหากข้ามีอะไรเพิ่มเติมข้าจะเรียกให้เจ้ามาเข้าพบในภายหลัง ส่วนท่านปู่ทวด ข้าคงต้องขอรบกวนท่านช่วยจัดสถานที่ให้พวกเขาอยู่ให้ข้าที”
“ไม่มีปัญหา!” หลิงเจิ้งสงหัวเราะ
เมื่อพูดจบ หลิงเจิ้งสงก็ออกไปพร้อมกับกองทัพศักดิ์สิทธิ์
หลิงยี่เทียน เมื่อเห็นว่าปู่ทวดของเขาออกไปแล้ว เขาก็ดึงตัวหลิงว่านจุนกลับไปที่เรือนของเขาเพื่อปรึกษาหารือเรื่องราวที่พวกเขาจะต้องทำกันต่อไปในอนาคตเกี่ยวกับการดูแลอาณาจักร
ส่วนทางด้านหลิงตู้ฉิง เมื่อเห็นว่าเรื่องราวทุกอย่างจัดการเรียบร้อย เขาก็ไม่สนใจสิ่งที่ทั้งสองพี่น้องทำอีก เขาแบกเจิ้นป่าเจ่าที่ถูกพันธนาการไว้และเดินเข้าไปในเรือนของหลิงไช่หยุน
ในลานเล็ก ๆ ของหลิงไช่หยุน นอกเหนือจากหลิงไช่หยุนแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงก็มักจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน
นอกเหนือจากการเป็นสารถีของหลิงตู้ฉิง ตอนนี้เสี่ยวเยว่เฟิงยังรับผิดชอบดูแลหลิงไช่หยุน ในฐานะคนรับใช้ของสาวน้อยคนนี้
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิง เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูดว่า “นายท่าน ท่านมาที่นี่แล้ว!”
“ท่านพ่อ!” หลิงไช่หยุนอุทานขึ้น “ทำไมท่านถึงยังเก็บไอ้คนนี้ไว้อีก?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เพราะเขามีแก่นแท้เลือดนกฟีนิกซ์หยดหนึ่งในร่างกายของเขา ซึ่งมันมีประโยชน์กับเจ้า นี่คือเหตุผลที่พ่อนำเขามาที่นี่”
“อ๋อ?” หลิงไช่หยุนทำเสียงประหลาดใจ
“อย่างไรก็ตามเมื่อพ่อตรวจสอบเขาอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าสายเลือดนกฟีนิกซ์ของเขานั้นไม่ได้สูงมากนักและมันไม่มีประโยชน์สำหรับเจ้า” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “แต่ในทางกลับกันมันมีประโยชน์มากสำหรับ เฟิง”
“นายท่านจะให้ข้า?” เสี่ยวเยว่เฟิงตะลึง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อข้ามีโอกาสข้าจะช่วยให้เจ้าควบแน่นร่างกายของฟีนิกซ์ที่แท้จริงได้? ด้วยแก่นแท้เลือดของนกฟีนิกซ์ที่อยู่ในตัวเขาเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่เจ้าจะควบแน่นร่างกายได้ แต่ไช่หยุนน้อย พ่อต้องการเลือดของเจ้าสัก 2-3 หยด!”
“ไม่มีปัญหา ถ้าให้เฟิง!” หลิงไช่หยุนพยักหน้า “ว่าแต่ท่านพ่อ เฟิงจะกลายเป็นนกฟีนิกซ์รึเปล่า?”
“เมื่อร่างกายที่แท้จริงของฟีนิกซ์ถูกควบแน่นและหลอมรวมกับแก่นแท้เลือดนกฟินิกซ์ แน่นอนว่านางย่อมจะกลายเป็นนกฟีนิกซ์ได้!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะเบา ๆ
“เยี่ยมเลย งั้นเฟิง ถ้าเจ้ากลายเป็นนกฟินิกซ์แล้วเจ้าให้ข้าขี่หลังบินไปหน่อยได้ไหม?” หลิงไช่หยุนพูดอย่างตื่นเต้น
“ข้าจะถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุดถ้าหากคุณหนูได้มาขี่หลังของข้า!” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูด
เสี่ยวเยว่เฟิงคิดมาตลอดว่า หลิงไช่หยุนเป็นบรรพบุรุษของนางที่จุติลงมาบนโลกนี้อีกรอบหนึ่งถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งนางก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะอย่างน้อย ๆ สิ่งที่นางมั่นใจที่สุดคือสายเลือดของหลิงไช่หยุนจะต้องสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นางจึงเต็มใจที่จะเป็นคนรับใช้ของหลิงไช่หยุน มากกว่าที่จะเป็นคนรับใช้ของหลิงตู้ฉิง