บทที่ 409 ไม่ห่าง

บัลลังก์พญาหงส์

​อี๋เฟยย่อมเทียบกับไทเฮาไม่ได้ ต่อให้ในใจของฮ่องเต้จะให้ความสำคัญกับอี๋เฟยมากกว่าก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นฮ่องเต้ หากกล้าทำเรื่องที่อกตัญญูเช่นนี้ก็ต้องได้รับเสียงดุด่าว่ากล่าวจากคนทั่วทั้งใต้หล้าเช่นกัน

ดังนั้นอี๋เฟยจึงถูกกักตัว ตราบจนหลังคลอด

แต่ถาวจวินหลันรู้สึกว่ารอจนถึงตอนนั้นจริง หากว่าอี๋เฟยอยากได้รับความรักความโปรดปรานจากฮ่องเต้อีกก็ยากดั่งปีนสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว

พูดไปก็ถือว่าแปลกประหลาด หลังจากที่ผ่านพิธีในครั้งนี้ไปแล้วนั้นไทเฮาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ถาวจวินหลันไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะผลงานของหมอหลวงหรือพิธีนั้นกันแน่ หรือว่าจะมีผลจากทั้งสองฝ่าย?

และในขณะเดียวกันก็มีข่าวแพร่กระจายมาจากเมืองหลวง ระหว่างทางที่คังอ๋องกลับวังหลวงก็ถูกลอบทำร้าย

เมื่อถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้ก็พาลคิดไปว่านี่คือแผนที่ฮองเฮาตั้งใจเอามาใช้ปะทะกับเรื่องนี้ ในเมื่อคังอ๋องถูกลอบทำร้าย เช่นนั้นย่อมต้องไปจัดการเรื่องการขอฝนไม่ทันเป็นแน่

แต่ข่าวต่อจากนั้นกลับเกินความคาดหมายของนาง

คังอ๋องถูกลอบทำร้ายแต่ยังคงฝืนจะไปขอฝนต่อเช่นเดิม และด้วยแสงอาทิตย์แรงเกินไป อีกทั้งมีบาดแผลถึงได้เป็นลมสลบไปบนลานพิธี

ในสถานการณ์เช่นนี้คังอ๋องยังคงยืนกรานจัดการพิธีขอฝนให้เสร็จก่อน ถึงค่อยให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรของตนเอง แล้วให้คนกลับไปพักผ่อน ได้ยินมาว่าบาดแผลของคังอ๋องแยกออกจากกัน เลือดแทบจะย้อมเสื้อผ้าไปทั้งหมด ท่าทางเช่นนั้นน่าหวาดหวั่นและนับถือ

เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของคังอ๋องที่ซบเซาลงไปก็กลับขึ้นมาโด่งดังอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้แพร่กระจายไปท่ามกลางบรรดาประชาชนที่กระวนกระวาย ฉับพลันความเคารพของประชาชนที่มีต่อคังอ๋องก็เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเดิมคังอ๋องก็เป็นลูกชายคนโตจากชายาเอก ดังนั้นในบรรดาคนธรรมดาก็เริ่มมีเสียงพูดคุยขึ้นมา บอกว่าร่างกายของคังอ๋องมีไอมังกร มีแววของความเป็นผู้นำอย่างแน่นอน

และในขณะเดียวกันก็มีขุนนางฝ่ายบุ๋นจำนวนไม่น้อยพูดให้แต่งตั้งคังอ๋องเป็นรัชทายาท และพูดว่ามีเพียงคังอ๋องคนเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวเลือกรัชทายาทที่ดีที่สุด

ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ดูท่าทางครั้งนี้เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทจะไม่สามารถยืดเยื้อออกไปได้อีกแล้ว”

ท่าทางของหลี่เย่ก็ดูไม่ดีนัก พยักหน้าแค่นหัวเราะพลางพูดว่า “สุดท้ายแล้วก็ประเมินความอำมหิตของฮองเฮาต่ำเกินไป เพื่อตำแหน่งรัชทายาท นางสามารถลงมือกับลูกชายของตนได้ลงคอ”

เห็นได้ว่าหลี่เย่ยังคงคิดว่านี่เป็นแผนการของฮองเฮา ไม่ว่าคังอ๋องถูกลอยทำร้ายหรือว่าไปทำพิธีขอฝนทั้งที่บาดเจ็บล้วนเป็นเหมือนกันหมด

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นแผนการหรือลิขิตสวรรค์ การกระทำเช่นนี้ก็เห็นผลมากนัก

พอเห็นหลี่เย่มีท่าทีหงุดหงิด ในใจของถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าเขาคงรู้สึกว่าตัวเขาเองทำให้เกิดสถานการณ์เช่นวันนี้ หรือที่บอกว่าตอนงีบหลับมีคนยื่นหมอนมาให้นั้น และหลี่เย่ก็เป็นคนที่ยื่นหมอนไปให้เอง ตั้งใจเอาไปขัดขาคังอ๋อง แต่ใครจะรู้ว่าแค่พริบตาเดียวก็กลายเป็นการสร้างโอกาสให้ฝ่ายตรงข้าม

ถาวจวินหลันเอื้อมมือไปจับมือของหลี่เย่เอาไว้ เกาฝ่ามือของเขาเบาๆ พูดอย่างหยอกล้อว่า “ต่อให้เขาเป็นรัชทายาทจริง แต่อย่างไรก็ยังไม่ได้ครอบครองตำแหน่งนั้นท่านจะกลัวอะไร? แบบนี้ไม่เหมือนกับหลี่เย่ที่ข้ารู้จักเลย”

หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “เรื่องมาถึงตรงนี้ ก็ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ หากเขาได้เป็นรัชทายาทเมื่อไร แล้วจะลากเขาลงมาได้ง่ายหรืออย่างไรกัน?”

“ท่านกลัวหรือ?” ถาวจวินหลันถามเสียงเบา เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ทำท่าทีหาเรื่อง “ข้าคิดว่าตวนชินอ๋องหลี่เย่จะไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น”

หลี่เย่ไม่พูดอะไรออกมา เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขาเริ่มสิ้นหวังแล้วจริงๆ

“ยังคงมีโอกาสอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร? จะยากลำบากแล้วอย่างไรกัน? น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันก็กร่อน มีความอดทนและมุมานะบากบั่นย่อมประสบผลความสำเร็จ” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางให้กำลังใจหลี่เย่ น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนน้ำค้างในฤดูใบไม้ผลิ “หากเป็นแต่ก่อนท่านก็ยังสามารถสละสิทธิ์ยอมแพ้ได้ แต่ว่าตอนนี้…คิดถึงข้า คิดถึงซวนเอ๋อร์ คิดถึงหมิงจู ข้าไม่มีทางให้ท่านยอมแพ้เศร้าโศกเป็นแน่ หลี่เย่ ท่านจะต้องตั้งสติให้ดี ข้าอยู่ข้างหลังท่านตลอดเวลา สามัคคีคือพลัง ข้าเชื่อใจท่าน”

คำพูดนี้มีผลต่อแรงฮึดสู้ของหลี่เย่ แต่ไหนแต่ไรมาถาวจวินหลันก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไร และไม่เคยขออะไรจากเขามาก่อน คำพูดในวันนี้กลับแสดงด้านที่นางหลบซ่อนเอาไว้ออกมา โดยเฉพาะสองประโยคสุดท้ายแทบจะทำให้เขาอดใจสั่นไม่ได้

ที่จริงแล้วก่อนที่จะมาพูดสิ่งเหล่านี้กับถาวจวินหลัน เขาก็ได้พูดเรื่องนี้กับพรรคพวกที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นมาแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกว่าโอกาสช่างริบหรี่และน่าหดหู่ท้อแท้

มีเพียงถาวจวินหลันที่พูดอย่างหนักแน่นเช่นนี้ นางเชื่อใจเขา นางสนับสนุนเขา นางรู้สึกว่ายังมีโอกาสอยู่

นี่เปรียบได้กับคนที่ตกลงไปในหลุมดำหาทางออกไม่ได้จนรู้สึกสิ้นหวัง แต่ทันใดนั้นก็เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า ความรู้สึกเช่นนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง รอยยิ้มบางๆ หรือว่าดวงตาเปี่ยมด้วยความหนักแน่นมั่นใจคู่นั้น ต่างก็เหมือนกับน้ำทิพย์ใสที่ไหลรินเข้าไปในใจของหลี่เย่ ฉับพลันนั้นร่างของเขาก็สั่นสะท้าน

หลี่เย่พลิกมือจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้แทน ยิ้มอย่างอบอุ่น “ใช่แล้ว กลับเป็นข้าเสียเองที่ตกใจไปเอง” แม้ว่าจะถึงเวลาเข้าตาจน เขาเองก็ไม่มีสิทธิที่จะสละสิทธิ์ยอมแพ้ เป็นเขาที่ลากถาวจวินหลันเข้ามาในวังวนดำมืดนี้ หากเขาสละสิทธิ์ ถาวจวินหลันจะทำเช่นไร?

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็รู้ว่าหลี่เย่ได้ออกมาจากทางตันแล้ว จึงหัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ “นี่ถูกต้องแล้ว นี่ถึงเป็นตวนอ๋องที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ เย็นชา ไร้ที่ติของข้า” จะต้องไม่สนใจเรื่องอะไร ไม่กลัวอะไรแม้แต่น้อย

ถาวจวินหลันเอนตัวไปพิงบ่าของหลี่เย่ พูดเสียงอ่อนหวาน “ขอเพียงแค่มีท่านอยู่ ข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น”

หลี่เย่ยิ้ม ไม่ได้ส่งเสียงออกมา แต่ในใจคิดว่า ที่จริงแล้วเขาควรเป็นคนพูดคำพูดนี้มากกว่า

วันรุ่งขึ้นหลี่เย่เองก็ส่งฎีกาเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท แน่นอนว่าต้องขอแทนคังอ๋อง

ฮ่องเต้มองฎีกาย่อมต้องรู้สึกโมโห เขวี้ยงฎีกาออกไปตรงเท้าของหลี่เย่ในทันใด “แม้แต่เจ้าก็ทำตามพวกเด็กไม่รู้ประสีประสาด้วยหรืออย่างไรกัน!”

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ยินยอมแต่งตั้งรัชทายาท แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เหตุผล แต่ท่าทีนั้นก็เห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก

หลี่เย่ก้มหน้าลง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้อธิบายออกมาช้าๆ “การกระทำในครั้งนี้ของพี่ใหญ่ทำให้ซาบซึ้งทั้งสวรรค์และพื้นดิน เมื่อวานนี้ที่เมืองหลวงฝนตก แม้แต่ที่พระราชฐานวันนี้ก็เริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ น้ำฝนก็จะต้องใกล้ตกลงมาแล้วเป็นแน่ และพี่ใหญ่เป็นทั้งลูกของชายาเอกและเป็นลูกคนโต ก็ยิ่งถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมากไปอีกพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้จิตใจของประชาชนเอนเอียง หากเสด็จพ่อยังจะเก็บเรื่องนี้ต่อไปเกรงว่าจะก่อให้เกิดคำว่ากล่าว และหลายปีมานี้พี่ใหญ่ก็ขยันขันแข็งอย่างมาก ย่อมรับผิดชอบงานใหญ่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้แค่นหัวเราะติดต่อกัน “จิตใจของประชาชนเอนเอียงอย่างนั้นหรือ! เป็นทั้งลูกของชายาเอกและเป็นลูกคนโตอย่างนั้นหรือ! รับผิดชอบงานใหญ่ได้อย่างนั้นหรือ! ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้าเป็นน้องชายแสนดีที่ทำคุณทดแทนแค้น!”

คำพูดของฮ่องเต้แฝงนัยลึกซึ้ง และผิดหวังอยู่หลายส่วน

หลี่เย่ก้มหน้าลง คำพูดของฮ่องเต้ทำให้เขานึงถึงเรื่องที่ฮองเฮาและคังอ๋องแอบปฏิบัติต่อเขา ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็แทบจะสะกดกลั้นความแค้นเอาไว้ไม่ไหว

แต่เขาก็กดความโกรธแค้นนี้เอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สมองกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง เขาได้สติกลับมาทันที ฮ่องเต้พูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ฮ่องเต้พูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ารู้อะไรมาบ้าง มิเช่นนั้นคงไม่พูดออกมาอย่างนี้

ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาใหม่นั้น ความอบอุ่นบนใบหน้าของหลี่เย่ก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง แทบจะกัดฟันพูดออกมา “ในใจของลูกนั้นถ้าจะบอกไม่มีความแค้นเลยย่อมต้องเป็นเรื่องโกหก แต่คิดแค้นไปนั่นก็เป็นพี่ใหญ่ของลูก อีกทั้งลูกก็ไม่ได้พูดแทนพี่ใหญ่ แต่เพื่อเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

“เพื่อข้า?” ฮ่องเต้เลิกคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ควรยื่นฎีกานี้มา”

“แต่ถ้าไม่ยื่นฎีกานี้ ลูกก็จะทำได้แค่มองเสด็จพ่อจมอยู่ในคำว่ากล่าวของประชาชน ตอนนี้ลูกรู้สึกเสียดายอย่างมาก ไม่ควรที่จะยื่นข้อเสนอเช่นนั้น! ในตอนนี้ไม่เพียงแค่จิตใจของประชาชนเอนเอียงเท่านั้น ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบรรดาปัญญาชนก็ทยอยส่งฎีกามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทางด้านเหิงกั๋วกงก็มีความตั้งใจเช่นนี้ จะต้องฉวยโอกาสบีบบังคับเป็นแน่ เสด็จพ่อ ซินพานถูกลอบทำร้ายไม่รู้ร่องรอย นายทหารนำทัพที่ได้มีความสำคัญในราชสำนักส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับจวนเหิงกั๋วกงทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรแล้วก็ไม่สามารถแตกหักได้ มิเช่นนั้นการรบบริเวณชายแดนจะทำเช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ? หาก…จะทำเช่นไร?” หลี่เย่พูดไปพลางคุกเข่าโขกหัวลงไปอย่างแรง “ดังนั้น ลูกจึงจำต้องยื่นฎีกานี้พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้มองแผ่นหลังของหลี่เย่นิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถอนหายใจออกมา “ช่างเถิดๆ”

แต่การกระทำนี้สุดท้ายแล้วหมายความว่าอะไร ฮ่องเต้กลับไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่หลี่เย่ถอยออกไป

หลี่เย่ออกมาจากตำหนักใหญ่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกดำ ถอนหายใจออกมายาวๆ เรื่องที่ควรทำเขาก็ทำหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่รอเท่านั้น

ที่เขาทำเมื่อครู่นี้ก็ถือว่าเป็นการแสดงความแค้นของตนเองต่อหน้าฮ่องเต้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้คาดหวังว่าจะได้เห็น

เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ถือว่าได้แสดงความจริงออกมาต่อฮ่องเต้แล้ว เขาเองก็ไม่มีทางไปถึงได้ยื่นฎีกา หากเลือกได้ เขาเองก็จะไม่ทำเช่นนี้

และที่เขาพูดเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการป้ายยาจวนเหิงกั๋วกงและฮองเฮาต่อหน้าฮ่องเต้

ในขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนฮ่องเต้ จวนเหิงกั๋วกงนั้นถือสิทธิอำนาจทางการทหารมากเกินไป หากบีบคั้นมากเกินไปจนคิดปล้นวังก็ย่อมทำได้ ถ้าแตกหักความสัมพันธ์และถูกบังคับให้แต่งตั้งรัชทายาท ไม่สู้ว่าเสนอตัวเสียหน่อย เหลือที่ให้ตนเองถึงจะดี

คิดถึงของว่างที่ถาวจวินหลันทำเอาไว้รอเขาให้กลับไป หลี่เย่ก็โยนเรื่องกวนใจทั้งหมดลง ยิ้มกว้างพลางรีบเร่งฝีเท้าเดินทางกลับจวน

กลับเป็นฮ่องเต้ที่ปิดประตูไม่รู้ว่าพูดอะไรกับขันทีเป่าฉวน

สุดท้ายแล้วขันทีเป่าฉวนก็ขี่ม้านำของประทานและคนไปที่จวนคังอ๋องในวังหลวง ดูอาการบาดเจ็บของคังอ๋อง และยังถ่ายทอดพระราชโองการของฮ่องเต้ “รอจนคังอ๋องรักษาบาดแผลจนหายดีแล้ว ถึงจะจัดงานแต่งตั้งได้ ดังนั้นคังอ๋องจะต้องรักษาสุขภาพให้ดีถึงจะถูกต้อง อย่าได้ปล่อยปละละเลย รอจนบาดแผลหายดีแล้วต่อจากนี้ไปก็จะแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ได้ดีมากขึ้นขอรับ”

ความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดนี้นั้นแน่นอนว่ารู้ได้โดยไม่ต้องพูด หลังจากที่คังอ๋องได้ยินแล้วนั้น ความรื่นเริงยินดีบนใบหน้าก็ปิดบังเอาไว้ไม่มิด

คังอ๋องมอบถุงเงินให้ขันทีเป่าฉวนเป็นจำนวนมาก ขันทีเป่าฉวนเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพ จากการะทำของขันทีเป่าฉวนนั้นคังอ๋องก็น้อมรับด้วยความสบายใจ ไม่มีท่าทีถ่อมตัวในยามปกติแม้แต่น้อย

ขันทีเป่าฉวนเก็บท่าทางนั้นในสายตา แต่ใบหน้านั้นกลับยิ้มอย่างเคารพยำเกรงมากกว่าเคย ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคนแก่เฒ่าอย่างเขา

หลังจากที่ออกมาจวนคังอ๋องแล้วนั้น ขันทีเป่าฉวนก็ยิ้มเยาะ เอียงหน้าหันไปพูดกับลูกศิษย์ของตน “เจ้าจะต้องเข้าใจหลักการหนึ่ง เรื่องดีหรือความสุขไม่ได้คงอยู่เสมอไป ไม่ถึงนาทีสุดท้ายก็อย่าได้รีบสรุปเรื่องราว”

ลูกศิษย์น้อยยามนี้เพิ่งจะอายุสิบสองเท่านั้น ฟังแล้วก็ยังคงมึนงง

ขันทีเป่าฉวนยิ้ม “กลับไปเจ้าพอมีเวลาว่างก็ไปใฝ่หาความรู้จากศิษย์พี่ของเจ้าบ้าง” ตอนนี้ศิษย์คนเล็กเป็นลูกศิษย์คนที่สองของขันทีเป่าฉวน ศิษย์คนโตเป็นใครกลับไม่มีใครรู้ ขันทีเป่าฉวนไม่เคยบอกใครมาก่อน มีเพียงแค่ครูศิษย์สามคนเท่านั้นที่รู้

ศิษย์คนเล็กพยักหน้าอย่างมึนงง “อาการบาดเจ็บของศิษย์พี่ยังไม่หายดี คราวที่แล้วไปเยี่ยมยังทำได้แค่นอนอยู่เลยขอรับ”