ตอนที่ 148 ชะตาชีวิตถูกลิขิต

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซูเม่ยคิ้วกระตุก “ฝ่าบาทเพคะ วันนี้หม่อมฉันไม่ค่อยสบาย ร่างกายไม่สะดวก ไม่อาจถวายตัวได้เพคะ” 

 

 

นางกล่าวเสนอแนะว่า ” ที่ข้างนอกมีหูอยู่บนกำแพง ไยพระองค์ไม่ทรงเรียกนางเข้ามาถวายปรนิบัติ? “ 

 

 

จีเฉวียนไม่สนใจคำพูดของเขา เพียงตรัสว่า ” เราสั่งให้เจ้าถอด เจ้าก็ถอดเสีย” 

 

 

ซูเม่ย “…….” 

 

 

นางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ราวกับว่าจะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ นางปลดสายคาดเอวออกหลวมๆ ก็ล้วงลงไปเอาบางสิ่งออกมาจากในกางเกงชั้นใน 

 

 

ทันใดนั้นกลิ่นคาวของเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วห้องบรรทม 

 

 

จีเฉวียนทรงเหลือบพระเนตรมองมา ก็เห็นว่าในมือของซูเม่ยนั้นมีชิ้นผ้าเปื้อนโลหิตที่แดงฉาดบาดตาอยู่ 

 

 

” ฝ่าบาทเพคะ วันนี้หม่อมฉันมีระดู ไม่อาจถวายการปรนิบัติได้ พระองค์กลับไม่ทรงเชื่อ หม่อมฉันได้แต่บังอาจนำหลักฐานมาถวายให้ทอดพระเนตรแล้ว” 

 

 

ทูลแล้ว นางก็เดินมาจนถึงเบื้องหน้าจีเฉวียน โยนผ้าเปื้อนโลหิตแดงฉาดผืนนั้นลงไปบนโต๊ะเบื้องพระพักตร์ 

 

 

อาจเพราะกะแรงมากไปหน่อย ทันทีที่โยนลงไป เลือดก็กระเซ็นออกมา 

 

 

ละอองเลือดนั้นกลายเป็นจุดแดงๆ บนฉลองพระองค์ของฝ่าบาท 

 

 

เห็นไหมเล่านางเฉลียวฉลาดเพียงไร! 

 

 

บุรุษที่เป็นโรคบ้าความสะอาดเช่นจีเฉวียน ไม่มีทางที่จะยอมแตะต้องสตรีที่มีระดูอยู่แน่ 

 

 

จีเฉวียนเอนพระองค์ลงบนเบาะนุ่ม พระขนงขมวดขึ้นส่อแววเย็นชาขึ้นมา 

 

 

” เพื่อให้ไทเฮาได้ทรงอุ้มพระราชนัดดาโดยไว เราไม่ถือสา ” พระองค์ตรัสพลาง ก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดละออกเลือดบนพระองค์ไปพลางๆ 

 

 

ท่าทางเช่นนั้นคล้ายกลับมิได้รังเกียจนางอยู่จริงๆ 

 

 

คราวนี้ซูเม่ยกลับไม่ไหวเสียเองแล้ว แต่สายพระเนตรของจีเฉวียนกลับจดจ้องนางอยู่ตลอด คล้ายกับว่าสามารถอ่านนางออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น ทำให้นางรู้สึกหมดหนทางจะหลบหนี 

 

 

” ฝ่าบาท พระวรกายมังกรของพระองค์สำคัญล้ำค่า หากว่าสัมผัสถูกโลหิตสกปรกของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่อาจจะสู้หน้าบรรพกษัตริย์ทั้งหลายได้แล้ว” 

 

 

ซูเม่ยกล่าวต่อไปอีกว่า ” ถึงอย่างไร ดับเทียนแล้วสตรีทุกคนก็เหมือนกันหมด หากพระองค์ประสงค์จะต้องการจริงๆ ละก็ หม่อมฉันเชื่อว่าอันหว่านจือจะต้องคล้อยตามพระประสงค์ด้วยความยินดีเป็นแน่” 

 

 

” กุ้ยเฟย เจ้าไม่ได้ยินหรือไร ที่ไทเฮามีพระประสงค์คือ ต้องการให้เราโปรดปรานเจ้า ไม่ใช่ผู้อื่น ” จีเฉวียนยังคงประทับอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง พระพักตร์ที่งดงามนั้นราวกับถูกฉาบไล้ด้วยแสงสว่างชั้นหนึ่ง แต่ก็ดูเย็นชาอย่างที่สุดเช่นกัน 

 

 

หัวใจของซูเม่ยเจ็บปวดราวถูดมีดแทง ทำเอานางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ 

 

 

” เก็บของนี่ไปซะ” จีเฉวียนเหลือบพระเนตรไปมองผ้าซับระดูที่เปื้อนโลหิตจนชุ่มโชกแวบหนึ่ง สีพระพักตร์เย็นยะเยือก 

 

 

ท่าทางของพระองค์ ดูราวกับเทพเจ้าที่ไม่จำเป็นต้องกินดื่มใดๆ เกือบจะปราศจากกลิ่นไอมนุษย์ 

 

 

ไหนเลยจะมีทีท่าของฮ่องเต้ที่ต้องการจะรับสนมได้กัน 

 

 

ซูเม่ยค่อยๆ หยิบผ้าซับระดูกลับไป แถมยังใส่กลับไปในกางเกงทั้งต่อหน้า 

 

 

นางไม่นึกไม่ฝันจริงๆ ว่า วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้จะใช้ไม่ได้ผล 

 

 

พอพึ่งจะใส่กลับไป ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งเสียงเย็นว่า “ถอดเสื้อผ้า อย่าให้เราต้องพูดถึงสามรอบ” 

 

 

ซูเม่ยก้มศีรษะลงมองดูตนเอง ได้แต่ถอดเสื้อคลุมสีแดงเพลิงนั้นออกอย่างหมดปัญญา นางกำหมัดแนบแน่น กระทั่งเส้นโลหิตหลังมือยังปูดโปนเป็นสีเขียว 

 

 

” ต่อไป ” จีเฉวียนจ้องมองนางอย่างเชยชา 

 

 

ซูเม่ยสูดหายใจลึกๆ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องปิดบัง หม่อมฉันยินดีรับโทษ “ 

 

 

จีเฉวียนมิได้ทรงแปลกพระทัยแม้แต่น้อย เพียงตรัสอย่างเรียบเฉยว่า ” ว่ามา “ 

 

 

ซูเม่ยถวายคำนับเขาอย่างเต็มพิธีการ กล่าวด้วยน้ำเสียงละอายอย่างที่สุดว่า ” หม่อมฉันมีกลิ่นตัว! เกรงว่าจะเป็นที่ระคายเคืองของฝ่าบาท นี่คงจะไม่ดีละมั้งเพคะ? “ 

 

 

” แม้แต่เรื่องที่เจ้ามีระดูเราก็ยังไม่รังเกียจ ไหนเลยจะกลัวว่าเจ้ามีกลิ่นตัวได้อีก? ” จีเฉวียนรับสั่งอย่างจริงจัง จมูกที่ไวต่อกลิ่นเหม็นของเขาก็มิได้ย่นจมูกเลยสักครั้ง 

 

 

ซูเม่ยได้แต่คุกเข่าลงไปให้เขา 

 

 

” หากยังไม่ลงมือ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะถอดให้เจ้าด้วยตนเอง ” ถึงแม้จะตรัสเช่นนั้น จีเฉวียนก็ยังคงประทับนั่งอยู่เดิม ดวงเนตรหงส์ของพระองค์ทอดมองอย่างเย็นชา 

 

 

ซูเม่ยถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ในที่สุดค่อยถอดเสื้อออกตัวหนึ่ง 

 

 

เมื่อต้องมาถวายตัววันนี้ นางสวมเสื้อผ้ามาเจ็ดแแปดตัวเป็นพิเศษ ห่อตัวเองจนกลายเป็นบะจ่างก้อนหนึ่ง 

 

 

” ถอดให้หมด ” สุรเสียงของจีเฉวียนเย็นเฉียบ ” เจ้าไม่ถอดหมด แล้วจะมีหลานมาถวายไทเฮาได้อย่างไร “ 

 

 

ดูแต่ละคำๆ ของเขาสิ อะไรๆ ก็ไทเฮา หากใครไม่รู้มีหวังเข้าใจว่าเขาให้มีเด็กไปตุ๋นถวายไทเฮาบำรุงร่างกายหรอก 

 

 

ซูเม่ยถอดออกจนเหลือเพียงตัวสุดท้ายในอึดใจเดียว นางก็ไม่ยอมขยับอีกแล้ว 

 

 

ที่ท่อนลางของชุดที่ขาวสะอาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด 

 

 

” ฝ่าบาท เคยทรงได้ยินหรือไม่ หากมีสัมพันธ์ขณะมีระดูจะทำให้คนเจ็บป่วย ” นางงัดเอาไม่สุดท้านออกมา 

 

 

จีเฉวียน ” เราเป็นโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์ย่อมไม่ถูกโรคร้ายรบกวน” 

 

 

ซูเม่ย “……….” ถึงกับพูดไม่ออก 

 

 

อาจเพราะคืนนี้สวมใส่เสื้อผ้ามามากชิ้นไป สายรัดเส้นสุดท้ายเริ่มคลายเล็กน้อย พอเมื่อครูนางขยับเขยื่อนตัววุ่นวาย ยามนี้จึงทำให้มีแอเปิ้ลสองลูกโผ่ลออกมาจากหน้าอก 

 

 

แอปเปิ้ลที่แวววาวกลิ้งกุลุกๆ ลงมา หล่นลงไปหยุดแทบเท้าของจีเฉวียน 

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรมองแวบหนึ่ง ผลแอปเปิ้ลที่สดใหม่ สีแดงฉ่ำ ขนาดใหญ่ประมาณกำหมัดทั้งสองผล 

 

 

สายพระเนตรมองไปทางซูเม่ย คราวนี้ทรวงอกของนางกลับแบนราบลง 

 

 

” หืม? ” จีเฉวียนทรงหยิบแอปเปิ้ลลูกหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะ “ซูเม่ย ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะแก้ตัวกับเราเสียหน่อยหรือ? “ 

 

 

มุมปากของซูเม่ยกระตุก นางหัวเราะออกมาช้าๆ ” ฝ่าบาทเพคะ ผู้คนในใต้ล้าล้วนแตกต่าง ถึงหม่อมฉันจะเป็นโฉมงามอันดับสองของต้าโจว แต่ว่าหน้าอกกลับเล็ก …ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่นต้องเอาของพวกนี้ยัดใส่ไว้ หม่อมฉันเพียงแต่รักสวยรักงาม มิได้มีใจจะโกหกหลองลวงฝ่าบาทเลยเพคะ” 

 

 

จีเฉวียนหัวเราะเสียงเย็น คว้าแอปเปิ้ลผลนั้นกัดลงไปคำหนึ่งต่อหน้าต่อตาซูเม่ย 

 

 

” ฝ่าบาท ไม่นะเพคะ! ” ซูเมยร้องออกมาเสียงดัง ก็เงียบไป 

 

 

ที่ด้านนอกตำหนัก เดิมทีอันหว่านจือได้ยินไม่ชัดฟังไม่รู้เรื่องว่าในห้องบรรทมคุยอะไรกัน ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงของซูเม่ยตะโกนร้องออกมา นางอิจฉาขึ้นมาเสียจนตัวสั่นสะท้าน 

 

 

เดิมผู้ที่สมควรจะนอนลงบนเตียงมังกรในตอนนี้ควรจะเป็นนางต่างหาก! 

 

 

ผู้ที่สมควรจะได้รับความรักความเอ็นดูจากฝ่าบาทก็คือนาง! 

 

 

ทำไมกัน…..ทำไมนางถึงต้องมาทนฟังเสียงพรอดรักของฝ่าบาทกับซูเม่ย? 

 

 

” ซูเม่ย อายุสิบเก้า วันที่เกิดมา สรรพสัตว์ล้วนน้อมคำนับ ” จีเฉวียนหยิบแอปเปิ้ลอีกลูกขึ้นมา ตรัสอย่างไม่เร็วไม่ช่า 

 

 

“หย่งเฉิงอ๋องและชายารักใคร่กลมเกลียวหาใดเปรียบ ปีที่แต่งงานนั้นก็ได้ให้กำเนินบุตรคนหนึ่ง แต่ว่าบุตรชายคนโตกลับสิ้นบุญไป ห้าปีหลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรติดต่อกันสามคน แต่โชคร้ายล้วนตายแต่เยาว์วัย “ 

 

 

ขณะที่พระองค์ตรัสนั้น สีหน้าของซูเฟยที่ยิ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ 

 

 

” ตอมาภายหลัง หย่งเฉิงอ๋องได้พบกับผู้สูงส่งท่านหนึ่ง ผู้สูงส่งท่านนั้นได้ตรวจดูดวงชะตาให้เขา บอว่าชะตาของเขาถูกลิขิตไว้แล้ว ชีวิตนี้ไม่อาจมีบุตรชาย มีได้เพียงบุตรสาว” 

 

 

พระองค์ยิ่งตรัส สีหน้าของซูเม่ยก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ 

 

 

นางหรี่ตาลง จดจ้องไปยังพระองค์บ้าง ” ฝ่าบาทช่างรอบรู้อย่างกว้างขวาง แม้แต่เรื่องครอบครัวของเหล่าขุนนางยังทราบกระจ่างชัด” 

 

 

” หย่งเฉิงอ๋องจงรักภัคดีต่อเรา เราย่อมต้องใส่ใจขุนนางที่ภัคดีเช่นนีเป็นพิเศษอยู่แล้ว” 

 

 

จีเฉวียนโยนแอปเปิ้ลในมือเล่น ดวงเนตรหงส์มองไปทางซูเม่ย ” ช่างบังเอิญเหลือเกิน เมื่อสิบเก้าปีก่อนหย่งเฉิงอ๋องก็มีบุตรชายอีกคน กุ้ยเฟย เจ้าลองว่ามาซิ บุตรชายผู้นั้นหายไปไหนกัน? “ 

 

 

สีหน้าซูเม่ยอึมครึมหนักหนา สายตาทอดมองไปบนร่างของจีเฉวียน