องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 541 ในเลือดมีพิษ
วันนี้มู่เหมียนดีขึ้น พระพันปีจึงส่งไห่กงกงไปเยี่ยมที่ตำหนักเย็น ไห่กงกงก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นมู่เหมียนเติบโตมา ประกอบกับความสัมพันธ์ของฉีเฟยอวิ๋น เมื่อไห่กงกงเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ของมู่เหมียนก็รู้สึกไม่สบายใจ หลังจากที่กลับไปแล้วก็กราบทูลสถานการณ์ของมู่เหมียนแก่พระพันปี และยังบอกว่าน่าสงสาร แน่นอนว่าพระพันปีทรงไม่สบายพระทัย
จึงสั่งให้คนนำสิ่งของไปส่งให้มู่เหมียน แล้วถามไห่กงกงว่า:“ได้ยินมาว่าทั้งสองตำหนักเคยไปเยี่ยมมาแล้ว?”
ไห่กงกงส่ายหัว:“ไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงประทับอยู่แต่ในพระอุโบสถทั้งวันและถือศีลกินเจ ทรงไม่ได้เสด็จออกมาจากประตูเลย ส่วนพระสนมเอกเซียวก็ไม่เสด็จออกไปไหน แต่เป็นเพราะพระสนมเอกเซียวใกล้จะคลอดบุตรแล้ว ฝ่าบาทจึงเสด็จไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว”
“งั้นหรือ?” พระพันปีมองไปที่ไห่กงกง และไห่กงกงก็เข้าใจในทันที เขาจึงบอกให้คนอื่น ๆ ออกไปก่อน แล้วเดินไปข้าง ๆ พระพันปี พระพันปีโน้มตัวไปที่ข้างหูของไห่กงกง จากนั้นไห่กงกงก็พยักหน้า
“บ่าวเข้าใจแล้ว พระองค์ทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีจึงลุกขึ้นไปพักผ่อน และไห่กงกงก็รีบไปจัดการ
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว มู่เหมียนก็รู้สึกไม่สบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร นางมีไข้และตัวร้อน นางสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ และคิดว่าถูกคนวางยาพิษ
ขันทีน้อยไม่กล้าละเลย และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบให้คนไปรายงานพระยาเย่
มู่เหมียนรู้สึกทุกข์ทรมานในห้อง และฉีเฟยอวิ๋นก็ได้รับข่าวแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นลุกจากเตียงและกำลังจะเข้าไปในวัง
หนานกงเย่หยุดนางไว้:“ไม่สวมเสื้อผ้าแล้วจะเข้าไปในวังได้หรือ?ยังจะไว้หน้าข้าอยู่หรือไม่?”
หนานกงเย่สวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ และพาฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในวัง
เมื่อมาถึงตำหนักเย็น ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นขันทีน้อยร้อนใจเป็นอย่างมาก นางจึงตรงเข้าไปในวังหลัง หนานกงเย่กังวลว่าเกิดเรื่องไม่ดี จึงรออยู่ที่ด้านนอกตำหนัก
หลังจากเข้าไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นมู่เหมียนจ้องมองไปที่ขันทีน้อย และขันทีน้อยก็ตกใจจนตัวสั่น
“มู่เหมียน” ฉีเฟยอวิ๋นรีบดินเข้าไป เมื่อมู่เหมียนเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ตกตะลึง แต่ไม่นานก็หมดสติไป และยังต้องการจะเข้าไปใกล้ขันทีน้อย ฉีเฟยอวิ๋นจึงเข้าไปจับมือของมู่เหมียน แล้วใช้วมาธิในการตรวจดู จากนั้นก็รู้ว่ามู่เหมียนถูกวางยาพิษ และยังเป็นยาชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์
“มู่เหมียน ข้าจะถอนพิษให้เจ้า” ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นบอกว่าจะถอนพิษให้มู่เหมียน แต่มู่เหมียนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง นางกอดข้างหลังของฉีเฟยอวิ๋นไว้และเริ่มนัวเนียจนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ
“มู่เหมียน มู่เหมียน……”
ขันทีและนางกำนัลก็ตกใจมากเช่นกัน จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไป เมื่อหนานกงเย่เห็นว่ามีคนวิ่งออกไป เขาก็รีบเขาไปในทันที และได้ยินเสียงของเสี่ยวสวีจื่อดังมาจากด้านหลัง:“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว หรงเต๋อเฟยออกมาน้อมต้อนรับ”
หนานกงเย่หันกลับมามองอยู่ไม่ไกล จักรพรรดิอวี้ตี้และผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งมาถึงแล้ว ขันทีและนางกำนัลที่อยู่หน้าตำหนักเย็นรีบคุกเข่าลงบนพื้น และหนานกงเย่ก็ก้มศีรษะลง:“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
จักรพรรดิอวี้ตี้สวมเสื้อคลุมลายมังกรเป็นประกาย และมองไปที่เสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองของหนานกงเย่ แต่ก็ตลกดี
“เข้ามาในวังกลางดึก มีเรื่องอะไร?ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเจ้ากับหรงเต๋อเฟยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันเช่นนี้?และต้องมาพบกันถึงที่ตำหนักเย็น?”
ขันทีและนางกำนัลกลัวจนตัวสั่น หนานกงเย่เงยขึ้นและสงบสติอารมณ์ลง:“เดิมทีวันนี้กระหม่อมเข้ามาในวังเพื่อคารวะเสด็จแม่ เพราะเมื่อคืนกระหม่อมฝันว่าเสด็จแม่ทรงคิดถึงกระหม่อม จึงพาอวิ๋นอวิ๋นมาด้วย แต่เมื่อเข้ามาในวังแล้วก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหรงเต๋อเฟย อวิ๋นอวิ๋นและหรงเต๋อเฟยเป็นพี่น้องกันอย่างลึกซึ้ง แต่ยังไม่ทันได้ไปกราบทูลฝ่าบาท ฝ่าได้โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าพระชายาเย่อยู่ข้างใน?” จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปรอบ ๆ และนางกำนัลก็ตกใจกลัว
จักรพรรดิอวี้ตี้เข้าไปในตำหนักเย็น และหนานกงเย่ก็เดินตามเข้าไป
ในทันทีที่เข้ามา หนานกงเย่ก็โบกมือให้คนอื่น ๆ ไม่ต้องเข้ามา และมีเพียงเสี่ยวสวีจื่อเท่านั้นที่ตามเข้ามา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉีเฟยอวิ๋นตะโกนว่าอย่า สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง และเมื่อคิดว่าเรื่องขึ้นระหว่างมู่เหมียนกับฉีเฟยอวิ๋น เขาก็เดินเข้าไป และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ตามเข้าไปด้วย
เมื่อเข้ามาแล้วก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นถูกกดลงบนเตียง เสื้อผ้าของนางก็ถูกฉีกขาด และจนเผยให้เห็นขาของนาง
สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง:“สารเลว!”
ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าใจอยู่ครู่หนึ่งและเกือบจะร้องไห้ออกมา
หนานกงเย่ดึงเสื้อคลุมออกมา แล้วโยนมู่เหมียนออกไป จากนั้นก็นำสื้อคลุมไปห่มฉีเฟยอวิ๋นไว้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกใจมาก และไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะพบเจอเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงโผเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเย่ และร้องออกมา:“ท่านอ๋อง!”
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น และจ้องมองไปที่มู่เหมียนด้วยสายตาที่โกรธเคือง:“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หลังจากที่พูดจบ หนานกงเย่ก็กำลังจะลงมือ และฉีเฟยอวิ๋นก็คว้ามือของหนานกงเย่ไว้:“ท่านอ๋อง พระองค์อย่าทำร้ายมู่เหมียนนะเพคะ นางไม่ได้สติและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตา นางหันกลับไปจัดเสื้อผ้าแล้วเดินไปหามู่เหมียน ในเวลานี้มู่เหมียนคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นผู้ชาย เมื่อเห็นร่างของฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกกระวนกระวายใจ นางก็เข้ามาใกล้ฉีเฟยอวิ๋น และเตรียมจะอิงแอบแนบกาย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกลัวนาง จึงรีบกล่าวว่า:“ท่านอ๋อง พระองค์รีบช่วยข้าจับมู่เหมียนไว้หน่อย ข้าจะถอนให้นาง”
จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกกระสับกระส่าย เมื่อครู่ตอนที่เขาเห็นมู่เหมียนและฉีเฟยอวิ๋นอยู่บนเตียง ร่างกายของเขาก็ตอบสนอง
เป็นเพราะมู่เหมียน หรือว่าเป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋น หรือว่าทั้งสองคน
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย
“เจ้าออกไปเถอะ” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวเสี่ยวสวีจื่อจึงรีบถอยออกไปและปิดประตู
มู่เหมียนถูกจับตัวไว้ แต่นางยังคงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และฉีเฟยอวิ๋นก็จนปัญญา หรือว่าคนที่มู่เหมียนชอบจะไม่ใช่เฉินอวิ๋นเจี๋ย แต่เป็นไป๋ซู่ซู่?
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจสิ่งอื่นใด นางเอาเลือดที่เตรียมไว้ให้มู่เหมียนกิน
หนานกงเย่ถามว่า:“จะได้ผลหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว นัยน์ตาดูเคร่งขรึม:“ไม่ทราบเพคะ แต่มันสามารถรักษาบาดแผลได้ ส่วนจะถอนพิษที่ทำให้ลุ่มหลงได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่รู้”
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?” หนานกงเย่ยังคงจับมู่เหมียนไว้ แล้วมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น แม้แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ยังสงสัยว่ามูู่เหมียนชอบฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ วิธีเดียวที่จะถอนพิษได้ก็คือทำเช่นนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ได้เชิญฝ่าบาทมาที่นั่นแล้ว หากไม่มีวิธีอื่นจริง ๆ ก็คงต้องตาย”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจ:จะทำอย่างไรดี?”
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นเศร้าใจ หนานกงเย่ก็โกรธมาก:“ข้ายังไม่ตาย ไม่ต้องคิดไปถึงเรื่องหย่า และอย่าร้องไห้!”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกคับข้องใจ:“……”
จักรพรรดิอวี้ตี้เฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้า:“ข้าก็อยู่ด้วยมิใช่หรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง นางไม่คิดว่าจักรพรรดิอวี้ตี้จะอยู่ที่นี่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันกลับไปแล้วรับคารวะ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ ความคิดของจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ยุ่งเหยิง สายตาของเขาจ้องมองไปที่ร่างของฉีเฟยอวิ๋น หน้าแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และเป็นตนที่จิตใจเบิกบาน
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่มู่เหมียนที่ค่อย ๆ สงบลง และกล่าวอย่างราบเรียบว่า:“ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไรแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงมองไปและรู้สึกว่าใกล้จะเป็นปกติแล้ว จากนั้นนางก็จับข้อมือของมู่เหมียนเพื่อตรวจดูอาการ แต่หลังจากที่ตรวจดูแล้ว สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมถึงรุนแรงขึ้นมาได้?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะเชื่อเลย นางมองไปที่หนานกงเย่:“ดูเหมือนว่ายาจะแข็งแกร่งมากขึ้น”
“……” สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง:“ในวันที่อวิ๋นอวิ๋นแต่งงานกับข้าก็ถูกคนวางยาเช่นกัน หลังจากนั้นก็เกิดอาการขึ้นอย่างฉับพลัน หรือว่าจะยังมีอยู่ในเลือด?”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่กล้ารับรอง นางเพียงแค่มองไปที่มู่เหมียนและรู้สึกเป็นกังวล!