บทที่ 1111 ข้าคือขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1111 ข้าคือขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ โดย Ink Stone_Fantasy

ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่มองออกถึงสาเหตุที่เหมียวอี้อึ้งพูดไม่ออก แอบคลายความสงสัยให้ ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ที่พิภพเล็กนี้ไม่มีคำว่าสหาย มีแค่คนศักดิ์ศรีเสมอกันที่สามารถสู้กันได้ คนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูด ระหว่างพวกเขาสู้กันมาแสนกว่าปีแล้ว เป็นห่วงฝ่ายตรงข้ามมาแสนกว่าปี ความสัมพันธ์คลุมเครือมาตลอด เคยชินกับการมีอยู่ของกันและกันตั้งนานแล้ว จู่ๆ ก็ตายไปหนึ่งคน ตายอย่างกะทันหันเกินไป กระต่ายตายจิ้งจอกเศร้าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่ารับไม่ได้ในด้านความรู้สึกก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป หดหู่อยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ได้มีเจตนาอื่น”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที ยังนึกว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ค่อนข้างดีต่อกัน ต้องการร่วมมือกันล้างแค้นให้เฟิงเป่ยเฉิน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ลำบากแล้ว

คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อวิ๋นจือชิวใช้ถ่ายทอดเสียงได้ดึงพวกอวิ๋นอ้าวเทียนให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่ารวดเร็ว

พอกลับสู่ความเป็นจริง พวกเขาก็ทำตัวสอดคล้องกับความจริงทันที จีฮวนเอ่ยปากก่อน “เหมียวอี้ ส่งของบนตัวเจ้าออกมา บอกให้ชัดถึงที่มาที่ไปของของพวกนั้น แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!”

สถานการณ์ไม่ดีแล้ว! อวิ๋นจือชิวดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เบาๆ แอบบอกใบ้เหมียวอี้ว่ายืนใกล้ห้าคนนั้นเกินไปแล้ว ถอยห่างสักหน่อยให้มีระห่างในการตอบสนอง

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับจับข้อมือนางเอาไว้ ควบคุมนางให้อยู่นิ่งๆ ไม่ให้นางถอยหลัง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เฟิงเป่ยเฉินก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”

จีฮวนยกมือขึ้นลูบเคราตัวเอง “เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?”

เหมียวอี้มองไปทางอวิ๋นอ้าวเทียน “ท่านปู่ ได้ยินว่าท่านคนเดียวสามารถควบคุมพวกเขาได้สามคน ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันมั้ยล่ะ ท่านควบคุมพวกเขา เดี๋ยวข้าสังหารทิ้งทีละคน ทั้งใต้หล้านี้ก็จะไม่มีใครมาแก่งแย่งกับท่านแล้ว ของที่โจมตีได้จะให้ท่านหมดเลย เป็นอย่างไร?”

อวิ๋นอ้าวเทียนกำลังใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “ความคิดฟังดูไม่เลวเหมือนกัน!”

จีฮวน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลยมุมปากกระตุกทันที พบว่าการตายของเฟิงเป่ยเฉินไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ โชคดีที่อวิ๋นอ้าวเทียนพูดเสริมว่า “มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “พอแล้ว ไม่ล้อเล่นกับพวกท่านแล้ว พวกท่านเองก็ไม่ต้องกลัว ข้าจะพูดธุระหลักกับพวกท่านนิดหน่อย”

“พวกเรากลัวเจ้าเหรอ?” มู่ฝานจวินแสยะยิ้มถาม

เหมียวอี้ไม่สนใจ ลากเก้าอี้ออกมาโดยตรง แล้วนั่งตรงข้ามกับทั้งห้าคน “อาณาเขตเล็กๆ อย่างแดนอู๋เลี่ยงไม่ได้อยู่ในสายตาข้าเลยจริงๆ จะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้สักหน่อย อาณาเขตของพวกท่านหกปราชญ์รวมกันยังไม่พอให้ทำไม้จิ้มฟันของข้าด้วยซ้ำ”

“โยมเหมียวช่างพูดจาโอ้อวดจริงๆ!” ฉางเหลยกล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้โบกมือ “ข้าไม่ได้พูดโอ้อวดหรอก เป็นพวกท่านเองที่เหมือนกบในบ่อน้ำ พระเถระ ข้าจะให้ท่านดูอะไรนิดหน่อย ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตา” ขณะทีพูดก็โยนแผ่นหยกออกไป

ในดวงตาฉางเหลยฉายแววสงสัย คนอื่นๆ พากันมองไปที่แผ่นหยกในมือเขา

หลังจากฉางเหลยร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านแล้ว ก็เงยหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมถามด้วยความสงสัย “ตำหนักสวรรค์ น่านฟ้าชวดอี่ ดาวเทียนหยวน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อ…หมายความว่าอย่างไร?”

พิภพเล็กไม่ได้มีชุดความคิดเรื่องตำหนักสวรรค์ สาเหตุหลักเป็นเพราะตอนที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งปรากฏออกมา ตำหนักสวรรค์ยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น ที่ทุกคนเรียกกำลังพลของพิภพใหญ่ว่าทหารสวรรค์ ก็เป็นเพียงคำเรียกด้วยความเคารพประเภทหนึ่ง ดังนั้นฉางเหลยจึงอ่านไม่ค่อยเข้าใจ ที่จริงคนทางพิภพใหญ่ก็ไม่รู้เช่นกันว่ายังมีคนเรียกสถานที่ที่พวกเขาอยู่ว่าพิภพใหญ่ด้วย

แต่อวิ๋นจือชิวกลับตกใจกับคำพูดของฉางเหลย สายตาที่มองไปทางเหมียวอี้ราวกับมองคนบ้า แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าบ้าเหรอ! ถ้าปล่อยข่าวนี้ออกไป พวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ แม้แต่โอกาสคานอำนาจกันก็อาจจะไม่ให้เจ้าด้วยซ้ำ ต่อให้สู้ตายก็จะจัดการเจ้าให้ได้!”

เหมียวอี้เลิกสนใจชั่วคราว ชี้ที่ตัวเองพร้อมบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อก็คือข้า คาดว่าว่าพวกท่านคงจะเคยได้ยินชื่อหนิวโหย่วเต๋อจากคดีนองเลือดค่ายฆ้องเหล็กที่ทะเลดาวนักษัตรในปีนั้นมาแล้วเหมือนกัน เป็นข้าเองที่ใช้ชื่อหนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องนี้ พระเถระ ในมือท่านคือคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่ง ข้าก็คือผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน น่านฟ้าชวดอี่  ตำหนักสวรรค์ ใช่แล้ว พูดถึงตำหนักสวรรค์ พวกท่านอาจจะไม่มีแนวคิดอะไรกับสิ่งนี้ เข้าใจเรื่อพิภพใหญ่มั้ย? ตำหนักสวรรค์ก็คือพิภพใหญ่ที่พิภพเล็กเรียกนั่นแหละ ตอนนี้เข้าใจแล้วรึยัง?”

อวิ๋นจือชิวใกล้จะเป็นบ้าแล้ว อีกฝ่ายไม่เข้าใจ แต่เจ้าเวรนี่ยังตั้งใจอธิบายอีก นางไม่มีทางจินตนาการถึงผลที่จะตามมาได้เลย

พวกสงเวยที่เฝ้าอยู่นอกศาลาก็หันกลับมามองในศาลาอย่างงุนงงเช่นกัน

เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่มีห้าปราชญ์คนไหนนั่งติดที่แล้ว แต่ละคนลุกพรวด เบิกตากว้างมองเหมียวอี้

อวิ๋นอ้าวเทียนเหมือนจะไม่เชื่อ แย่งแผ่นหยกจากมือฉางเหลยมาดูเองแล้ว

พอเขาดูเสร็จ มู่ฝานจวินก็แย่งมาอีก พวกเขาผลัดกันดูรอบหนึ่ง สุดท้ายแต่ละคนก็หันไปมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเหลือเชื่อ สถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง จู่ๆ ก็ถูกทำพังแบบนี้แล้ว จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดได้อย่างไร

อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงสูงว่า “เหมียวอี้ ถ้าเจ้ากล้าพูดเท็จแม้แต่คำเดียว ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

เหมียวอี้ยกขานั่งไขว่ห้าง หลุดขำออกมา แล้วบอกว่า “หลอกพวกท่านแล้วจะมีความหมายอะไรเหรอ? รายได้จากตำหนักสวรรค์หนึ่งปีของข้าน่ะ ต่อให้นำรายได้ของพวกท่านมาบวกรวมกันก็ยังเทียบไม่ติดเลย ชื่อหกปราชญ์อะไรที่พวกท่านใช้เรียกกันน่ะ สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องตลกขำขัน สถานที่ที่ใหญ่เท่าหนึ่งฝ่ามือ แต่มีคนตั้งตัวเป็นใหญ่เบียดกันห้าหกคน ถ้าสุ่มเลือกยอดฝีมือจากพิภพใหญ่มาสักคน ก็สามารถตบพวกท่านให้ตายได้เลย พวกท่านว่าน่าขำมั้ยล่ะ? ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้สักหน่อยนะ ถ้าข้าจะสู้กับพวกท่านน่ะ แค่ข้าเอ่ยสั่งคำเดียว ก็จะเรียกทหารสวรรค์ได้กองหนึ่งแล้ว ให้มากวาดล้างพวกท่านให้เรียบจนไม่เหลือซากได้เลย พวกท่านสู้กลุ่มผีดิบที่ลากเรือมังกรอเวจีไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังคิดจะมาสู้กับขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์อย่างข้าอีกเหรอ? รู้หรือไม่ว่าพลังของนักพรตที่พิภพใหญ่เป็นอย่างไร? ระดับบงกชรุ้งมีเยอะเหมือนฝูงสุนัข ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเดินกันให้เกลื่อน ท่านว่าพวกท่านจะเล่นอย่างไรล่ะ?”

การคุยโม้แบบนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวหุบปากแล้ว

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง บงกชรุ้งมีเยอะเหมือนฝูงสุนัข ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเดินกันให้เกลื่อนเหรอ? พูดเกินไปแล้วจริงๆ! ผู้บัญชาการใหญ่นับว่าเป็นขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอ?

ห้าปราชญ์แต่ละคนตาเป็นประกายร้อนรน กำลังรีบครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าสมองของพวกเขาใช้งานได้ไม่ดี แต่เรื่องบางอย่างก็อยู่เหนือแนวความคิดที่เคยชินของพวกเขา

เหมียวอี้นั่งตบเกราะรบบนร่างกายตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วชี้ไปยังเกราะรบบนตัวพวกฝูชิงอีก “พวกเขาตามข้าไปทำงานที่พิภพใหญ่ทั้งนานแล้ว ถ้าสุ่มเลือกเกราะรบบนตัวพวกเรามาสักคน ก็สามารถเทียบได้กับทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของหกปราชญ์ได้เลย ท่านคิดว่าข้ายังจำเป็นต้องไปแย่งอาณาเขตกับพวกท่านมั้ยล่ะ? ถ้าไม่อยากเล่นกับพวกท่านมาตั้งนานแล้ว และไม่ได้มีเจตนาจะสู้กับพวกท่านด้วย แต่เฟิงเป่ยเฉินดันอยู่ดีไม่ว่าดีมารนหาที่ตาย พวกท่านยังจะถ่อออกมาประสมโรงอีก เป็นหกปราชญ์ของพวกท่านต่อไปดีๆ ไม่ได้หรือไง?”

ฉางเหลยหัวเราะเบาๆ “เกรงว่าโยมเหมียวจะพูดเกินความจริงไปหน่อยรึเปล่า? ถ้าที่โยมเหมียวพูดเป็นเรื่องนี้ ทำไมยังต้องอยู่ที่นี่อีกล่ะ?”

“ข้ามีตำแหน่งสูงที่ตำหนักสวรรค์ กินดีอยู่ดี พิภพใหญ่มีสถานที่ที่น่าชมน่าเล่นตั้งเยอะ ท่านคิดว่าข้าอยากกลับมาสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้เหรอ?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วชี้ไปที่มู่ฝานจวิน “ก็นางทำร้ายไงล่ะ สาเหตุเพราะอะไรนางรู้อยู่แก่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนางบอกว่าส่งส่วยปีนี้ต้องการจะพบข้าให้ได้ ใครจะกลับมาล่ะ มู่ฝานจวิน ในเมื่อวันนี้ข้าเปิดเผยเรื่องนี้แล้ว ก็แสดงว่าไม่คิดจะเล่นกับท่านแล้ว ทางที่ดีท่านอย่าทำเกินไปเลย ถ้ากดดันจนข้าร้อนรนหมดทาง ท่านก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก!”

อวิ๋นอ้าวเทียนและอีกสามคนรีบมองไปที่มู่ฝานจวิน ไม่รู้ว่านางทำอะไรเอาไว้ เพียงแต่เห็นมู่ฝานจวินแววตาวูบไหวไม่พูดอะไร ราวกับมีเรื่องราวเบื้องลึกอะไรจริงๆ

“เหมียวอี้ ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง แล้วเจ้าบอกเรื่องพวกนี้กับพวกเราทำไม?” ซือถูเซี่ยวถาม

“ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่อยากเล่นกับพวกท่าน ตั้งแต่วันนี้ไป เรื่องที่พิภพเล็กจบลงแล้ว” เหมียวอี้ทำท่าทางเหมือนพูดคำไหนคำนั้น ชี้รอบวงพร้อมบอกว่า “พวกท่านอยากจะไปเล่นที่พิภพใหญ่มาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ? ข้าทำให้พวกท่านสมปรารถนา ข้าจะพาพวกท่านไปพิภพใหญ่ ถ้ามีความสามารถก็ไปแสดงที่พิภพใหญ่ได้เลย!”

พิภพเล็กเล็กเกินไปจริงๆ จำกัดการแสดงความสามารถของหกปราชญ์ ตอนนี้ได้ยินเหมียวอี้บอกว่าจะพาพวกเขาไปที่พิภพใหญ่ แต่ละคนจึงหัวใจเต้นรัว จีฮวนถามทันทีว่า “พูดจริงเหรอ!”

เหมียวอี้ตอบว่า “จริงแท้แน่นอน! เพราะถ้าไปพิภพใหญ่แล้วข้าจะยิ่งจัดการพวกท่านได้สะดวก ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า ข้าก็จะส่งทหารไปจับทันที อยากจะลงโทษพวกท่านอย่างไรก็ย่อมทำได้ รับรองว่าพวกท่านหนีไม่พ้นแล้ว จะไปหรือจะไม่ไป พวกท่านก็พิจารณาให้ดีแล้วกัน ข้าไม่ฝืนใจ!

คำพูดนี้จริงใจเกินไปแล้ว อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน นางพูดไม่ออกแล้ว

ห้าปราชญ์ทำสีหน้าแพรวพราวทันที พวกเขาอยากไปพิภพใหญ่จะแย่อยู่แล้ว ถึงขั้นไม่ต้องขู่เหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ยินดีเป็นฝ่ายพาพวกเขาไปเองเลย แต่ก็เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก ถ้าไปแล้วเหมียวอี้อยากจะจัดการพวกเขาอย่างไรก็ได้ แบบนี้อันตรายไปหน่อยหรือเปล่า?

แต่ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของใครบางคนไม่อาจถูกขู่ให้ตกใจได้ อวิ๋นอ้าวเทียนมองไปที่อวิ๋นจือชิว แล้วถามว่า “น้องชิว ปู่ถามเจ้าหน่อย เจ้าเด็กนี่ไปมาระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กได้จริงเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จะเล่นอะไรกันแน่ จึงมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตั้งคำถาม

เหมียวอี้ตรงไปตรงมามาก โบกมือบอกว่า “ไม่มีอะไรน่าปิดบัง บอกไปเลย!”

อวิ๋นจือชิวตอบอย่างหัวเราไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านปู่ ข้าเปิดร้านค้าขายอยู่ที่พิภพใหญ่ร้านหนึ่งค่ะ”

ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ขนาดนางยังไปพิภพใหญ่ได้ เหมียวอี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

ซือถูเซี่ยวกลับเตือนว่า “ปีศาจเฒ่า ระวังหน่อยนะ แต่งงานออกไปแล้วก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางเจ้าเสมอไป ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาร่วมมือกันปิดบังพวกเราหรือเปล่า”

มู่ฝานจวินก็บอกเช่นกันว่า “พวกเจ้าสองสามีภรรยาพูดจาเชื่อถือไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีหลักฐานว่าพวกเจ้าไปพิภพใหญ่ได้จริงๆ”

“หลักฐานบ้าอะไรล่ะ พวกท่านอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ข้าไม่ได้ขอร้องให้พวกท่านไปเสียหน่อย” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วถามว่า “ข้าจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐานให้พวกท่านดู?”

อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าข้าไปที่พิภพใหญ่ได้ สหายของเจ้าคนนั้น ข้าก็จำเป็นต้องขังอีกต่อไปแล้ว” นับว่าพูดแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันแล้ว

รู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องใช้แผนแลกตัวประกัน เหมียวอี้มองไปทางมู่ฝานจวินที่ดูกระเหี้ยนกระหือรือ คาดว่าท่านนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไร จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “พาพวกท่านไปเฉยๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว จะมีเรื่องยุ่งยากอะไรมากมายขนาดนั้น หกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยกลายเป็นขี้กลัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร?”

เกี่ยวอะไรกับเรื่องขี้กลัวล่ะ! ห้าปราชญ์แอบด่าในใจ ไม่สนว่าเหมียวอี้จะกำลังหลอกพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขา อยากจะน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่ง หากสามารถไปที่พิภพใหญ่ได้จริงๆ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รู้ถึงสถานการณ์ของพิภพใหญ่อย่างชัดเจน ถ้าหากเจ้าเด็กนี่วางกับดักจัดการพวกเขาพร้อมกันทีเดียวจะทำอย่างไร?

คนเราบางครั้งก็แปลกเหมือนกัน เวลาที่ไม่ได้มาครอบครองก็จะลำบากไขว่คว้า แต่เวลาที่จะได้มาอย่างง่ายดายกลับไม่กล้าเชื่อง่ายๆ

เมื่อเห็นทั้งห้ากำลังต่างคนต่างครุ่นคิด เหมียวอี้ก็หรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “หรือไม่อย่างนั้นพวกท่านก็สามารถส่งคนที่ไว้ใจได้ไปเปิดหูเปิดตาที่พิภพใหญ่กับข้าก็ได้นะ รอให้พวกเขากลับมาแล้วพวกท่านค่อยตัดสินใจดีมั้ย?”

ฉางเหลยประนมมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “อามิตาพุทธ คำพูดนี้ถูกต้อง อาตมากำลังมีความคิดนี้พอดี!”

คนอื่นๆ พยักหน้าตาม แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะถามอีกว่า “แล้วทำไมข้าจะต้องปรนนิบัติพวกท่านเหมือนบรรพบุรุษล่ะ? ขอถามตรงๆ เลยแล้วกัน พวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?”

………………………