คอกหมูตกอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง
เฉินเฉินนั่งรออยู่ด้านนอก เขามองไปที่เหลาเฮยที่มีสีหน้าสับสน
เหลาเฮยยังคงยืนอยู่ที่เดิม มันไม่ได้ขยับไปไหน มันมองไปรอบๆด้วยดวงตาที่เปิดกว้างออก มันเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้น
แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่มันจินตนาการไว้ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้น
ชายคนหนึ่งและหมูหนึ่งตัวต่างสบตาเข้าหากันสักพักหนึ่ง จนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถที่จะทำแบบนี้ต่อไปได้
เหลาเฮยขยับตัวเล็กน้อยกลับพบว่าทุกอย่างมันปกติดีเหมือนเคย มันก็มีความสุขและกลิ้งไปมาในคอกหมู มันกระทืบเท้าทั้งสี่มันลงกับพื้นและลุกขึ้นจากผืนดิน
บึ้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้น คอกหมูพังต่อหน้าต่อตาเฉินเฉิน เขาตกใจมาก เหลาเฮยที่กระโดดขึ้นมันบินสูงขึ้นไปบนอากาศกว่าเจ็ดถึงแปดเมตร
“นี่มันอะไรกัน…?!”
เฉินเฉินร้องออกมาและก้าวถอยกลับไปสองก้าว
ปึก!
เหลาเฮยตกลงบนพื้น มันตกตะลึงและสีหน้าของมันเต็มไปด้วยความงุนงง
‘มันอาจจะเป็นเพราะน้ำอมฤตนั่น…’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง เขามองไปที่เหลาเฮยที่กำลังนั่งกองอยู่ที่พื้น
สุดท้ายแล้ว พลังปราณสองร้อยปีที่อยู่ในนั้นก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปจะซึมซับมันอย่างง่ายดาย
มันเป็นเรื่องปกติที่มันจะต้องใช้เวลากว่าแปดถึงสิบปี
แต่หลังจากที่มันกินเข้าไปแล้ว เหลาเฮยยังกระโดดได้สูงขนดานี้ บางทีมันอาจจะกระโดดขึ้นไปแตะขอบสวรรค์เลยก็ได้นะในภายภาคหน้า
เมื่อเขาจินตนาการถึงภาพที่เกิดขึ้น เฉินเฉินยิ้ม เขาเดินไปที่เหลาเฮยและลูบหัวมันอย่างนุ่มนวล
“เหลาเฮย ดูแลตัวเองนะ”
หลังจากที่ลูบหัวเหลาเฮยเสร็จ เฉินเฉินก็เมินมันไป เขาฮัมเพลงต่อและเดินเข้าใปนบ้าน ทิ้งเหลาเฮยไว้ในคอกที่พังพินาศ
…
หลายวันต่อมา เฉินเฉินได้พาครอบครัวเขาย้ายไปที่คฤหาสน์ตระกูลเจาที่ปรับใหม่
แน่นอนว่าในครั้งนี้ คฤหาสน์เจาได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นคฤหาสน์เฉินแล้ว
ถึงแม้ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะเล็กกว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมือง มันก็ไม่มีปัญหาที่จะจุคนอย่างน้อย 50 ถึง 60 คนเลย
มันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายสำหรับครอบครัวเขาที่มีอยู่กันแค่สามคนที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ใหญ่โตแบบนี้ ดังนั้นเฉินเฉินจึงได้จ่ายเงินราคาแพงจ้างคนหนุ่มในหมู่บ้านหินมาดูแลบ้านหลังนี้
ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงหลายคนก็ถูกจ้างมาทำงานเย็บปักถักร้อยร่วมกันกับสาวรับใช้ที่ถูกส่งมาจากตระกูลจางจนทำให้บ้านหลังนี้ดูมีคน
แน่นอนว่านอกจากส่วนที่คนพักอาศัยแล้ว เหลาเฮยก็ได้รับคอกหมูขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน ซึ่งมันใหญ่เท่ากับบ้านของเฉินเฉินก่อนหน้านี้เลย
ยังไงก็ตาม เหลาเฮยไม่มีความสุข ในหลายวันที่ผ่านมา มันทำเพียงแค่กินไม่ก็นอนเหมือนกับว่ามันกำลังกลัวว่ามันจะลืมไปว่ามันเป็นแค่หมูตัวหนึ่งเท่านั้น
เฉินเฉินไม่ได้สนใจเหลาเฮยเลย เขาไม่ได้คาดคิดว่าน้ำอมฤตจะทำให้เหลาเฮยกลายเป็นหมูฝึกตนที่ขยันขันแข็งทันที
ถ้าเหลาเฮยดูแลป้องกันบ้านของเขาไว้ แค่นั้นมันก็ดีพอแล้วละ
หลังจากจัดการบ้านเสร็จแล้ว เฉินเฉินก็ไปยังตลาดเพื่อหาซื้อชุดแพงๆ
หลังจากที่แต่งชุดเสร็จแล้ว หน้าตาโดยรวมของเขาก็พัฒนาจาก 85 แต้มไปเป็น 99 แต้มแทน!
เมื่อมองหนุ่มหล่อในชุดขาวที่สะท้อนจากหน้าต่างทองแดงในร้านเสื้อผ้าแล้ว เฉินเฉินอดถามในหัวตัวเองไม่ได้ “ระบบ ในระยะ 15 เมตรนี้ ใครกันคือคนที่ดูดีที่สุด?”
“แน่นอนว่ามันเป็นท่านค่ะ ท่านเจ้าของ”
“พูดได้ดีนี่”
เขากลับมาสู่โลกความเป็นจริง เขาสั่งออกมา “เจ้าของร้าน จัดชุดผ้าไหมและผ้าแพรทั้งหมดในร้านที่เจ้ามีและส่งมันไปยังตระกูลเฉิน”
เฉินเฉินโบกมือบอกเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านตกใจและถามกลับมา “บ้านตระกูลเฉินเหรอครับ? บ้านตระกูลเฉินที่มาใหม่ใช่ไหมครับ?”
“ใช่”
“ท่านคือ…?”
“ข้าคือเฉินเฉิน” เขาตอบกลับอย่างซื่อตรง
เจ้าของร้านวิ่งออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ทันทีที่ได้ยินมัน เขายิ้มออกมาและพูด “ท่านเฉิน ได้โปรดอย่าล้อผมเล่นเลยครับ ท่านเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้นะ! ถ้าท่านต้องการอะไร บอกพวกเราก็พอ พวกเราจะเอามาให้ท่านเอง มันไม่จำเป็นต้องลำบากท่านเลย”
เฉินเฉินขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ยิน “หื้อ? ครอบครัวฉันเป็นเจ้าของร้านนี้?”
“ครับ… ร้าน 14 ร้านในพื้นที่บริเวณนี้ต่างเป็นของท่านทั้งหมดนั่นแหละครับ” เจ้าของร้านพูดออกมาพร้อมกับแสดงความอิจฉาเล็กน้อย
เขายิ้มออกมา “ถ้างั้น เอาหนึ่งในสามของร้านนี้ส่งมาให้ตระกูลเฉิน”
“ครับ ได้เลยครับ!” เจ้าของร้านตอบกลับ
เฉินเฉินออกไปจากร้านด้วยความพึงพอใจ
หลังจากนั้นเขาก็เดินเล่นบนถนนสักพักหนึ่ง รอยยิ้มของเขาก็สว่างสดใสมากขึ้นไปอีก
สิ่งบันเทิง มันทำให้เขามีความสุข เมื่อเขามาที่นี่ครั้งแรก ในตอนกลางคืน เขามาที่นี่เพื่อเก็บเงินที่ตกอยู่บนพื้น
มันเหมือนกับว่าเขากำลังขโมยของบางอย่าง เขาหวาดกลัวที่จะถูกพบเห็นอย่างมาก
ใครจะไปคิดกันว่าเขาจะกลายเป็นเจ้าของร้านพวกนี้ในวันหนึ่งกัน?
หลังจากที่ใช้เวลาไปอย่างเพลิดเพลิน เฉินเฉินก็เดินกลับบ้านไปพร้อมกับของติดมือกลับมามากมาย
ก่อนที่เขาจะถึงบ้าน เขาเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตูบ้าน รถม้านั้นแสดงให้เห็นว่ามันเป็นรถม้าของตระกูลจาง
เฉินเฉินเข้าใจทันที ตั้งแต่ที่เขาย้ายมายังบ้านหลังใหม่ จางจีก็ได้มายินดีต้อนรับกลับเขา มันเห็นได้เด่นชัดว่ารถม้าคันนี้ได้แบกของขวัญมาให้
เจ้าจางจีนี่ ถึงแม้ว่าเขาจะโง่เขลาไปเล็กน้อยก็ตาม เขาก็ยังเป็นคนที่นิสัยดี เขาชื่นชมเฉินเฉินอย่างมาก บางทีมันอาจมากจนถึงระดับบ้าคลั่งเลยทีเดียว
‘เฮ้อ… บางทีข้าไม่ควรที่จะตามใจเขามากไปกว่านี้’ เฉินเฉินครุ่นคิด เขารู้สึกอายเล็กน้อย ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาและเดินกลับบ้าน
ทันทีที่เขาเดินเข้ามาถึงทางเข้าบ้าน ชายหนุ่มที่สวมชุดผุขาดกำลังยืนพิงรถม้าอยู่ เขาได้หันมาทักทายกับเขา
“พี่เฉิน ข้ามาแสดงความยินดีกับการย้ายบ้านของพี่!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย เฉินเฉินขยี้ตาและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าเชื่อ “น้องชาย?”
พูดตามตรงแล้ว ถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะเสียงของจางจีแล้ว เขาคงจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มด้านหน้าเขาคือใคร
เพียงแค่ไม่กี่วัน จางจีที่หล่อเหลาซึ่งมีคะแนนอย่างน้อยก็ 85 ถึง 90 คะแนนด้วยซ้ำ แต่ทำไมตอนนี้นี่มัน…
ขาของเขานั้นดูกระโผลกกระเผลก ผมส่วนใหญ่ของเขาก็ถูกตัดกระเซอะกระเซิงและมีรอยแผลบนใบหน้าของเขา อีกทั้งชุดที่ขาดยุ่ยนั่น มันทำให้เขาดูเหมือนคนไร้บ้าน
เมื่อเห็นเฉินเฉินแต่งตัวในชุดขาว จางจีก็อธิบายมาอย่างเขินอาย “ก่อนหน้านี้ ข้าเห็นท่านแต่งชุดที่ขาดยุ่ยแบบนั้น ข้าก็คิดไปว่าพี่เฉินแต่งตัวแบบนั้นเพื่อบ่มเพาะอารมณ์ของตัวท่านพี่ ดังนั้นข้าจึงขอให้คนแถวนี้หาชุดแบบนั้นมาให้ข้า”
เฉินเฉินพูดไม่ออกเป็นเวลานานสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะถามขึ้นมา “แล้วขาเจ้าเป็นอะไร? แผลบนหน้าเจ้าละ? ใครทำร้ายเจ้ากัน? บอกพี่ใหญ่มา! พี่ใหญ่จะไปล้างแค้นให้เจ้าเอง!”
จางจียิ่งอับอายมากขึ้นไปอีก ใบหน้าของเขาแดงฉาน
“พี่เฉิน ข้านั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของพี่บนหุบเขานั่น อีกอย่างหนึ่ง มันเป็นเพราะวิชาตัวเบาของข้ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าก็เลย…”
เมื่อเฉินเฉินได้ยินมัน เขาเกือบหยุดหายใจ “เจ้า….เจ้าไม่ได้กระโดดลงไปบนหน้าผาลมทมิฬใช่ไหม?”
“ไม่ครับ… น้องชายของท่านไปยังหน้าผาลมทมิฬมาก็จริง แต่มันช่างน่าอับอายเสียจริง ในด้านพลังใจแล้ว ข้าไม่ได้ดีเท่าท่านี่เลย ดังนั้นข้าจึงไม่กล้ากระโดดลงไป”
“สุดท้ายแล้วข้าจึงไป ภูเขามังกรน้อยแทนที่อยู่ด้านนอกมณฑล ข้าจึงมีความมั่นใจขึ้นมา เมื่อเทียบกับท่านพี่เฉินแล้ว ข้ายังผูกเชือกไว้ที่เอวอีกด้วย…”
จางจีอับอายมากมาย หลังจากที่เขายอมรับมัน เขาคิดถึงเฉินเฉินที่กระโดดลงไปโดยไม่มีความลังเลในวันนั้น ความชื่นชมของเขามากเกินกว่าที่เขาจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เฉินเฉินไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
ถึงแม้ว่าภูเขามังกรน้อยจะเป็นหน้าผาเล็ก แต่มันก็ยังสูงกว่าร้อยเมตรอยู่ดี
พระเจ้าได้มอบความรักให้กับเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงไม่รับคำอวยพรนั้นไวกัน?
เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของเฉินเฉินแล้ว จางจีรีบพูดต่อ “พี่เฉิน ท่านก็รู้ว่าวิธีการนี้มันได้ผลจริงๆ มันทำให้ข้าเข้าใจถึงวิชาตัวเบามากขึ้นเลยละ เมื่อตอนที่ข้ากระโดดลงไป เมื่อขาของข้าดีขึ้น วิชาตัวเบาของข้าจะได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากแน่นอนครับ”
เฉินเฉินกลั้นหายใจและไม่พูดอะไร เขาตบไปที่ไหล่ของจางจีและเตรียมที่จะสั่งสอนเขา
ถ้าเขาไม่ได้สอนเขาและเจ้าเด็กนี้ไปทำตัวแบบนี้จนตายเข้าแล้ว เขาคงรู้สึกผิดอย่างแน่นอน
ยังไงก็ตาม จางจีกลับชี้ไปที่มุมของกำแพงและยิ้มออกมา “พี่เฉิน น้องชายของท่านไม่ได้มีพรสวรรค์มากมายอะไรและข้าไม่กล้าที่จะกระโดดลงหน้าผาลมทมิฬก็จริง แต่ท่านรู้ไหม? ข้ากลับพบเห็ดหลินจือใหญ่เกาะบนกำแพงหินของหน้าผามังกรน้อย ข้าจึงเอามันมาให้ท่านชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญ”
เฉินเฉินมองไปที่ที่เขาชี้และเห็นเห็ดหลินจือขนาดยักษ์ มันมีสีม่วงอยู่ตรงใจกลางและมันแทบจะสามารถใช้แทนร่มได้เลย
เมื่อเห็นจางจีที่เขินอายอยู่ รวมทั้งความรู้สึกซับซ้อนในหัวใจของตัวเอง เขาจึงถอนหายใจยาวออกมา