ตอนที่ 320 ใจดำอำมหิต / ตอนที่ 321 เพิ่งคิดออก

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 320 ใจดำอำมหิต

 

 

           “พ่อ… พ่อ… แต่คนพวกนั้นจะเอาชีวิตพ่อนะ…” เฉียวจื่อจี้คงหมดหนทางแล้ว จึงได้แต่ขอร้องลูกสาวที่แข็งกร้าวกว่าเดิมมาก พยายามดิ้นรนขอร้องครั้งสุดท้าย

 

 

           เฉียวซือมู่หยิบบัตรเงินสดใบหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ “ในบัตรนี้มีเงินสดอยู่ประมาณหนึ่งล้านหยวน คืนนี้คุณพ่อคืนเงินจำนวนนี้ให้พวกเขาก่อน ขอให้พวกเขาช่วยยืดเวลาให้อีกสักหน่อย หนูขอกลับไปคิดหาวิธีก่อน”

 

 

           นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว เธอไม่เชื่อหรอกว่าคนพวกนั้นจะเอาเงินทั้งหมดให้ได้ในคราวเดียว คนพวกนั้นต้องการแค่เงิน มันเสี่ยงเกินไปที่จะเอาอวัยวะของคนอื่นไปขาย ต่อให้พวกเขามีช่องทางของตัวเองก็เถอะ พวกเขาคงขายไม่ได้ห้าล้านหยวนหรอก เพราะฉะนั้น เธอจึงเดาว่าวิธีของตนเองน่าจะใช้ได้ผล

 

 

           เฉียวจื่อจี้มองดูบัตรเงินสดที่วางอยู่บนโต๊ะ หากแต่ไม่กล้ายื่นมือออกไปหยิบเสียที

 

 

           “คุณพ่อจะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ” เธอเอ่ยอย่างเหลืออด ลุกขึ้นหมุนตัวจะเดินจากไป

 

 

           เธอเชื่อว่าคนพวกนั้นเห็นเงินหนึ่งล้านหยวนแล้วคงไม่ทำอะไรเขาอีก เรื่องนี้คงเป็นแผนของคุณพ่อมากกว่า คุณพ่อคงอยากได้เงินจากเธอเยอะๆ แต่น่าเสียดายที่คุณพ่อคาดเดาผิดไป ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนต้องพึ่งพาผู้ชายเหมือนกันหมด เธอเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน เธอไม่มีทางบอกเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนรู้หรอก…

 

 

           ทันใดนั้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจู่โจมมาจากทางด้านหลัง เธอสะดุ้งตกใจ ยังไม่ทันที่เธอจะได้หันกลับไปมอง มือมือหนึ่งก็ยื่นผ้าขนหนูกลิ่นแปลกๆ มาจากทางด้านหลังแล้วโปะมันลงปิดจมูกเธอ

 

 

           แย่แล้ว! ยาสลบ!

 

 

           ความคิดนั้นแวบขึ้นในสมองเธอ จากนั้นทุกอย่างตรงหน้ามืดลง เสียงหายใจหอบเพราะความเหนื่อยของเฉียวจื่อจี้ดังลอยมาเข้าหูเธอ พร้อมกับคำพูดมาดร้าย “มู่มู่ ในเมื่อลูกไม่อยากช่วยพ่อ ถ้างั้นก็อย่ามาโทษว่าพ่อใจร้ายก็แล้วกัน”

 

 

           เธอเผยอปากน้อยๆ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ ความมืดมิดถาโถมจนเธอดิ้นรนหนีไม่ไหว…

 

 

           เฉียวจื่อจี้มองดูลูกสาวที่กำลังสลบไสล สีหน้าที่เคยวิงวอนขอร้องอย่างจนตรอกหายวับไปจนสิ้น และแทนที่ด้วยความบ้าคลั่งแทน “มู่มู่ ครั้งนี้พ่อต้องทำผิดต่อลูกอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไร ไหนๆ ลูกก็ไม่ต้องการพ่อคนนี้แล้วนี่ ถ้างั้นก็ถือว่าลูกช่วยพ่อเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนเป็นลูกอยู่แล้ว จริงไหม?”

 

 

           เขาพูดงึมงำกับตนเอง สายตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

 

 

           เขาก้มกายลงช้อนตัวเธออุ้มขึ้น จากนั้นเดินเข้าไปในห้องแล้ววางเธอลงบนเตียง เขามองใบหน้าที่หลับตานิ่งของลูกสาว ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วออกไปหาเชือกมามัดเธอตัวแน่น

 

 

           เฉียวซือมู่เป็นคนรูปร่างผอมบาง จิ้นหยวนจึงอุ้มเธอได้อย่างสบายๆ โดยไม่เปลืองแรกสักนิด แต่เฉียวจื่อจี้กลับเหนื่อยจนหายใจหอบแฮกๆ

 

 

           เขาหอบหายใจพักใหญ่กว่าจะหายเหนื่อย จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที เปลี่ยนเป็นประจบสอพลออย่างถึงที่สุด “คุณอิน…”

 

 

           จู่ๆ จิ้นหยวนที่กำลังประชุมอยู่ก็รู้สึกหัวใจกระตุกวูบ เขาหยุดการกระทำทุกอย่างลงอย่างกะทันทัน ชักหัวคิ้วชนกันแน่น

 

 

           องค์ประชุมต่างพากันชะงักเล็กน้อย จากนั้นมีคนเอ่ยถามขึ้น “ท่านประธาน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

 

 

จิ้นหยวนส่ายศีรษะ หยิบปากกาที่ตัวเองทำหล่นขึ้นมาใหม่ “รายงานต่อเลย”

 

 

ทุกคนต่างพากันมองเขาด้วยความสงสัย จากนั้นเริ่มการประชุมต่อ

 

 

           เขานั่งนิ่ง หรี่ตาแคบ ราวกับว่ากำลังฟังรายงานอย่างตั้งอกตั้งใจ และราวกับว่ากำลังเหม่อลอยไปไกลเช่นเดียวกัน

 

 

           ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาทางกาย หากแต่เกิดจากจิตใต้สำนึกต่างหาก แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ?

 

 

           เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว และมันยังเป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคยมากด้วย

 

 

           เขาเคยรู้สึกแบบนี้เมื่อไหรนะ?

 

 

           เขาควานหาความทรงจำนั้นอย่างต้องการคำตอบ และในที่สุด เขาก็เจอมันซ่อนอยู่ส่วนลึกสุดในจิตใจเมื่อนานมาแล้ว

 

 

 

 

ตอนที่ 321 เพิ่งคิดออก

 

 

           มันเป็นเหตุการณ์ตอนที่มู่มู่เกิดเรื่อง ตอนนั้นเขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่เขาก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ จนกระทั่งเขาได้ข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอจริงๆ

 

 

           แล้วครั้งนี้…

 

 

           เจียงจื่อเสียนรอจนกระทั่งคนอื่นๆ เดินออกจากห้องประชุมจนเกือบหมดแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ข้างกายจิ้นหยวน เธอจ้องมองใบหน้าเหม่อลอยของเขา สีหน้าฉายแววสลับซับซ้อนแวบหนึ่ง เธอครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ ยื่นมือออกไปวางลงบนบ่าของเขา อ้าปากน้อยๆ เตรียมพูดอะไรสักอย่าง…

 

 

           “คุณเจียงครับ!” จู่ๆ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะเธอจากทางด้านหลัง “ผู้จัดการเจียงครับ ท่านประธานแค่มีเรื่องให้ต้องคิด ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วงมากขนาดนั้นก็ได้ครับ”

 

 

           เธอตกใจสะดุ้งโหยง หมุนตัวหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ฉันแค่เป็นห่วงเขา…”

 

 

           “ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมคิดว่าคุณควรกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองมากกว่า คุณว่าจริงไหมครับ?” อย่าเห็นว่าหลินจื้อเฉิงเป็นคนเอ้อระเหยเชียว ท่าทางจริงจังของเขาในตอนนี้ก็ดูมีอำนาจไม่เบาเหมือนกัน

 

 

           เธอปากสั่นเพราะโต้แย้งอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง แม้เธอจะมีอภิสิทธิ์พิเศษ แต่หลินจื้อเฉิงเป็นพนักงานเก่าแก่ที่ติดตามจิ้นหยวนมานาน ซึ่งเธอไม่มีทางเทียบอำนาจกับเขาได้เลย

 

 

           เธอจึงต้องถอยออกไปด้วยความจำยอม

 

 

           หลินจื้อเฉิงสบตากับมู่หรงอวิ่นเจ๋อที่เพิ่งเดินเข้ามาตามหลัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและเป็นกังวล พี่ใหญ่เป็นอะไรไป?

 

 

           จู่ๆ จิ้นหยวนก็ผุดลุกขึ้นยืนเพราะคิดอะไรบางอย่างออก พอเงยหน้าขึ้นถึงได้เห็นว่าผู้คนรอบกายหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงหลินจื้อเฉิงกับมู่หรงอวิ่นเจ๋อที่ยังอยู่ข้างกายเขา

 

 

           ทั้งสองต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียวด้วยความเป็นห่วง เขาชะงักเล็กน้อย “ประชุมเสร็จแล้วเหรอ?”

 

 

           หลินจื้อเฉิงและมู่หรงอวิ่นเจ๋อต่างหันไปสบตากัน แล้วพากันพยักหน้าหงึกหงัก “เสร็จตั้งแต่เมื่อห้านาทีที่แล้วแล้วครับ ผมเป็นคนสั่งให้พวกเขาอย่ารบกวนพี่ใหญ่เอง”

 

 

           จิ้นหยวนพยักหน้ารับรู้แล้วนั่งลงอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉียวซือมู่ทันที

 

 

           เขารอสายอยู่นานแต่กลับไม่มีใครรับสายเลยสักคน เขาวางสายแล้วโทรออกอีกครั้ง

 

 

           เขากดโทรออกหลายครั้ง จนกระทั่งเสียงตอบรับอัตโนมัติดังมาจากปลายสาย “ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”

 

 

           ลางสังหรณ์ในใจยิ่งแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเสียงตอบรับอัตโนมัตินั้นก็ทำให้ความอดทนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาขาดผึงทันที เขาโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะด้วยความโกรธจัด “เกิดเรื่องแล้ว!”

 

 

           “อะไรนะครับ?” หลินจื้อเฉิงและมู่หรงอวิ่นเจ๋อมองหน้าจิ้นหยวนด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

           จิ้นหยวนลุกขึ้นยืนแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เอ่ยเน้นทีละคำๆ “เกิดเรื่องกับเฉียวซือมู่แล้ว!”

 

 

           ทั้งสองเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเมื่อครู่เขาโทรศัพท์หาเธอ แต่นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอนี่?

 

 

           จิ้นหยวนโทรศัพท์หาพ่อบ้านเฉินทันที เขาหน้าดำถมึงทึงมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากรับรู้ว่าเธอออกจากบ้านตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากวางสายจากพ่อบ้านเฉิน เขาก็โทรศัพท์หาเวินเยวี่ยฉิง และได้รับคำตอบว่าเธอไม่ได้ไปหาเวินเยวี่ยฉิง เขาตั้งสติสงบจิตสงบใจลง จากนั้นออกคำสั่งทันที “ออกตามหาเธอเดี๋ยวนี้ ให้เร็วที่สุด”

 

 

           ลูกน้องของเขาปฏิบัติตามคำสั่งทันที

 

 

           เขากำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น ในอกร้อนรนและกระวนกระวายไม่หยุด…

 

 

           ตอนแรกเฉียวจื่อจี้ไม่ได้สนใจโทรศัพท์มือถือของเฉียวซือมู่ แต่พอได้ยินเสียงเรียกเข้าไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจปิดโทรศัพท์มือถือด้วยความรำคาญ ขณะเดียวกัน เฉียวซือมู่ค่อยๆ ได้สติแล้ว

 

 

           เธอมองดูคนตรงหน้าด้วยความมึนงง เพียงไม่นาน ความทรงจำชั่ววินาทีที่เธอสลบไปค่อยๆ ย้อนกลับมา เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณพ่อจะตกต่ำถึงเพียงนี้

 

 

           เฉียวจื่อจี้กำลังยืนหันหลังให้เธอ เขาเพิ่งจะคุยโทรศัพท์เสร็จ พอหมุนตัวกลับมาก็พบว่าลูกสาวกำลังจ้องมองตนเองด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาหดคอเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงคนที่ตนเพิ่งจะคุยโทรศัพท์ด้วยแล้วก็มีความกล้าขึ้นมาอีก “ฟื้นแล้วเหรอ? พ่อขอเตือนเอาไว้เลยนะว่าอย่าคิดหนีเด็ดขาด เดี๋ยวก็มีคนมารับตัวลูกแล้ว”