ตอนที่ 460 ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน / ตอนที่ 461 การมาถึงของหรงจิง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 460 ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 

 

 

โหรวผินเดินเข้าไปข้างกายองค์หญิงหมิงอวี้ นางคิดจะกอดหมิงอวี้แทนฉู่อวิ๋นเซียว 

 

 

หมิงอวี้ยังไม่หยุดตะโกนร้อง เมื่อเห็นโหรวผินนางยิ่งลนลานจนถอยหลังกรูด โหรวผินยื่นมือเข้าไปหมายโอบกอดเพื่อให้นางสงบลงบ้าง 

 

 

“โอ๊ย!” 

 

 

“ปล่อยนะ!” 

 

 

โหรวผินกรีดร้องเสียงหลง ฉู่อวิ๋นเซียวมองเห็นองค์หญิงหมิงอวี้กัดฝ่ามือโหรวผินอย่างแรงไม่ยอมปล่อยจนเลือดอาบ โหรวผินกระชากฝ่ามือตนเองสุดกำลัง แต่หมิงอวี้กัดไว้แน่นไม่ปล่อยราวกับต้องการจะฆ่านางให้ตาย 

 

 

“องค์หญิงหมิงอวี้ รีบปล่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ทำแบบนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวปลอบเตือนองค์หญิงพร้อมกับคิดจะดึงนางออกมา แต่คนหนึ่งเป็นถึงองค์หญิง อีกคนเป็นผินผู้สูงศักดิ์ เขาไม่อาจล่วงเกินได้เลยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม 

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดหมิงอวี้จึงทำกับโหรวผินเช่นนั้น ในสายตาของผู้อยู่ในที่นั้นต่างคิดว่าองค์หญิงหมิงอวี้คงจะเสียสติไปเพราะความตกใจกลัวเป็นแน่จึงได้ทำเช่นนี้ 

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้รีบเร่งเข้ามาถึงพอดี พอผ่านเข้าลานมาก็เห็นร่างสาวน้อยชุดขาวห้อยอยู่ตรงทางเดิน เซียงฉือผงะถอยไปก้าวหนึ่ง นางยังไม่เคยเห็นภาพน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน หัวใจจึงแทบจะหยุดเต้น 

 

 

เรื่องที่นางหวั่นเกรงเกิดขึ้นจนได้ สวี่อี้ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเซียงฉือแต่ก็ยังหายใจติดขัด ชะงักค้างอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะดึงตัวเซียงฉือ 

 

 

ดึงนางออกมาจากข้างหน้าต่างนั้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง 

 

 

“องค์หญิง องค์หญิงเพคะ!” 

 

 

เพียงย่างเท้าเข้าไปก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องของผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ทำให้เซียงฉือกังวลใจอย่างยิ่ง 

 

 

หมิงอวี้กัดโหรวผินไว้แน่นไม่ยอมคลายปากแม้แต่น้อย ส่วนโหรวผินสีหน้าขาวซีด เหงื่อบนหน้าผากไหลย้อย เซียงฉือไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น 

 

 

ส่วนฉู่อวิ๋นเซียวพอเห็นเซียงฉือดุจราวกับได้พบกับเส้นฟางช่วยชีวิต 

 

 

“ใต้เท้าอวิ๋นเร่งหาวิธีเร็วเข้า องค์หญิงหมิงอวี้ไม่ทรงยอมคลายพระโอษฐ์เลย!” 

 

 

เซียงฉือมองดูแล้วเดินเข้าไปเพื่อปลอบโยน นางเห็นร่างหมิงอวี้คล้ายดั่งแข็งทื่อ แววตาที่มองโหรวผินเปี่ยมความชิงชังโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย 

 

 

เซียงฉือคิดตรองแล้วไม่พูดปลอบ นางเดินไปข้างหลังหมิงอวี้ 

 

 

ใช้ฝ่ามือต่างมีด ออกแรงสับลงตรงต้นคอหมิงอวี้ องค์หญิงหมิงอวี้ตาเหลือก ร่างอ่อนยวบสลบไสล 

 

 

เซียงฉือเคยฝึกวรยุทธ์พื้นฐานมาบ้าง หากใช้ต่อกรกับศัตรูจะยังไม่ได้เรื่องนัก แต่กับหมิงอวี้เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมแล้วยังพอจะใช้ประโยชน์ได้บ้าง 

 

 

เซียงฉืออ้าแขนรับร่างองค์หญิงไว้ โอบนางแผ่วเบาไว้แนบอก นางเงยหน้าขึ้นพูดกับสวี่อี้ว่า 

 

 

“สวี่อี้ เจ้ากับใต้เท้าฉู่จะต้องจับตัวคนร้ายมาให้ได้ รีบไปเถิด!” 

 

 

สวี่อี้มองเซียงฉือแล้วพยักหน้า เมื่อสบตากับฉู่อวิ๋นเซียวแล้วก็หมุนกายออกจากกองโอสถไป 

 

 

นางรู้ว่าเซียงฉือไม่อาจออกห่างหมิงอวี้ได้อีก เมื่อนางฟื้นขึ้นจะต้องหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งและไม่มีใครอีกแล้วที่นางจะไว้วางใจได้ 

 

 

“เด็กๆ รีบไปจัดหาห้องสงบห้องหนึ่ง องค์หญิงจะต้องทรงพักผ่อน แล้วรีบไปเชิญแพทย์หญิงมาตรวจโหรวผินอย่างละเอียด” 

 

 

สายตาโหรวผินเจือความพยาบาท แต่เซียงฉือในตอนนี้ไม่อาจแยกร่างเพื่อดูแลความรู้สึกของนางได้จึงช่วยกันกับหมัวหมัวอีกคนหนึ่งจากกองคดี ประคองแขนหมิงอวี้ พาออกนอกห้องไป 

 

 

มือของโหรวผินเปรอะไปด้วยเลือดและเศษเนื้อ สาวใช้ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อหุ้มไว้ชั่วคราว แล้วรีบไปเชิญแพทย์หญิงคนหนึ่งมาทำการรักษาบาดแผลให้โหรวผินตน 

 

 

จิตใจเซียงฉือในขณะนั้นทุ่มเทอยู่แต่หมิงอวี้ 

 

 

นางประคองหมิงอวี้ นึกตำหนิตนเองในใจไม่หยุดหย่อน 

 

 

นางปล่อยหมิงอวี้ไว้ที่นี่ ทำให้นางต้องเผชิญกับความน่าสะเทือนขวัญใหญ่หลวงเช่นนี้อีกครั้งได้อย่างไร 

 

 

น้ำตาแห่งความสำนึกเสียใจร่วงเผละลงบนเสื้อ แต่ในค่ำคืนฝนตกหนักเช่นนี้ นอกจากนางแล้ว ไม่มีใครอื่นที่ได้ยิน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 461 การมาถึงของหรงจิง 

 

 

เซียงฉือเฝ้าหมิงอวี้ ภายในกองโอสถอลหม่านไปทั่ว เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นในกองโอสถ ทำให้พวกนางทุกคนล้วนตื่นตระหนกไม่เป็นสุข 

 

 

สวี่อี้กับฉู่อวิ๋นเซียวออกไปได้สักพักหนึ่งแล้ว หลังจากเซียงฉือจัดการให้หมิงอวี้ได้พักเป็นที่เรียบร้อย ข้าราชสำนักสตรีมากันเป็นชุดๆ พวกนางยืนอยู่หน้าประตูคุยกันราวสัมผัสอักษร เซียงฉือไม่เข้าใจคำพูดพวกนางแม้แต่น้อย 

 

 

นางจับมือหมิงอวี้ไว้ มองดูใบหน้าที่ขาวซีดนั้น เหงื่อซึมออกเต็มหน้าผากและน้ำตาหลั่งรินดุจสายฝน 

 

 

หรงจิงกลับมายังกองโอสถอีกครั้งเมื่อได้รับทราบเรื่อง พอไปถึงห้องพักชั่วคราวของหมิงอวี้ เขาเห็นเซียงฉือกุมมือหมิงอวี้ไว้ ร่ำไห้ตำหนิตัวเอง 

 

 

เขาไม่ได้ทำให้นางตกใจ แต่คิ้วขมวดแน่น เมื่อส่งสัญญาณให้ซูกงกงรออยู่ข้างนอกแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ 

 

 

ฝีเท้าของเขาเบายิ่ง กอปรกับเสียงฝนด้านนอกจึงไม่อาจได้ยิน 

 

 

เซียงฉือกำลังทรมานใจ นางเอาแต่กุมมือองค์หญิงหมิงอวี้แล้วเฝ้าตำหนิตัวเอง 

 

 

“เป็นความผิดของเซียงฉือ ความผิดของหม่อมฉันเอง หลงคิดว่าตัวเองฉลาดนัก หากกลับมาช้าไป เพียงช้าไปอีกนิดเดียวจะทำอย่างไรดี องค์หญิง องค์หญิงจะต้องทรงปลอดภัยนะเพคะ” 

 

 

“องค์หญิง หมิงอวี้ เซียงฉือมาช้าไป หม่อมฉันควรอยู่กับพระองค์ ควรอยู่เป็นเพื่อนพระองค์” 

 

 

คำพูดเซียงฉือพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตาของนาง หรงจิงวางมือลงบนไหล่นาง เซียงฉือร่างสะท้าน เมื่อหันกลับไปเห็นชายชุดสีเหลืองอร่ามจึงรู้ว่าเขามาแล้ว แต่ไม่อาจระงับความโศกเศร้าในใจได้ 

 

 

นางกอดขาหรงจิงร้องไห้ออกมาเสียงเบา 

 

 

หรงจิงถอนหายใจแต่ไม่ได้ห้ามปรามนาง ปล่อยให้ร้องไปสักพักแล้ว เขาจึงลูบเส้นผมนางพูดว่า 

 

 

“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว” 

 

 

เซียงฉือหยุดร้องไห้ แต่น้ำตายังนองหน้าเมื่อเงยขึ้นมองหรงจิง 

 

 

“หม่อมฉันไม่อาจทำตามที่ฝ่าบาททรงรับสั่งได้ ไม่สามารถดูแลองค์หญิงหมิงอวี้ให้ดี ฝ่าบาททรงประทานโทษหนักแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะรู้สึกผิดต่อฝ่าบาท ผิดต่อองค์หญิงเพคะ” 

 

 

หรงจิงตบศีรษะนาง พูดต่อว่า 

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ ข้าจะเฝ้าหมิงอวี้เอง น้องสาวคนสุดท้องของข้า แต่ข้ากลับปล่อยให้นางต้องได้รับความลำบากเช่นนี้ ข้าเองที่เป็นพี่ชายคนนี้กลับไม่ได้ดูแลนางให้ดี เจ้าไปทำเรื่องที่ตนเองควรต้องทำเถอะ” 

 

 

เซียงฉือได้ยินคำพูดหรงจิงแล้วตกตะลึง หรงจิงไม่ได้ตำหนิโทษ ไม่แม้กระทั่งพูดจารุนแรงออกมา ซึ่งทำให้เซียงฉือยิ่งทนไม่ได้ และยิ่งกว่านั้นคือนางไม่เข้าใจ 

 

 

นางมองหรงจิงแล้วมองหมิงอวี้ จากนั้นพูดขึ้นว่า 

 

 

“หม่อมฉันเกรงว่าตัวเองแม้จะมีใจแต่ไร้ความสามารถ โง่เขลาเบาปัญญาอย่างที่สุดเพคะ มีแต่ทำทุกอย่างล้มเหลว ฝ่าบาททรงลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ” 

 

 

เซียงฉือคุกเข่าลงอีกครั้งเพื่อขอรับโทษ นางตำหนิตนเองอย่างที่สุด รู้สึกผิดหวังกับตัวเอง นางไม่อาจรับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ 

 

 

นางเต็มไปด้วยความสงสัยตัวเอง ส่วนหรงจิงเมื่อฟังนางพูดแล้วก็ยื่นมือไปสอดชายผ้าห่มให้หมิงอวี้ เมื่อหันหน้ากลับไป สีหน้านั้นผุดความเหนื่อยล้า 

 

 

“เซียงฉือ ข้าเชื่อใจเจ้า” 

 

 

“เจ้าสามารถเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าได้ อย่าปล่อยให้เรื่องอื่นใดมากระทบพรสวรรค์ของเจ้า เป็นเพราะไมตรีจิตของหมิงอวี้กับเจ้า ทำให้เจ้าเกิดความลังเลมากขึ้น ตอนนี้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกังวลใจอะไรอีก ไปทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่เบื้องหลัง และฝากความหวังอย่างสูงไว้กับความสำเร็จของเจ้า” 

 

 

หรงจิงพูดจบก็หันกลับไป ยื่นมือออกวัดอุณหภูมิหมิงอวี้แผ่วเบา เซียงฉือฟังจบแล้วจึงทำความเคารพ ถอยออกไป 

 

 

เมื่อเซียงฉือออกไปแล้ว หรงจิงนั่งตัวตรง แววตาสงสารเมื่อครู่หายไปแล้ว แต่เป็นการมองอย่างพินิจพิเคราะห์เคร่งขรึม 

 

 

“หมิงอวี้ นางไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรบอกข้ามาได้เลย”