ส่วนที่ 5 ตอนที่ 39-1 โกรธไม่ลง

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

หลังจากจินเยี่ยนออกมาจากห้องทรงหนังสือแล้ว ก็ถอนหายใจยาวเหยียด 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางถูกคุมตัวเข้าคุกมืดไปแล้ว นอกห้องทรงหนังสือเงียบสงบ ไร้เสียงโหวกเหวกโวยวายใดๆ  

 

           นางยืนนิ่งนอกห้องทรงหนังสือพักหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินไปยังตำหนักไทเฮา 

 

           องค์หญิงใหญ่ถูกยกไปยังตำหนักไทเฮาในสภาพที่หมดสติ ไทเฮาตกพระทัย รีบตรัสถามสาเหตุ แล้วให้คนรีบไปตามหมอหลวงมา 

 

           ไม่นานหมอหลวงก็วิ่งกระหืดกระหอบมา ตรวจชีพจรให้องค์หญิงใหญ่ สักพักต่อมาก็ทูลรายงานไทเฮาด้วยความเคารพ “องค์หญิงใหญ่ถูกไฟโทสะโจมตีหัวใจ ทำให้หมดสติไปชั่วคราว มิได้ร้ายแรงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

           “ต้องออกเทียบยาหรือไม่” ไทเฮาถาม 

 

           หมอหลวงส่ายหน้า “ตามความเห็นกระหม่อม มิต้องออกเทียบยา แต่กระหม่อมจะฝังเข็มให้องค์หญิงใหญ่ ครู่เดียวก็ฟื้นขึ้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

           ไทเฮาพยักพระพักตร์ “เช่นนั้นเจ้ารีบฝังเข็มให้นางเถอะ” 

 

           หมอหลวงทำตามบัญชาอย่างเชื่อฟัง หยิบเข็มทองออกมา ทำการฝังเข็มให้องค์หญิงใหญ่ 

 

           สักพักถัดมา องค์หญิงใหญ่ก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา 

 

           “ฟื้นแล้วจริงด้วย” ไทเฮาทรงดีพระทัย รีบก้าวขึ้นมาทันที  

 

           หลังจากองค์หญิงใหญ่ฟื้นขึ้นมา พบว่าตนอยู่ในตำหนักไทเฮาก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที คว้ากายไทเฮาไว้ “เยี่ยนเอ๋อร์เล่า แล้วเจิ้งเซี่ยวหยางคนนั้นล่ะ ข้าหลับไปนานเท่าไร” 

 

           ไทเฮาลอบถอนหายใจ นี่แหละหนอหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมา นางตรัสขึ้นทันที “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ เจ้าหลับไปเพียงครู่เดียว ตอนนี้ท่านหญิงกับเจิ้งเซี่ยวหยางน่าจะยังอยู่ที่ห้องทรงหนังสือของฝ่าบาท” 

 

           “ฝ่าบาททรงลงโทษเจ้าสารเลวนั่นอย่างไร” องค์หญิงใหญ่ถามทันที 

 

           ไทเฮาส่ายพระพักตร์ 

 

           “ไม่ได้การ ข้าต้องกลับไปที่ห้องทรงหนังสือ ข้าไม่อยู่ เยี่ยนเอ๋อร์ปกป้องเจิ้งเซี่ยวหยางนั่น ไม่แน่ว่า 

 

ฝ่าบาทอาจไม่ลงโทษเขา” องค์หญิงใหญ่พูดพลางก็ลงจากเตียง หมายจะเดินไปด้านนอก 

 

           ไทเฮายื่นพระกรขวางนาง “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม เจ้าหมดสติเพิ่งฟื้นมา ระวังร่างกายด้วย” 

 

           “ข้าจะไม่รีบร้อนได้อย่างไร” องค์หญิงใหญ่ปัดพระหัตถ์ไทเฮาออก แล้วเดินออกไปทันที 

 

           ไทเฮามองนางอย่างจนปัญญา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเดินตามออกไป 

 

           องค์หญิงใหญ่เพิ่งเดินมาถึงทางเข้าตำหนักไทเฮา ก็พบจินเยี่ยนที่กำลังเดินมาพอดี นางหยุดเท้าโดยพลัน รีบถามขึ้นว่า “เจิ้งเซี่ยวหยางเล่า ฝ่าบาททรงลงโทษเขาอย่างไร” 

 

           จินเยี่ยนมององค์หญิงใหญ่ ท่าทางของมารดาแทบอยากให้ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการประหารเจิ้งเซี่ยวหยาง นางถอนหายใจแล้วตอบว่า “ฝ่าบาทมีพระราชโองการ คุมตัวเขาไปขังในคุกมืดแล้ว” 

 

           องค์หญิงใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่ง คุกมืดน่ากลัวยิ่งกว่าคุกบนดินนั้นนางรู้ดี มองบุตรีด้วยความคลางแคลงใจ “จริงหรือ” 

 

           “จริงแน่นอน แม้ลูกมิได้ตำหนิเขา แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางอาลักษณ์ในราชสำนัก ไปเที่ยวหอนางโลมกลางวันแสกๆ ขัดต่อศีลธรรมและพฤติกรรมของอาลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่ก็เชิญใต้เท้าทุกคนจากสำนักตรวจการมายื่นมติไม่ไว้วางใจ ฝ่าบาทจะไม่ทรงลงโทษเลยได้อย่างไร” จินเยี่ยนตอบเสียงเรียบ 

 

           องค์หญิงใหญ่ได้ยินนางพูดเช่นนี้ สีหน้าก็ปลอดโปร่งขึ้น แต่ใบหน้าจินเยี่ยนกลับเรียบเฉย นางก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง คลายน้ำเสียงอ่อนโยนลง “เยี่ยนเอ๋อร์ คนแบบนั้นจะคู่ควรกับเจ้าได้อย่างไร ฝ่าบาทนำตัวเขาไปขังในคุกมืดนั้นเป็นการกระทำที่เฉลียวฉลาดไม่น้อย ในเมื่อเขามีหน้ากระทำเรื่องแบบนี้ มิได้นึกถึงผลที่ตามมาเลยรึ ถือว่าความผิดสาสมแก่การลงโทษแล้ว เจ้าไม่ต้องเสียใจเพราะเขาหรอก” 

 

           “ข้ามิได้เสียใจเพราะเขา” จินเยี่ยนส่ายหน้า  

 

           “เจ้าคิดได้แล้ว ขอยกเลิกการหมั้นต่อฝ่าบาทแล้ว” องค์หญิงใหญ่ดีใจ  

 

           จินเยี่ยนมององค์หญิงใหญ่ ยังคงส่ายหน้า น้ำเสียงเรียบสงบ “หากเขาตายในคุกมืด ข้าอยู่เป็นม่ายเพื่อเขาก็พอแล้ว” 

 

           องค์หญิงใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที บันดาลโทสะขึ้นมาอีกหน “เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ เขาเลวทรามถึงเพียงนั้น มีอะไรดีกัน” 

 

           “ถึงแม้เขาเลวทราม ใต้หล้าล้วนคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับข้า แต่แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ข้าเลือกในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว” จินเยี่ยนตอบ 

 

           องค์หญิงใหญ่ชี้หน้านาง โกรธจนพูดไม่ออก 

 

           จินเยี่ยนมองนาง พลันลดเสียงทุ้มต่ำลง “ท่านแม่ การออกเรือนไปเป่ยฉีครั้งนั้น เดิมทีควรเป็นหน้าที่ของท่าน แต่กลับเป็นคุณหนูเซี่ยเฟิ่งแห่งจวนจงหย่งโหวที่ไปแทนท่าน ส่วนท่านก็เลือกท่านพ่อ แต่ท่านพ่อชะตาสั้นทิ้งท่านไว้แล้วจากไปก่อน ตามกฎราชนิกุลหนานฉิน หลังองค์หญิงสมรสออกไป มิอาจสมรสครั้งที่สองได้อีกแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ ท่านมีความสุขหรือไม่” 

 

           องค์หญิงใหญ่ชะงัก 

 

           “ท่านอยู่เฝ้าเรือนเพียงลำพัง อยู่เป็นม่ายเพื่อท่านพ่อตั้งแต่ยังเยาว์ เคยนึกเสียใจภายหลังบ้างหรือไม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ต่อหน้าไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์ท่าน แต่ลับหลังกลับมีคนพูดว่าคุณหนูเซี่ยเฟิ่งแห่งจวน 

 

จงหย่งโหวนั้นฉลาด กล้าหาญ มีคุณธรรมรักแผ่นดิน แต่ท่านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่มีจิตสำนึกของการเป็นองค์หญิงในราชวงศ์ เพลิดเพลินอยู่กับความเจริญรุ่งเรืองสมเกียรติอันมีราชวงศ์คอยคุ้มครอง มิได้ทำอันใดเพื่อฮ่องเต้หนานฉิน ลูกไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้” จินเยี่ยนเห็นใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ที่เปลี่ยนจากแข็งทื่อเป็นไม่น่ามอง นางถอนหายใจออกมา “ท่านอาจไม่เคยเสียภายหลังมาก่อน แต่ลูกกลับไม่อยากเสียใจภายหลังในอนาคต” 

 

           “เจ้า…” องค์หญิงใหญ่มองจินเยี่ยนด้วยความโกรธ เนื้อตัวสั่นเทา “นี่เจ้ากำลังว่าแม่รึ” 

 

           “ลูกมิได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจท่าน” จินเยี่ยนมองนาง แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าแค่อยากยกตัวอย่างจากเรื่องนี้ ตอนนั้นท่านก็เลือกทางเดินของตัวเอง คิดว่าเจริญรุ่งเรืองกว่าการไปเป่ยฉี แต่ไม่คาดคิดว่าท่านพ่อกลับด่วนจากไปก่อน ทำให้ท่านเดียวดายมาตลอดหลายปี และยังต้องเดียวดายต่อไปชั่วชีวิต ดังนั้นถึงบอกว่าไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตไว้อย่างแท้จริง ไม่มีเส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง วันนี้ข้าเลือกเจิ้งเซี่ยวหยาง ไม่ว่าเขาไม่ดีอย่างไร แต่ข้าก็เลือกไปแล้ว วันหน้าแม้มานึกเสียใจภายหลัง ข้าก็จะยอมรับมันด้วยตัวเอง เหมือนกับท่าน” 

 

           องค์หญิงใหญ่มองนาง ริมฝีปากสั่นระริก เนิ่นนานที่ใบหน้าแข็งทื่อนั้นซีดขาว พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

           “ข้าประคองท่านกลับจวนดีกว่า” จินเยี่ยนพูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่พูดต่ออีก ก้าวขึ้นมาประคอง 

 

องค์หญิงใหญ่ 

 

           องค์หญิงใหญ่สะบัดมือนางออกอย่างแรง มองนางด้วยความโกรธ “เจ้าช่างเป็นลูกสาวสุดประเสริฐของข้าโดยแท้ สมกับเป็นลูกสาวของข้า” 

 

           จินเยี่ยนไม่ส่งเสียงใด 

 

           องค์หญิงใหญ่ยิ้มด้วยความโกรธแค้น “ได้ ข้ายอมเจ้าแล้ว หากเจิ้งเซี่ยวหยางตายในคุกมืด เจ้าก็เป็นม่ายเพื่อเขาเถอะ หากเขารอดชีวิตกลับมาได้ เจ้าอยากแต่งก็แต่ง จากนี้ข้าไม่ห้ามอะไรเจ้าอีกแล้ว” 

 

           จินเยี่ยนพยักหน้า 

 

           องค์หญิงใหญ่โกรธจนสะบัดแขนเสื้อจากไป เดินออกจากวังหลวง 

 

           จินเยี่ยนยืนนิ่ง มิได้ตามนางออกไป หากแต่มองมารดาที่เดินออกจากวังด้วยฝีเท้าโซเซเล็กน้อย ไม่ว่ามารดาตนเห็นแก่ตัวจนถูกหลายคนประณามเหยียดหยาม แต่ตนก็เป็นบุตรีของนาง นางไม่ควรใช้จุดอ่อนมาพูดจาทำร้ายจิตใจของผู้เป็นมารดา แต่นางไม่มีทางเลือกแล้ว มิฉะนั้น ด้วยโทสะของท่านแม่ จะต้องก่อเรื่องไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ 

 

           ตอนนั้น เพื่อที่จะไม่ออกเรือนไปเป่ยฉี นางก็ก่อเรื่องไม่หยุดเช่นกัน 

 

           สุดท้าย โชคดีที่มีเซี่ยเฟิ่งมาช่วยปลดเปลื้องนางเป็นอิสระ 

 

           นางพลันอยากพบเซี่ยฟางหวาอย่างยิ่ง 

 

           “ท่านหญิงหากไม่อยากตามองค์หญิงใหญ่กลับจวน ก็เข้ามานั่งคุยกับข้าในตำหนักก่อนเถิด” ไทเฮามองจินเยี่ยน คิดว่าเมื่อก่อนนางชอบโอรสของตนตลอดมา แม้ตนเองไม่เคยแสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ก็ตระหนักอยู่เสมอว่านางไม่คู่ควรกับโอรสของตน ทว่าตอนนี้ในเวลาอันสั้นนั้น นึกไม่ถึงว่านางเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ในใจอดมิได้ที่จะทอดถอนใจขึ้นมา 

 

           นางเข้มแข็งกว่าองค์หญิงใหญ่มาก ตระหนักในศีลธรรมถ่องแท้ แต่ดันกระโดดลงไปในขุมนรกอย่างคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง คุณชายรองท่านนี้แม้ตนไม่เคยพอมาก่อน แต่คิดว่าเขาเข้ามาในเมืองแค่สองวันก็มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนเมืองหลวงแล้ว ก่อเหตุจนเมืองหลวงลุกฮือ ทำให้องค์หญิงใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ได้ บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ควรคบหาสมาคมด้วย 

 

           แต่จินเยี่ยนสมัครใจเอง ฝ่าบาทมอบสมรสพระราชทานให้ องค์หญิงใหญ่ขวางมิได้แล้ว นับว่ามีวาสนาต่อกัน 

 

           จินเยี่ยนมองไทเฮาแวบหนึ่ง สำรวมสีหน้า แล้วส่ายศีรษะตอบ “ข้าอยากไปจวนอิงชินอ๋องสักหน่อย มีบางเรื่องต้องคุยกับฟางหวา ไว้วันหน้าค่อยมานั่งคุยกับท่าน” 

 

           “ย่อมได้” ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มิได้รั้ง แย้มสรวลพลางพยักพระพักตร์ 

 

           จินเยี่ยนหมุนตัวออกจากวังหลวง 

 

           ไทเฮามองส่งสองแม่ลูกที่พากันเดินไล่หลังออกไปไกล ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา 

 

           หรูอี้ก้าวขึ้นมา กระซิบว่า “ไทเฮา ไฉนท่านจึงถอนหายใจเล่าเพคะ” 

 

           “ข้ากำลังคิดว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งฮองเฮาเมื่อไร แล้วจะแต่งสตรีแบบใดเข้ามา” ไทเฮาตอบ 

 

           “คุณหนูอีครอบครัวหกบอกแล้วว่าถึงต้องเดียวดายไปชั่วชีวิตก็จะรอฝ่าบาท ฝ่าบาททรงดูมิได้รังเกียจคุณหนูอี บางทีอาจประทับใจในตัวนาง เลือกสมรสกับนางก็เป็นได้เพคะ” หรูอี้กะพริบตา  

 

           ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มองไปทางที่ตั้งจวนครอบครัวหกนอกวังหลวงแวบหนึ่ง “หวังว่าเป็นเช่นนั้น” ตรัสจบนางก็ถามว่า “หลินไท่เฟยกับองค์ชายแปดเล่า เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

           “ตั้งแต่องค์ชายแปดกลับจวน ฟังว่าก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ จนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมาเพคะ วันนี้แม้แต่ราชการยามเช้าก็มิได้เข้าร่วมด้วย ฝ่าบาทก็มิได้ทรงตำหนิหรือถามถึง ส่วนไท่เฟยหลังกลับจวนก็ล้มป่วย เชิญหมอหลวงไปตรวจดูแล้ว” หรูอี้กระซิบตอบ  

 

           “หมอหลวงว่าอย่างไร ร้ายแรงต่อร่างกายไท่เฟยหรือไม่” ไทเฮาถามทันที 

 

           “ฟังว่าเพราะเพื่องานสมรสขององค์ชายแปดเมื่อก่อนหน้านี้ ไท่เฟยทำงานหนักมากเกินไป ยามนี้รู้ว่าองค์ชายแปดมีใจเลื่อมใสคุณหนูอี แต่คุณหนูอีชอบฝ่าบาท เกิดเรื่องซับซ้อนแบบนี้ ล้วนแก้ปัญหามิได้ ทำให้เหนื่อยล้าจนล้มป่วย บอกว่ามิได้ร้ายแรง พักผ่อนในจวนก็พอแล้วเพคะ” หรูอี้ตอบ  

 

           “ไท่เฟยเฉลียวฉลาดมาทั้งชีวิต เลอะเลือนไปชั่วเวลาหนึ่ง องค์ชายแปดอยู่ข้างกายนางมานานถึงเพียงนี้ นางกลับไม่รู้ว่าเขาเลื่อมใสในตัวเซี่ยอีของครอบครัวหก ก่อนหน้านี้ยังผูกด้ายแดงให้กับเซี่ยซี พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ล้มป่วยลงก็มิได้แปลกอะไร” ไทเฮาถอนหายใจ  

 

           หรูอี้พยักหน้า 

 

           “ไท่เฟยอายุมากแล้ว” ไทเฮาครุ่นคิด ก่อนสั่งงาน “เจ้าไปบอกคลังยาหลวง จัดหายาบำรุงร่างกายส่งไปให้ไท่เฟยที่จวนองค์ชายแปด” 

 

           “เพคะ” หรูอี้ผงกศีรษะพร้อมรับคำ 

 

           ไทเฮาหมุนตัวกลับเข้าไปในตำหนัก