ตอนที่ 430 บุรุษหน้าขาวดำ
“ตรวจพบกงกง 18 คนเจ้าค่ะ กรุณายืนยันตัวเลือกเพิ่มเติม”
เสียงของเสี่ยวจี้ดังตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย
หืม?
มีกงกงถึง 18 คนเลยหรือ?
ผลการค้นหาผิดพลาดหรือเปล่านะ?
ทำไมถึงไม่มีกงกงเยอะขนาดนั้น?
นี่เขากำลังค้นหาคน ไม่ใช่ค้นหาสถานที่สักหน่อย
“นายท่านสามารถจำกัดวงค้นหาได้แค่ในเมืองหยุนเมิ่งด้วยนะเจ้าคะ” เสียงของผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะอธิบายด้วยความนุ่มนวล “เสี่ยวจี้ได้ลองจำกัดวงค้นหาให้นายท่านแล้ว และปรากฏว่าในเมืองหยุนเมิ่งมีกงกงอยู่ด้วยกัน 3 คน แต่ถ้านำผลการค้นหาของกงเมิ่งมารวมเข้าด้วยกัน ก็จะพบกับเป้าหมายเพียงแค่จุดเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เสี่ยวจี้แสดงภาพแผนที่ขึ้นมาบนผนังห้อง และภาพสุดท้ายที่แสดงขึ้นมาก็คือกระท่อมร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ทางเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหยุนเมิ่ง
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ทำไมถึงฉลาดแบบนี้วะ?
หลังจากอัปเดตระบบรอบนี้ เสี่ยวจี้ก็มีความฉลาดมากขึ้นราวกับเป็นโทรศัพท์เครื่องใหม่
เกือบจะมีความฉลาดเท่ากับจาร์วิสของไอรอนแมนแล้วด้วยซ้ำ
“เจ้าช่วยหาให้หน่อยได้ไหมว่าใครกันเป็นคนที่ลักพาตัวครอบครัวของกงกง?”
เสี่ยวจี้ตอบกลับมาทันที “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้อมูลในแผนที่ไม่รองรับการค้นหารูปแบบนี้”
เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก
เอาล่ะ
เขาขอถอนคำพูดเมื่อสักครู่นี้ก็แล้วกัน
เสี่ยวจี้ยังห่างไกลจากการเป็นจาร์วิสอีกมากนัก
แต่เมื่อได้รู้สถานที่ปลายทางแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาวางแผนอยู่เพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากติงซานฉือหรือนักพรตหญิงชิน
ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของพวกผู้หลักผู้ใหญ่ หน่วยสืบข่าวที่หวังจงก่อตั้งขึ้นมาก็จะถูกเปิดโปง มิหนำซ้ำ ฝ่ายตรงข้ามก็จะรู้แล้วว่านักพรตหญิงชินกับติงซานฉืออยู่ฝ่ายเดียวกับหลินเป่ยเฉิน และนั่นก็จะทำให้ทั้งสองท่านถูกจับตามองหลังจากนี้อย่างแน่นอน
สถานการณ์ในขณะนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมและใช้เวลาชั่วชงน้ำชา 1 ถ้วยวางแผนการทั้งหมดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุด เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากห้องนอน
หลังจากนั้น ก็เรียกให้อากวงเข้ามาหา
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งว่า “ใช้ความสามารถในการล่องหนของเจ้า พาข้าออกไปจากที่นี่หน่อยสิ”
“ข้าน้อยรับคำบัญชานายท่าน”
อากวงเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนด้วยแววตาตื่นเต้น “ในที่สุดข้าน้อยก็จะได้ทำงานให้แก่นายท่านแล้วใช่ไหมขอรับ? นี่นับเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตของข้าน้อยเลย”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “ไม่เลวนี่นา ระดับสติปัญญาของเจ้าเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยนะ”
อากวงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าเดิม
ปึ้ด
มันรีบลบข้อความเก่าบนกระดานเพื่อเขียนข้อความใหม่
“ข้าน้อยจะพยายามให้เต็มที่และสามารถตายแทนนายน้อยได้เลยขอรับ”
นั่นคือข้อความที่ถูกเขียนออกมา
หลินเป่ยเฉินมุมปากกระตุก
เพี๊ยะ!
เขาตวัดมือตบหัวเจ้าหนูอากวงอย่างแรง “คนกำลังจะออกไปทำงานใหญ่ มาพูดเรื่องความตายทำไม แสดงว่าเจ้ายังไม่รู้จักเรื่องกาลเทศะ หลังจากนี้เพิ่มการบ้านอีกเป็น 2 เท่า”
เจ้าหนูเป็นฝ่ายที่ต้องมุมปากกระตุกบ้างแล้วเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปจับขาหน้าของมัน
แล้วอากวงก็ใช้ความสามารถพิเศษเฉพาะตัวในการล่องหน นำพาผู้เป็นเจ้านายออกไปจากบ้านพักโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
หลังจากนั้นชั่วชงน้ำชา 1 ถ้วย
“นำจดหมายฉบับนี้ไปส่งมอบให้กับนักพรตหญิงชิน จริงด้วยสิ เจ้ายังไม่เคยพบนางมาก่อน เอาเป็นว่ามองหานักบวชหญิงที่มีหน้าอกใหญ่มากที่สุดในวิหารนั่นแหละ… แต่ระวังด้วย อย่าให้ถูกผู้ใดพบเจอเด็ดขาด เจ้าต้องแอบเข้าไปเงียบๆ เข้าใจหรือไม่?”
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินและเจ้าหนูอากวงกำลังยืนอยู่บนถนนที่ห่างไกลผู้คนสายหนึ่ง
เขายื่นจดหมายให้แก่อดีตราชันหนูอสูรด้วยสีหน้าจริงจัง
นี่คือหลักประกันของหลินเป่ยเฉิน
อากวงยกมือตบหน้าอกตนเอง แล้วมันก็ล่องหนหายไปทันที
“ทีนี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเราแอบออกมาจากตำหนักไม้ไผ่ ต่อให้พวกมันแอบส่งคนมาสอดแนมก็ไร้ประโยชน์…”
หลินเป่ยเฉินคิดในระหว่างที่จ้องมองเจ้าหนูอากวงหายตัวไป
ต่อจากนั้น เขาก็ใช้งานแอปเมจิก คาเมร่า เปลี่ยนโฉมตนเองเป็นคนอื่น เรียบร้อยดีแล้วก็นำเสื้อคลุมสีขาวออกมาสวมใส่ ก่อนใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ถูกระบุเอาไว้ในแอปไป่ตู้ แมป ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กระท่อมร้างในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหยุนเมิ่ง
หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เด็กหนุ่มก็มาถึงที่หมาย
กระท่อมร้างแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นที่ตั้งของสมาคมผู้ค้าอาหารทะเล
แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ว่ากันว่าในโพ้นทะเลเกิดสงครามครั้งใหญ่ ชาวทะเลที่ขึ้นมาหากินอยู่บนแผ่นดินใหญ่จึงได้ถอนกำลังกลับไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่เฒ่าทะเลก็ลาออกจากการเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม ดังนั้นกระท่อมร้างแห่งนี้จึงไม่มีใครเป็นเจ้าของอีกแล้ว
บนหน้าจอของแอปไป่ตู้ แมปมีจุดสีแดงกะพริบอยู่เต็มไปหมด นั่นคือตำแหน่งที่หลินเป่ยเฉินควรหลีกเลี่ยง เพราะมีผู้คนกำลังสัญจร และถ้าเขาถูกพบเห็นขึ้นมา มันก็อาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาได้ ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงจำเป็นต้องใช้ทางลัดครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่สุด เขาก็มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้ากระท่อมไม้หลังใหญ่ใจกลางป่า
หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาย่องหาโฉมสะคราญทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนหลังคากระท่อมไม้โดยไม่มีผู้ใดผิดสังเกต
เขาแอบจ้องมองลงไปผ่านรูรั่วบนหลังคาด้วยความระมัดระวัง
สถานการณ์ภายในกระท่อมร้างขณะนี้
กงกงมือขาดไปหนึ่งข้าง ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงเข้ม ร่างกายถูกจับมัดติดอยู่กับเสาต้นหนึ่ง
มือข้างที่ถูกตัดทิ้งไปยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
เลือดสีแดงสดไหลหยดลงไปกองอยู่ที่เท้าของเขา
กงกงคอพับหมดแรง เห็นได้ชัดว่าสูญเสียเลือดมากเกินไป มีอาการไม่สู้ดี
ส่วนเสาอีกต้นหนึ่งก็มีร่างของเด็กสาวถูกจับมัดเอาไว้เช่นกัน นางสวมใส่ชุดลูกศิษย์ของสถานศึกษาแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องเป็นกงเมิ่งนั่นเอง
ส่วนที่ด้านข้าง ก็ยังมีหญิงสาวอีกคนพร้อมด้วยชายชราและหญิงชราอีกหนึ่งคู่ ถูกจับมัดมือมัดเท้า ร่างกายมีบาดแผลที่บอกว่าผ่านการทรมานมาอย่างทารุณ
“ได้โปรด หยุดเลือดให้แก่บิดาของข้าก่อน พวกเจ้าต้องหยุดเลือด…” กงเมิ่งขอร้องอ้อนวอนเสียงดัง “ถ้าสูญเสียเลือดมากไปกว่านี้ บิดาของข้าอาจจะเสียชีวิตได้”
ที่ด้านตรงข้าม
มีการนำลังไม้มาวางเรียงกันไว้แบบไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่
ชายฉกรรจ์ชุดดำหกคนกำลังนั่งดื่มกินรับประทานอาหารด้วยความสนุกสนานเฮฮา
หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษหนุ่มอายุ 30 ปี แต่งกายด้วยชุดของบัณฑิตคงแก่เรียน เขากำลังนั่งอยู่บนหลังไม้ใบหนึ่ง และปรึกษาหารืออยู่กับหญิงสาวในชุดเขียวที่นั่งอยู่ข้างกัน
“หึหึ อีกไม่นานเดี๋ยวพ่อเจ้าก็ต้องตายอยู่แล้ว ห้ามเลือดไปจะมีประโยชน์อันใด?”
บัณฑิตหนุ่มหันหน้ามาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สาวน้อย เจ้าคงไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดคิดว่า หลินเป่ยเฉินจะยินดีลงนามในสัญญามอบความตายทันทีที่เขาได้รับมือของพ่อเจ้าหรอกกระมัง? ตาสว่างเสียเถิด พ่อของเจ้าไม่มีค่าในสายตาสำหรับคนอย่างหลินเป่ยเฉินสักนิด”
เมื่อบัณฑิตหนุ่มหันหน้ามาพูดกับกงเมิ่ง หลินเป่ยเฉินถึงได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ ตา
ปรากฏว่าบัณฑิตหนุ่มคนนี้มีใบหน้าครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวราวกับหิมะ และมีใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีดำราวกับเถ้าถ่าน
มองแวบแรก บัณฑิตหนุ่มมีความน่าขนลุกเหมือนยมทูตที่ขึ้นจากนรกมารับดวงวิญญาณในนิยายแฟนตาซีไม่มีผิด
“เฮอะ”
กงกงไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน อยู่ดีๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ถ่มน้ำลายเปื้อนเลือดใส่บุรุษใบหน้าขาวดำ
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกตัดมือและมีสภาพร่างกายอยู่ในภาวะร่อแร่ปางตาย แววตาของเขาก็ยังคงเย็นชาและเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างน่ากลัวยามจ้องมองฝ่ายตรงข้าม “นายน้อยของข้าเป็นผู้ที่ถูกเลือก นายน้อยเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา นายน้อยย่อมไม่ทิ้งบริวารของตนเอง… สุนัขข้างถนนอย่างพวกเจ้า ถึงกับกล้ามาสังหารสมาชิกหน่วยสืบข่าวของพวกเรา นายน้อยต้องไม่ปล่อยให้พวกเจ้าลอยนวลเด็ดขาด อย่าแม้แต่จะคิดว่าพวกเจ้าจะได้กลับออกไปจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างมีชีวิตอีกเลย”
หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นได้ว่าทางซ้ายมือของเสาไม้ ห่างออกไปเพียงไม่กี่วา มีศพของชายฉกรรจ์ 4 คนนอนตายอยู่บนพื้นดินด้วยสภาพที่น่าอนาถเหลือเกิน
ดูจากเสื้อผ้าที่ชายฉกรรจ์เหล่านั้นสวมใส่ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งแน่นอน
เมื่อรวมเข้ากับข้อมูลก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วว่าชายฉกรรจ์เหล่านี้คงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกน้องที่กงกงพามาช่วยเหลือครอบครัวของตนเองเมื่อตอนบ่ายนั่นเอง
ทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า… หลินเป่ยเฉินนับเป็นตัวอะไร ปกป้องตัวเองยังทำไม่ได้ แล้วคิดหรือว่ามันจะมีปัญญามาทำอะไรพวกข้า?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีเขียวแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “ถ้าเขาไม่ได้มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก ป่านนี้ก็คงตายไปนานแล้ว… แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก อีกครึ่งชั่วยามต่อจากนี้ ก็ได้เวลาที่เราจะมอบของขวัญให้เขาอีกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า มือที่เหลืออยู่อีกข้างของเจ้า ชิงตัดเสียเลยตอนนี้จะดีกว่า เวลาที่ส่งมอบถึงมือผู้รับ จะได้ไม่เปื้อนเลือดน่าเกลียดแบบครั้งที่แล้ว”
นางลุกขึ้นถือมีดยาวเล่มหนึ่ง เดินตรงเข้าไปหากงกง
“ไม่นะไม่ อย่านะ…”
กงเมิ่งพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการกับเสาไม้ พร้อมกันนั้นก็ขอร้องอ้อนวอนสุดชีวิต “ได้โปรดอย่าตัดมือบิดาของข้าอีกเลย ข้าสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการ แต่อย่าตัดมือท่านพ่อ…”
“หืม?” บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำยิ้มกริ่ม “เจ้ายินดีทำทุกอย่างจริงหรือ?”