ตอนที่ 461 หวานกว่าน้ำตาล ร้ายแรงยิ่งกว่ายาพิษ
“เจ้าก็นารีเป็นเหตุไม่ใช่หรือ เอาหัวใจข้าไปแล้ว ตอนนี้ยังจะเอาหัวใจข้าไปเสี่ยง” ริมฝีปากอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาก้มลงไปจูบแล้วดูดดึงริมฝีปากบนล่าง หวานยิ่งกว่าน้ำตาล แต่ก็ร้ายแรงยิ่งกว่ายาพิษ ทำเอาเขาไม่อาจถอนตัวได้และก็ยอมที่จะจมดิ่ง จมอยู่ในวงจรนี้ไม่อยากหลุดพ้น ก็เพียงแค่ชีวิตเดียวไม่ใช่หรือ ชาติต่อไปก็ให้นาง
จู่ๆ ข้างนอกห้องก็มีฝนโปรยลงมา ตอนแรกก็เป็นเพียงเม็ดฝนจางๆ จากนั้นก็เทลงมา ลมพัดรุนแรง พัดจนหน้าต่างเกิดเสียงดังเหมือนดังจะทะลุเข้ามาและทำเอาคนอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
น่าอวี้กลับลังเลเศร้าหมองในค่ำคืนเช่นนี้ ที่เฉินยางพูดกับนางวันนี้ เพียงบอกไปประโยคสองประโยคไปในวัง สำหรับเฝิงเยี่ยไป๋แล้วก็เป็นบาดแผลไม่น้อยเลย
อวี๋เอ๋อร์กางร่มเข้ามาจากข้างนอก นางวางอาหารไว้อยู่บนโต๊ะ ยกถ้วยยาให้นาง น่าอวี้ให้นางไปเอาผ้ามาเช็ดแล้วจ้องมองยาถ้วยใหญ่นั้นเหม่อลอย อวี๋เอ๋อร์บิดแขนเสื้อที่เปียกฝนนั้นแล้วพูดว่า “นายหญิง เมื่อครู่ข้าเห็นท่านหมออิ๋งโจวแล้ว ตอนแรกเขาอยากจะมาหาท่านแต่ก็กลัวไม่สะดวก จึงฝากคำพูดมากับข้าแทนว่ารอให้พรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใสแล้ว พบกันที่สวนดอกไม้”
น่าอวี้บีบจมูกดื่มยาลงไป เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอามือเท้าศีรษะ “ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้าก็รีบกลับไปนอนเถิด ข้าก็ต้องพักแล้วเช่นกัน”
“ข้าไม่กลับไป ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่ หากกลางดึกท่านไอขึ้นมาอีก ข้างกายไม่มีคนดูแลไม่ได้ ข้านอนอยู่บนเตียงข้างนอกก็พอแล้ว เช่นนี้ท่านมีอะไรก็จะได้สั่งข้าได้ทันที”
นางไม่ไป นางก็มัดมือมัดเท้าทำงานไม่สะดวก น่าอวี้พูดว่า “ข้าได้ดื่มยาไปแล้ว ยังจะเป็นอะไรได้อีก เจ้ากลับไปพักเสียเถิด กลางคืนหนาวนัก หากเจ้าหนาวจนเป็นโรคขึ้นมา เช่นนั้นข้างกายข้าก็ไม่มีใครแล้วจริงๆ ที่ข้านี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง กลับไปนอนเสียเถิด”
อวี๋เอ๋อร์หลอกง่ายที่สุดแล้ว คำพูดของน่าอวี้นางไม่เถียงเลย นอกจากยามที่ดื้อดึงขึ้นมาจะเถียงกับนางอยู่เล็กน้อย ที่เหลือก็เชื่อฟังดี
น่าอวี้กล่อมอวี๋เอ๋อร์กลับไป นางผลักหน้าต่างออก ข้างนอกมีเสียงฟ้าผ่า ฝนเทสาดลงมา ร่างของนางบอบบาง ออกไปข้างนอกถูกลมพัดแล้วล้มง่ายนัก นางหาผ้าคลุมมาคลุมแล้วคลำหาอยู่ในห้องไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ถอดกลอนประตูออก แล้วกางร่มออกไปแล้ว
พั่งไห่รออยู่ที่จุดนัดพบของทั้งสองคนนานแล้ว เมื่อถึงเวลา น่าอวี้ก็มาตามที่นัดจริงๆ นางถอดผ้าคลุมลง ใบหน้าทรงเสน่ห์ในราตรี กลับมีสีหน้าทำเอาคนหวั่นไหวได้
“ข้ายังคิดว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว” เขาพูดพร้อมกับยิ้มออกมา ขึ้นไปต้อนรับนาง ยังไม่ลืมถามไถ่ว่า “เปียกเสียหมดแล้ว มาๆๆ รีบเข้ามาเร็ว”
ในถ้ำได้ก่อกองไฟเอาไว้ ส่องไปที่ผนังถ้ำจนอบอุ่น เงาของคนถูกลากยาว น่าอวี้ตามเขาเข้ามาในถ้ำ เสื้อที่เปียกชุ่มถูกไฟอบแล้วก็แนบชิดบนตัว ข้างในเย็น ข้างนอกร้อน
“ที่นี่ปลอดภัยหรือ หากถูกคนอื่นพบเข้า พวกเราก็จบสิ้นแล้ว”
พั่งไห่พูดว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้าเลือกที่นี่ เช่นนั้นแล้วที่นี่ก็ต้องปลอดภัย ไม่พูดเรื่องนี้ก่อน เป็นอย่างไร มีข่าวอะไรหรือไม่”
น่าอวี้ถามกลับว่า “ไม่รู้ว่าฮ่องเต้อยากได้ยินอะไร”
“ฮ่องเต้อยากได้ยินทุกอย่าง ดังนั้นเจ้ามีข่าวอะไรคายออกมาดีที่สุด เก็บซ่อนเอาไว้ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเอง”
น่าอวี้เหลือบมองเขา พูดไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “ข้าต้องรู้ว่าน้องชายข้าปลอดภัยหรือไม่ หากพวกเจ้าฆ่าเขาไปแล้วยังมาหลอกข้าอีกล่ะ คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือ!”
ตอนที่ 462 ชายที่รักแต่ไม่ได้ตัวมา
พั่งไห่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต่อกรด้วยยากนัก ยามที่มาจึงตั้งใจอุ้มน่ายงมาด้วย พอเขาตบมือก็มีคนอุ้มเด็กโผล่ศีรษะออกมา กลัวนางไม่เชื่อ จึงตบที่สะโพกเด็ก ในถ้ำมีเสียงสะท้อน เด็กก็ร้องไห้ขึ้นมา ฟังแล้วช่างทำเอาปวดใจเหลือเกิน
ตอนที่ตระกูลน่าอวี้ถูกฆ่านั้น น่ายงมีอายุได้เพียงร้อยวัน มาอยู่ที่บ้านเจี่ยงเหว่ย น่ายงก็ไม่อยู่ข้างกายนาง ตอนนี้นับดูแล้ว เด็กก็ใกล้จะสองขวบแล้ว หน้าตาของเด็กยากจะแยกแยะได้ เขาหาเด็กที่ใดมาก็สามารถหลอกนางได้แล้วหรือ
“อุ้มเด็กให้ข้ามาดูเสียหน่อย” นางไม่ได้โง่เช่นนั้น ไม่ได้ปล่อยให้คนอื่นพูดแล้วว่าตาม พั่งไห่เป็นคนฉลาด และเมื่อคนฉลาดจะหลอกคนก็ยากจะต่อกรได้
พั่งไห่ก็ไม่ปิดบัง เรียกหมัวหมัวที่อุ้มเด็กอยู่เข้ามา อุ้มเด็กไว้ให้นางดู เพียงแต่ให้นางดูเท่านั้น ไม่ให้นางอุ้ม
เด็กโตเร็วมาก ตอนนี้ก็ต่างจากเมื่อตอนยังร้อยวันแล้ว เด็กน้อยมีผมงอกออกมาดำดกเต็มศีรษะ แขนขาก็แข็งแรง อีกทั้งหน้าตาก็ชัดเจน อย่างน้อยเพียงแค่มองดูครั้งแรกก็จำได้แล้ว นางถอดรองเท้าของเด็กออกไปแล้วดูฝ่าเท้าของเด็ก
ตระกูลเจี่ยงเคยเกิดเหตุการณ์อุ้มเด็กผิดคนมาก่อน ดังนั้นเด็กที่คลอดหลังจากนั้น ตั้งแต่ที่คลอดออกมาก็จะสลักอักษรไว้ที่ฝ่าเท้าของเด็กโดยสลักไว้เป็นชื่อของตัวเอง เพื่อว่าหากเด็กหลงทางก็สามารถใช้จุดนี้ตามกลับมาได้ เพียงแต่นี่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเลียนแบบได้ สีที่ตระกูลเจี่ยงใช้สลักนั้นไม่ใช่สีธรรมดา สีนั้นมีกลิ่นหอมอยู่ สามารถอยู่ติดตัวไปได้ตลอดชีวิต ฝ่าเท้าของเด็กคนนี้ก็มีคำว่า ‘ยง’ อยู่จริง นางขยับจมูกเข้าไปดมใกล้ๆ กลิ่นหอมก็เป็นกลิ่นเฉพาะตระกูลของนาง จึงมั่นใจได้ว่าเป็นน้องชายของเขาแน่ๆ
พั่งไห่ทำสีหน้าน้อยใจ “เจ้าดูสิ ข้าไม่ได้หลอกเจ้ากระมัง เพียงแต่หมัวหมัวที่ดูแลเขาอยู่นี้ก็ใกล้จะไปแล้ว ถึงยามนั้นเด็กคนนี้ก็ไม่มีใครดูแลแล้ว ที่เจ้าอยากได้ ข้าก็ได้ให้เจ้าดูแล้ว เช่นนั้นแล้วที่ข้าอยากรู้เล่า”
เฝิงเยี่ยไป๋บอกว่าจะตามหาน่ายงให้นางก็จะตามหาน่ายงให้นางแน่ๆ เรื่องเช่นนี้หากเขาไม่คิดจะช่วย ก็จะไม่รับปากตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาเองก็ยังยุ่งอยู่ หากดูแลได้ไม่ทั่วถึงก็เป็นไปได้ ตอนนี้นางมีวิธีช่วยน่ายงแล้ว เพียงแต่ต้องใช้ชีวิตของเขาไปแลก คนหนึ่งเกี่ยวพันทางสายเลือดกับนาง อีกคนก็เป็นเพียงแค่ชายที่เคยรักแต่ไม่ได้ตัวมา ใครสำคัญกว่า แทบไม่ต้องคิดเลย
“เฝิงเยี่ยไป๋ได้กลับเมืองหลวงแล้ว ข้าได้ยินเฉินยางบอกว่าเขาจะหาวิธีช่วยเหลียงอู๋เย่ว์ เพียงแต่จะช่วยอย่างไรนางก็ไม่รู้ ยังมีอีก เฝิงเยี่ยไป๋จะส่งเฉินยางกลับหรู่หนาน หากพวกเจ้าจะลงมือ ถึงเวลาก็สามารถดัดปล้นคนระหว่างทางได้”
พั่งไห่พยักหน้าด้วยความพอใจ “เจ้าดูเถิด ขอเพียงเจ้าใส่ใจ ไม่ว่าจะได้จากใคร เพียงแค่ข่าวที่มีประโยชน์ก็สามารถใช้ช่วยน้องชายเจ้าได้ ครั้งนี้ทำได้ไม่เลว รอให้ฝ่าบาทจัดการกับเหล่าขุนนางกบฏนี้ให้หมด เจ้าย่อมได้ผลดีแน่ๆ”
“เอาน้องชายคืนข้ามา” เห็นว่าพั่งไห่จะพาคนไป นางร้อนรนขึ้นมา ขึ้นไปขวางทาง “ที่รับปากพวกเจ้าข้าก็ทำแล้ว เช่นนั้นน้องชายข้าก็ต้องคืนข้ามาแล้วกระมัง!”
พั่งไห่จุ๊ปาก “เพิ่งจะบอกว่าเจ้าฉลาด ไฉนถึงได้โง่ขึ้นมาเสียแล้วล่ะ ข้าเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือ รอให้ฝ่าบาทจัดการกับขุนนางกบฏเหล่านี้ให้หมดก่อน เจ้าก็จะได้เป็นความดีเป็นที่หนึ่ง ถึงตอนนั้นไม่ใช่เพียงแค่น้องชายจะเป็นของเจ้า ความร่ำรวยก็ไม่ขาดแน่นอน เจ้าน่ะอยู่ในจวนให้สบายใจเสีย มีข่าวอะไรก็ส่งจดหมายมาให้ข้า”