บทที่ 361.3 ถึงนครมังกรเฒ่า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจียงซ่างเจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดึงเท้ากลับคืนมา แต่ยังเตะไปบนใบหน้าของลู่ยงหนึ่งที ทำให้ร่างของเขากระเด็นไปกระแทกบนเสาต้นหนึ่งที่มีมังกรสีทองล้อมพัน

 

ลู่ยงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เอนหลังพิงเสาใหญ่ เหนือศีรษะก็คือมังกรทองที่ห้อยตัวลงมา ศีรษะของมันหมุนบิดตามลู่ยงอยู่ตลอด แสดงให้เห็นว่าสามารถกัดหัวของลู่ยงได้ทุกเมื่อ

 

เจียงซ่างเจินข่มกลั้นโทสะ หุบยิ้ม ย่อตัวลงนั่งยอง มองสบตาลู่ยงแล้วคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ โกรธหรือไม่?”

 

ลู่ยงกล่าวอย่างตระหนกลนลาน “มิกล้าๆ!”

 

ความคิดของเจียงซ่างเจินขยับเล็กน้อย เบื้องหน้าของเขาก็มีใบหลิวสีเขียวขจีใบหนึ่งปรากฏขึ้น

 

ลู่ยงตะลึงพรึงเพริด ถึงกับหมอบลงโขกหัวเสียงดังปังๆ “ขอร้องผู้อาวุโสโปรดเว้นชีวิต!”

 

แต่ไหนแต่ไรมาเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกมีแค่ชื่อเสียงเรื่องกระเป๋าเงินตุงแน่นโด่งดังไปทั่วใบถงทวีป น้อยครั้งนักที่จะมีข่าวว่าเขาสังหารคนแพร่ออกไป

 

แต่เจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกโปรดปรานเจียงซ่างเจินมาก นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั่วทั้งทวีป เดิมทีพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานั้นมีสำนักกุยหยกและสกุลเจียงร่วมกันดูแล แต่เจ้าสำนักกลับไม่สนใจคำครหา ยกทั้งถ้ำเมฆาให้เจ้าประมุขสกุลเจียงที่ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มไป

 

เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อน สำนักใบถงมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘กุยหยกรังแกได้ แต่เจอเจียงให้เดินอ้อมไป’ อีกทั้งเล่าลือกันว่านี่เป็นคำสั่งเสียก่อนตายของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งของสำนักใบถงด้วย

 

เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขตระกูลเจียง มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเพียงแค่ใบหลิวใบเดียว อย่าว่าแต่สำนักใบถงเลย ต่อให้เป็นเซียนดินของสำนักกุยหยกเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

 

ประโยคสั่งเสียท่อนสุดท้ายของผู้เฒ่าก่อกำเนิดสำนักใบถงท่านนั้นก็คือ ‘หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนดิน’

 

เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง “เมื่อมาอยู่ในมือของข้า ชื่อเสียงและบารมีของสกุลเจียงเงียบหายไปสองร้อยปี ออกจากภูเขามาครั้งนี้ ถ้าไม่ฆ่าเซียนดินสักคนย่อมผิดต่อบรรพบุรุษ”

 

ลู่ยงน้ำตาไหลอาบหน้า เงยหน้าพูดว่า “ผู้อาวุโสสังหารก่อกำเนิดปลายแถวอย่างข้าลู่ยงจะไม่ยิ่งสร้างความอัปยศให้แก่สกุลเจียงหรอกหรือ? ผู้อาวุโสควรเปลี่ยนไปฆ่าคนอื่นมากกว่า!”

 

เจียงซ่างเจินจุ๊ปาก “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีไหวพริบเฉียบไวเหมือนข้า น่าสนใจๆ”

 

เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งที ใบหลิวใบนั้นและฟ้าดินขนาดเล็กก็หายไปพร้อมกัน

 

ลู่ยงที่ไปเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูผีมารอบหนึ่งยังคงไม่กล้าลุกขึ้นยืน นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง “ขอผู้อาวุโสโปรดมอบโอกาสให้ข้าลู่ยงอีกสักครั้ง คราวนี้หากยังไม่สามารถทำให้ท่านผู้อาวุโสพอใจได้ ลู่ยงจะขอร้องความตายด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น ยังหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะไม่เอาความโกรธไประบายใส่ตำหนักพยัคฆ์เขียว”

 

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ถือว่ายังพูดภาษาคนเป็นอยู่บ้าง เอาเถิด ลุกขึ้นได้แล้ว เป็นถึงเซียนดินก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ได้ หากแพร่ออกไปคนอื่นจะนึกว่าข้าเจียงซ่างเจินอาศัยขอบเขตที่สูงกว่ามารังแกคนอ่อนแอ ถือว่าเจ้าโชคดี หากวันนี้เจ้าลู่ยงเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็คงตายไปแล้ว”

 

ลู่ยงลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วน้ำตาก็ไหลพรากอาบใบหน้าที่เหี่ยวย่นอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ไม่สังหาร”

 

เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ดูจากท่าทางของเจ้าตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าน่าสงสารนัก ดูท่าคงเพราะไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมานานเกินไป จิตใจถึงได้อ่อนลงตามไปด้วย ต้องรู้ว่าปีนั้นหากเจอกับเซียนดินสำนักใบถงที่มีขอบเขตเดียวกัน สุดท้ายต่อให้เขาจะโขกศีรษะขอร้องข้าหนึ่งพันครั้ง ข้าก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจมากพอ ยังต้องประทานหนึ่งใบหลิวให้เขาเป็นรางวัล ตัดหัวทารกก่อกำเนิดที่อยู่ในร่างของเขามาซะ คราวนี้กลับไปถึงสำนักต้องหาเรื่องยุ่งยากทำบ้างถึงจะได้”

 

เจียงซ่างเจินโบกมือ “ออกไปเถอะ หากเจ้าส่งมอบสิ่งของเรียบร้อย เรื่องราวทุกอย่างก็ถือว่าจบลงตรงนี้ ไม่ต้องกังวลว่าวันหน้าข้าจะมาคิดบัญชีเจ้าย้อนหลัง ลูกศิษย์คนนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังคงสามารถไปเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้”

 

เจียงซ่างเจินอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ใช่แล้ว นี่เรียกว่าคนละเรื่องไม่เอามาปนกัน”

 

ลู่ยงก้าวถอยหลังเดินออกไปจากห้อง พอปิดประตูเรียบร้อยก็พลันตระหนักได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่เขาใช้พักอาศัยบนเรือข้ามฝากลำนี้ แต่เขาหรือจะกล้าเคาะประตูอีกครั้ง ได้แต่ตรงไปขอห้องธรรมดาอีกห้องหนึ่งมาจากผู้ดูแลเรือ

 

ท่ามกลางม่านราตรี ลู่ยงย้อนกลับไปที่ห้องของเฉินผิงอันอีกครั้ง พอนั่งลงเรียบร้อยก็ไม่พูดมากความใดๆ หยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กลักษณะเรียบง่ายธรรมดาออกมาสามใบ ภายใต้สายตาสงสัยของเฉินผิงอัน ลู่ยงลุกขึ้นพูดว่า “ในขวดกระเบื้องสามใบนี้ ยานั่งลืมตนหกเม็ดบรรจุอยู่ในขวดหนึ่ง ในอีกสองขวดที่เหลือบรรจุยามังกรเพลิง ยาโปรยพิรุณไว้ขวดละหกเม็ด ใต้ก้นขวดมีระบุไว้ วัตถุดิบหลักของฝ่ายแรกเลือกมาจากคราบร่างของเจียวเพลิงตัวหนึ่ง ฝ่ายหลังเลือกมาจากตะไคร่ที่มีเฉพาะบนผนังหินแห่งนั้นของสำนัก เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป ใช้ร่วมกันสองเม็ดจะให้ประสิทธิผลที่ดีเยี่ยม สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณ มีคำกล่าวขานที่น่าฟังว่า ‘ร่างทองทาสี’ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกสกัดกั้นอยู่เหนือธรณีประตูขอบเขตโอสถทอง ยานี้ก็จะถูกมองเป็นทางลัดในการฝ่าทะลุขอบเขต”

 

ไม่รอให้เฉินผิงอันปฏิเสธ

 

ลู่ยงก็กล่าวขึ้นเสียงหนักว่า “หากวันนี้คุณชายเฉินไม่รับไว้ ลู่ยงไม่กล้าบีบบังคับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องท่านว่าหากคราวหน้าเดินทางผ่านยอดเขาเทียนแจว๋ โปรดอย่าลืมจุดธูปสามดอกให้ข้าลู่ยงเหนือซากปรักหักพังของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าด้วย”

 

กล่าวจบร่างของลู่ยงก็หายวับไปทันที

 

เผยเฉียนเบิกตากว้าง

 

ใต้หล้านี้มีวิธีมอบของขวัญเช่นนี้ด้วยหรือ?

 

ข้อนี้นางเลียนแบบไม่ได้หรอกนะ

 

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน “เจียงซ่างเจิน ออกมาพบกันหน่อยดีไหม?”

 

เจียงซ่างเจินยืนอยู่ตรงระเบียงชมทิวทัศน์ ยิ้มตาหยีโบกมือให้

 

หลังจากโบกมือทักทายเสร็จ เจียงซ่างเจินก็ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง พุ่งตัวออกจากระเบียงจมหายไปในทะเลเมฆด้านหนึ่งของเรือ จากไปอย่างสง่างามเช่นนี้

 

เฉินผิงอันยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว

 

ปวดหัว

 

ลู่ยงเดินไปยังห้องที่เจียงซ่างเจินใช้ ‘พูดเหตุผลกับตน’ อย่างกระวนกระวายใจ หลังเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบรับก็ปลุกความกล้าเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว

 

เขารออยู่นานมากถึงได้ผลักประตูเข้าไป

 

ไม่เห็นเจียงซ่างเจินอยู่ในห้องแล้ว

 

มีเพียงเงินฝนธัญพืชกองใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

ลู่ยงนั่งลงข้างโต๊ะอย่างเหม่อลอย ก่อกำเนิดเฒ่านั่งอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาแห่งความเจ็บปวดทิ้งแรงๆ

 

ตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้เมื่อกลับไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋จะหลอมยา ชีวิตนี้จะหลอมแค่ยาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่คบค้าสมาคมกับพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่อารมณ์แปรปรวนพวกนี้อีกแล้ว!

 

ทางฝั่งนั้น

 

เฉินผิงอันเรียกคนทั้งสี่ในภาพวาดมาปรึกษาเรื่องนี้อย่างไม่มีปิดบังอำพราง บนโต๊ะวางขวดกระเบื้องสามใบเอาไว้

 

ความหมายของเว่ยเซี่ยนคือยาพวกนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน สามารถวางใจได้

 

คำแนะนำของหลูป๋ายเซี่ยงคือวิธีการของคนบนภูเขามีมากมายเกินกว่าจะป้องกันได้ไหว เพื่อความปลอดภัย เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าก็ให้ขายออกไปด้วยราคาที่สูงเทียมฟ้า

 

สุยโย่วเปียนไม่ได้เอ่ยอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด

 

จูเหลี่ยนพูดตรงไปตรงมาที่สุด เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่าใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ขอนายน้อยโปรดมอบยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณให้เขาอย่างละเม็ด แล้วเขาจะลองชิมดูว่ารสชาติเป็นเช่นไร ก่อนไปถึงนครมังกรเฒ่า หากเขาไม่ตายอย่างเฉียบพลันไปเสียก่อน อีกทั้งจิตวิญญาณยังได้รับการบำรุงให้แข็งแกร่ง นั่นก็หมายความว่ายาวิเศษในขวดกระเบื้องสามใบนี้ไม่มีปัญหา ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะกินเองหรือขายไปเล่นงานคนอื่น

 

เฉินผิงอันทำเพียงแค่เก็บขวดกระเบื้องทั้งสามใบไว้ในกระบี่บินสืออู่

 

คืนนั้นจูเหลี่ยนก็แอบมาเคาะประตูขอร้องเฉินผิงอันว่าให้ขายยาของตำหนักพยัคฆ์เขียวแก่เขาสองเม็ด ส่วนเงินเขาขอติดไว้ก่อน

 

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “จูเหลี่ยน เจ้าไม่กลัวตายจริงๆ หรือ?”

 

ผู้เฒ่าหลังค่อมหัวเราะเหอๆ นั่งลงข้างโต๊ะ ถูมือกล่าวว่า “ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้ามาจนชินแล้ว ตอนนี้มาอยู่ในใต้หล้าใหญ่แห่งนี้ คงไม่ต้องหวังว่าจะได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอีก แต่จะดีจะชั่วก็ต้องพยายามช่วงชิงอันดับหนึ่งในบรรดาคนทั้งสี่ ไม่อย่างนั้นบ่าวเฒ่าจะมีหน้ารับใช้นายน้อยได้อย่างไร หากแม้แต่สตรีคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ สมควรเอาหัวโหม่งก้อนเต้าหู้ตายแล้ว”

 

จูเหลี่ยนกล่าวต่อว่า “แสวงหาความร่ำรวยในความเสี่ยง ศึกหน้าวัดร้างก่อนหน้านี้ บ่าวเฒ่าสังหารเข่นฆ่าอย่างเต็มกำลังหวังความสาแก่ใจ จึงทิ้งต้นตอโรคบางอย่างไว้บนร่าง หรือท่านจะทนเห็นบ่าวเฒ่าเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตทองทีหลังสุดได้?”

 

เฉินผิงอันถาม “คิดดีแล้วจริงๆ นะ?”

 

จูเหลี่ยนพยักหน้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่คิดมาดีแล้ว ด้วยนิสัยไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (เปรียบเปรยว่าลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) ของบ่าวเฒ่า จะมาเคาะประตูรบกวนการพักผ่อนของคุณชายหรือ?”

 

เฉินผิงอันเอาขวดกระเบื้องออกมาสองใบ เทยาตระกูลเซียนที่มีสีสันแตกต่างกันออกมาสองเม็ด กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นตายต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ยาสองเม็ดนี้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าจูเหลี่ยนยอมสู้สุดชีวิตไม่คิดถอยหน้าวัดร้าง”

 

จูเหลี่ยนแบมือรับยาสองเม็ดนี้ไปแล้วโยนเข้าปากโดยตรง จากนั้นจึงหัวเราะหึหึพลางลุกขึ้นยืนเอ่ยลาเฉินผิงอัน “คุณชายให้รางวัลและลงโทษชัดเจน บ่าวเฒ่ายินดีติดตามด้วยความจงรักภักดี”

 

คำพูดประจบยกยอเช่นนี้ เฉินผิงอันแค่ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาเท่านั้น

 

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองเผยเฉียนที่เอียงศีรษะเอาซีกหน้าแนบกับพื้นโต๊ะ ฝ่ายหลังก็จ้องเป๋งมองตาเขา

 

แล้วจูเหลี่ยนก็จากไป

 

ครึ่งคืนหลัง เผยเฉียนไปนอนที่ห้องด้านข้าง เฉินผิงอันฝึกยืนนิ่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนเดินไปเปิดประตู

 

สุยโย่วเปียนยืนอยู่นอกประตู

 

นางกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณ ต้องการยานั่งลืมตนแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”

 

“เจ้าอยากจะหยิบเกาลัดในกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์) เป็นเพื่อนจูเหลี่ยนขนาดนี้เชียวหรือ? อยากตายเพราะความสิ้นหวังหรือเพราะอะไร? ขนาดแค่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนก็ยังไม่ยินดีรอ ข้าว่าเจ้าสุยโย่วเปียนกินยานั่งลืมตนทั้งขวดก็ล้วนเสียเปล่า!”

 

เฉินผิงอันกล่าวจบก็ไม่แม้แต่จะยอมให้นางเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงดังปัง

 

สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าไร้อารมณ์อยู่นอกประตูนานมาก สุดท้ายถึงจากไปอย่างเงียบงัน

 

ช่วงครึ่งสุดท้ายของคืน คลื่นลมสงบ ทะเลเมฆงดงามเกินบรรยาย

 

ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงนครขนาดใหญ่ยักษ์ที่เป็นดั่งมังกรโผล่หัวพ้นผิวทะเลซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น

 

วันนี้เฉินผิงอันไปหาผู้ดูแลของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่รับผิดชอบดูแลกิจธุระบนเรือข้ามฝาก เป็นฝ่ายเปิดปากสอบถามว่ามีเตาโอสถระดับเยี่ยมขายหรือไม่

 

ผู้ดูแลบอกว่ามี แม้ว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่ได้ทำการค้าในเรื่องนี้ แต่เจ้าตำหนักผู้เฒ่าทุ่มเทกำลังและจิตใจทั้งชีวิตไปกับเรื่องของการหลอมยา จึงเก็บรักษาเตาหลอมยาจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ในเมื่อคุณชายเฉินคือสหายของตำหนักพยัคฆ์เขียวเรา ถ้าเช่นนั้นเขาจึงกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าตำหนักผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักผู้เฒ่าจะเต็มใจยกของรักให้หรือไม่ เขาเป็นแค่นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ดบนเรือข้ามฟาก ไม่กล้ารับรอง เขาจำเป็นต้องใช้กระบี่บินส่งข่าวไปบอกทางตำหนักพยัคฆ์เขียวก่อน

 

เฉินผิงอันกำหมัดขอบคุณ

 

เซียนดินขอบเขตโอสถทองที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ด’ ผู้นั้นไม่รู้เรื่องภายในเท่าไหร่จริงๆ แค่แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มผู้นี้คือลูกหลานตระกูลเซียนที่มีเบื้องหลังน่าตะลึง ดูเหมือนว่าจะเป็นสหายสนิทกับตระกูลเจียงที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่กล้ารับปากว่าจะสอบถามเรื่องการขายเตาหลอมโอสถจากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเองโดยพลการ นั่นเป็นหัวจิตหัวใจของเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเชียวนะ เตาหลอมโอสถทุกใบที่ยังไม่นำมาใช้งานชั่วคราวล้วนถูกลู่ยงเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง ขอแค่ไม่ได้หลอมยา ทุกวันเขาก็จะต้องไปตรวจสอบเช็ดถูเตาพวกนี้ด้วยตัวเองหนึ่งรอบ

 

กระบี่บินส่งข่าวของยอดเขาเทียนแจว๋ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษจากสำนักใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป ราคาแพงลิ่ว แต่คุณภาพก็เป็นไปตามราคา วัสดุดีเยี่ยม ความเร็วสูงสุด เร็วยิ่งกว่าเรือข้ามฟากที่เน้นในความมั่นคงปลอดภัยลำนี้มากนัก

 

ผลคือเมื่อผู้ดูแลที่ท่าทางเหมือนคนเห็นผีมาพบเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนและร้อนตัวอยู่บ้างเล็กน้อย

 

คำตอบของลู่ยงก็คือเขาจะนำเตาหลอมโอสถชั้นเยี่ยมใบหนึ่งที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานหลายปีมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนก็คือเงินเทพเซียนที่เขามีอยู่บนร่างตอนนี้ไม่พอให้ซื้อเตาหลอมยาใบนั้น ได้แต่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนแล้วค่อยขอยืมจากฟ่านเอ้อร์หรือเจิ้งต้าเฟิงถึงจะได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะกำเริบเสิบสานเกินไป ดูเหมือนว่าไม่ควรทำการค้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็คุ้นเคยกับลักษณะการทำการค้าของผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางที่บ้านเกิดมาตั้งนานแล้ว

 

—–