ตอนที่ 1651

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,651 : จงใจล้างแค้น!

พอได้ยินคำของหานเฉวี่ยไน่ คิ้วต้วนหลิงเทียนก็ขมวดย่นยู่ทันที “ที่แท้ เป็นมันจงใจล้างแค้นเจ้างั้นเหรอ?!”

 

เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะได้ทราบถึงตัวตนของหานซิ่น!

 

หานซิ่นไม่เพียงแต่เป็นอาวุโสสูงสุดของคฤาหสน์คลื่นขจีสกุลหาน มันยังเป็นปู่แท้ๆของหานจิ้นเหนียน! และหานจิ้นเหนียนก็ตกตายเพราะยอดฝีมือลึกลับที่ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือลี่เฟย…สหายของหานเฉวี่ยไน่!!

 

“อื้ม”

 

หานเฉวี่ยไน่พยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “หานซิ่นนั้น ยามหลานชายของมันอย่างหานจิ้นเหยีนยังอยู่ มันก็ดีกับข้ายิ่งนัก ยังทำราวกับข้าเป็นหลานสาวของมัน…แต่หลังจากที่หานจิ้นเหนียนตกตายไป มันก็เปลี่ยนไปราวคนละคน”

 

“ตอนนั้นมันมาถามข้าว่าเป็นผู้ใดพาตัวลี่เฟยไป ข้าก็ได้แต่บอกไปว่ามิรู้…และเรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้จริงๆ แต่ถึงแม้ว่าข้าจะรู้ข้าก็ไม่คิดบอกมัน! และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมามันก็เย็นชากับข้า กระทั่งสุดท้ายมาบอกว่าต้องการพบข้า…ข้าจึงถูกนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นพบเห็น!”

 

ขณะกล่าวเล่าสีหน้าของหานเฉวี่ยไน่ก็แย่ลงเรื่อยๆ

 

“ข้าสุดที่จะเข้าใจได้จริงๆ เรื่องนี้เป็นหานจิ้นเหนียนกระทำตัวของมันเองแท้ๆ มันกล้าคิดแตะต้องพี่สาวลี่เฟย! เรื่องนี้นับว่ามันชั่วช้าสมควรตายนัก! แต่หานซิ่นกลับทำเหมือนมันเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงขั้นพยายามตามหายอดฝีมือลึกลับที่พาตัวพี่สาวลี่เฟยไปเพื่อล้างแค้น กระทั่งตอนนี้หานซิ่นยังไม่เลิกราเรื่องนี้ด้วยซ้ำ…”

 

หานเฉวี่ยไน่คล้ายขบคิดไม่เข้าใจจริงๆ

 

“เฉวี่ยไน่ เจ้าคิดง่ายไปแล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาค่อยกล่าว “หานจิ้นเหนียนนั่นไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นหลายชายแท้ๆของหานซิ่น นับว่าเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับมัน…ไม่ว่าหานจิ้นเหนียนจะก่อกรรมทำชั่วอะไรมา ก็มิอาจเปลี่ยนความจริงที่อีกฝ่ายเป็นหลานชายของมันได้…ไม่ว่าเจ้าจะเห็นหานจิ้นเหนียนชั่วช้าสมควรตายอย่างไร แต่ในสายตาของมัน หลานมันย่อมไม่ควรตายเช่นนี้…”

 

“คำว่า ความชอบธรรมไร้ญาติมิตร แม้กล่าวออกง่ายดาย แต่เอาจริงๆแล้วนับว่ากระทำได้ยากเย็นนัก…”

(* ความชอบธรรมไร้ญาติมิตร = ด้วยคุณธรรมยิ่งใหญ่ สามารถลงโทษได้แม้แต่ญาติมิตรเพื่อความเป็นธรรม ไร้จิตคิดลำเอียง)

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

 

“แต่ถึงแม้มันจะคับแค้นอันใดข้าแต่มันก็มิสมควรกระทำเรื่องนี้ได้ลงคอ! มันมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าต้องเลือกที่จะตบแต่งกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง..อีกทั้งหากข้าเลือกยอมตายไม่ยอมสยบเล่า? ด้วยทิฐิของนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องน่ากลัวตอนนั้นมันคงไม่ละเว้นคฤหาสน์คลื่นขจีแน่! อย่าได้บอกข้าเชียวว่าสำหรับมันแล้ว คฤหาสน์คลื่นขจียังสำคัญไม่เท่าหานจิ้นเหนียน?”

 

หานเฉวี่ยไน่กล่าวออกด้วยโทสะอันขุ่นขึ้ง

 

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวแจงออกมาแม้นางจะพอเข้าใจความคิดหานซิ่นขึ้นมา แต่นางรู้สึกเสมือนในใจของหานซิ่นนั้นคฤหาสน์คลื่นขจีกลับมีน้ำหนักความสำคัญไม่เท่าหลานอุบาทว์ของมัน นี่นับว่าทำให้นางโกรธเคืองมากนัก

 

“เฉวี่ยไน่ เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้ นับว่าเจ้าเติบโตแล้วจริงๆ…”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าลงคราหนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อ “อันที่จริงมันก็ควรจะคิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกับเจ้า…แต่ในเมื่อมันกล้าลงมือถลำลึกถึงขั้นนี้ ข้าบอกได้เลยว่าในใจของมันนั้น…ความสำคัญของหานจิ้นเหนียนน่ากลัวจะเหนือกว่าคฤหาสน์คลื่นขจีแล้ว! นอกจากนี้ข้ามั่นใจว่ามันย่อมมองเจ้าออกทะลุปรุโปร่ง…เพราะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เจ้าไม่คิดละทิ้งคฤหาสน์คลื่นขจีหนีไปแน่!”

 

“สุดท้ายแล้วเจ้าก็คือคุณหนูใหญ่ของคฤหาน์คลื่นขจี แถมบิดาเจ้ายังเป็นถึงผู้นำคฤหาสน์!”

 

“แม้มันจะเป็นอาวุโสสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจี…แต่อำนาจในการตัดสินใจสูงสุดยังคงอยู่ที่บิดาของเจ้า…การที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาสู่ขอเจ้าไปวิวาห์นั้น ผู้ที่ลำบากใจที่สุดในคฤหาสน์คลื่นขจี ย่อมเป็นบิดาของเจ้า”

 

“บิดาเจ้าด้านหนึ่งก็คือผู้นำของคฤหาสน์คลื่นขจีที่จะทำอะไรก็จำต้องมองภาพรวมเสมอ ส่วนอีกดานหนึ่งก็เป็นบิดาของบุตรีเพียงหนึ่งเดียว ท่านย่อมไม่อาจเพิกเฉยต่อความสุขชั่วชีวิตของเจ้าได้…ไหนเลยไม่รู้ได้ว่าการเลือกยินยอมให้เจ้าตบแต่งกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อเรื่องเจ้าสำราญ ย่อมไม่ต่างใดจากผลักเจ้าลงกองไฟ…”

 

“จากที่ข้าเห็น ตอนนี้บิดาของเจ้านับว่าเป็นบิดาอันประเสริฐนัก ท่านเลือกที่จะยืนหยัดอยู่ข้างเจ้า แม้จะไม่ถึงกับบอกปัดงานวิวาห์แต่ก็ไม่ยอมส่งตัวเจ้าให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องง่ายๆ เรียกว่าเพื่อความสุขของเจ้า บิดาเจ้าได้เลือกที่จะต่อต้านคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยังแฝงเคารพไม่น้อย

 

บางทีบิดาของหานเฉวี่ยไน่อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดี…

 

หากแต่คุณสมบัติในการเป็นพ่อคน นับว่ามีมากเกินพอ!

 

ฟังวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่หยาดน้ำตากลับเอ่อล้นรดแก้มหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง “ท่านพ่อ…”

 

ถึงแม้ก่อนหน้านี้นางจะพอรับทราบถึงภาระบนบ่าที่บิดาของนางแบกไว้บ้างแล้ว แต่นางยิ่งรู้ว่าบิดาของนางนั้นต้องเผชิญเรื่องยากเย็นแค่ไหนชัดเจนมากขึ้นจากคำอธิบายของต้วนหลิงเทียน ในใจนางพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทันที

 

และตอนนี้เองนางพลันตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

 

แน่นอนว่าเรื่องที่นางตัดสินใจไปแล้วนั้น นางไม่ได้บอกต้วนหลิงเทียนออกมา

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจินกำลังปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ ข้าเชื่อว่าพวกมันยินดีออกจากการปิดด่านบ่มเพาะทันทีหากรู้ว่าท่านมาที่นี่ ท่านอยากเจอพวกมันหรือไม่ข้าจะไปเรียกให้ท่าน?”

 

เพียงเร่งปราณแท้เล็กน้อย หานเฉวี่ยไน่ก็ระเหยน้ำตาที่หลั่งออกมาจนแห้ง นางพยายามฝืนยิ้มกล่าวออกมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

 

“ไม่เป็นไรหรอก”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “จะเร็วจะช้าสุดท้ายก็ต้องได้พบกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนพบกันตอนนี้ก็ได้”

 

ตอนนี้ในใจเขายังคงคิดถึงแต่เรื่องของหานเฉวี่ยไน่

 

สำหรับลี่เฟยและบุตรชายที่พึ่งเกิดของเขานั้น เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยเพราะคนของบิดารับตัวไปแล้วเขาก็วางใจได้

 

และป่านนี้ บางทีลี่เฟยกับลูกชายเขาน่าจะพบกับบิดามารดาของเขาแล้ว

 

สิ่งที่เขากำลังเค้นสมองคิดตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะช่วยหานเฉวี่ยไน่ได้!

 

แน่นอนว่าหากเพียงแค่แก้สถานการณ์ให้หานเฉวี่ยไน่รอดไปคนเดียว เพียงเขาพานางหนีไปก็สิ้นเรื่อง…

 

ทว่าต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าไม่พ้นผู้นำของคฤหาสน์คลื่นขจีคงกล่าวบอกเรื่องนี้ต่อหานเฉวี่ยไน่ออกมาแล้ว และนางก็คงบอกปฏิเสธไป…เขารู้ดีว่าเฉวี่ยไน่ไม่ใช่คนที่จะละทิ้งญาติมิตรเพราะเห็นแก่ตัว นางจึงไม่มีวันทิ้งคฤหาสน์คลื่นขจีหนีเอาตัวรอดไปเด็ดขาด

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน ก่อนหน้านี้ข้ากับเสี่ยวจินและที่เหลือได้ย้อนกลับไปเกาะป้านเย่วกระทั่งทวีปเมฆาล่อง แต่พวกเราไม่พบท่านเพียงพบเจอเบาะแสที่ท่านทิ้งไว้ จากนั้นวกเราจึงย้อนกลับมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพื่อไปยังสำนักจันทร์จรัสแสง…อย่างไรก็ตามพอพวกเราไปถึงสำนักจันทร์จรัสแสงมันก็เหลือแต่ชื่อแล้ว เช่นนั้นหลังท่านออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงท่านไปที่ไหนหรือ?”

 

หานเฉวี่ยไน่กล่าวถามออกมารวดเดียวจบ

 

“หืม? สำนักจันทร์จรัสแสงล่มสลายแล้วงั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ ว่าก่อนจะหลบหนีออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง เขาฆ่าอาวุโสสูงสุด ที่มีด่านพลังฝึกปรือในขอบเขตเซียนไปแค่คนเดียวเท่านั้น

 

สำนักจันทร์จรัสแสงยังเหลือขอบเขตเซียนคนอื่นๆอีก ไฉนถึงเหลือแต่ชื่อได้ในเวลาอันสั้น?

 

“อื้ม”

 

หานเฉวี่ยไน่พยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “ลือกันว่าอยู่ดีๆ ยอดฝีมือระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสงที่มีพลังในขอบเขตเซียนก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ พอข่าวนี้แพร่กระจายออกมา สำนักจึงถึงจุดจบ”

 

ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ จะล่มสลายก็เป็นเรื่องธรรมดา

 

เหตุผลเดียวที่สำนักจันทร์จรัสแสงอยู่ใน 9 พันธมิตร และเป็นขุมพลังชั้น 7 ได้ ล้วนเพราะมีเสาหลักอย่างขอบเขตเซียนคุมบังเหียนอยู่

 

หากอยู่ดีๆตัวตนในขอบเขตเซียนหายตัวไป ไม่เพียงแต่อริเก่าของสำนักจันทร์จรัสแสงจะไม่พลาดโอกาสนี้ กระทั่งอดีตมิตรสหายอันดี ก็คงคิดขอปันน้ำแกงสักถ้วยเช่นกัน!

 

ในฐานะที่เป็นขุมพลังชั้น 7 ถึงแม้ยอดฝีมือขอบเขตเซียนจะหายตัวไป แต่ทรัพยากรอะไรของสำนักจันทร์จรัสแสงย่อมยังเหลืออยู่ไม่น้อย กล่าวไปยังมากมายถึงขั้นทำให้ผู้คนอิจฉาด้วยซ้ำ

 

‘จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้เลยงั้นเหรอ ว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงหายไปไหน?’

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกงุนงงไม่น้อย

 

‘ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนั้นจะเป็นยังไงกันบ้าง…’

 

ถึงแม้ว่าสำนักจันทร์จรัสแสงจะเหลือแต่ชื่อ ผู้คนเหล่าศิษย์ไม่ได้ถูกฆ่าล้างหฤโหด แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสหายเก่าและคนรู้จักในสำนัก ยังอดห่วงขึ้นมาเสียไม่ได้

 

เผชิญกับคำถามของหานเฉวี่ยไน่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้บอกเล่าเรื่องราวการหลบหนีในวันนั้นคร่าวๆ ทั้งยังบอกเรื่องที่ไปลงหลักปักฐานที่ประเทศฝูเฟิงมาพักหนึ่ง

 

ในบรรดาเรื่องราวทั้งหลายยังรวมถึงเรื่องที่ตระกูลซือถู ไม่ว่าจะเป็นการเมืองภายในตระกูล ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซือถูกับนิกายหยินหมิง และเรื่องราวความบาดหมางของเขากับนิกายหยินหมิง สุดท้ายก็กล่าวถึงเรื่องอ๋องเฉียน กระทั่งเรื่องที่อ๋องเฉียนจ้างหลินตงมาให้ฆ่าเขาเพื่อช่วงชิง ตราผนึกมาร ที่เขาครอบครองอยู่

 

หานเฉวี่ยไน่รู้นานแล้วว่าเขามีตราผนึกมารอยู่ในครอบครอง

 

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หานเฉวี่ยไน่ยังไม่รู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้คิดจะปกปิดนางเรื่องที่มีตราผนึกมารแต่อย่างไร

 

เพราะอีกไม่นานข่าวเรื่องที่เขามีตราผนึกมารไว้ในครอบครองก็ต้องแพร่กระจายมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีอยู่ดี ถึงตอนนั้นเฉวี่ยไน่ก็ต้องทราบเรื่องราวเป็นธรรมดา

 

“ตราผนึกมาร?”

 

พอกล่าวถึงตราผนึกมาร คิ้วหานเฉวี่ยไน่อดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้นมาเป็นปม

 

ยางเองก็จำได้ดีว่านางเคยติดตามชิงหนูไปยังทวีปเมฆาล่องเพื่อค้นหาตราผนึกมาร

 

อย่างไรก็ตามหลังจากออกเดินทางค้นหาอยู่หลายปี แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวเพราะไร้เบาะแสของตราผนึกมาร

 

จนกระทั่งนางมารู้ว่าที่แท้ตราผนึกมารกลับอยู่ในมือของต้วนหลิงเทียน!

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้นางจะล่วงรู้เรื่องนี้ แต่นางก็ไม่ได้บอกชิงหนูถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีตราผนึกมารเลย และยังไม่ได้บอกกล่าวต่อบิดาของนางเช่นกัน เพราะนางไม่อาจรับประกันได้ว่าชิงหนูและบิดาของนางจะอดทนต่อแรงยั่วยวนของตราผนึกมารได้หรือไม่…หากไม่ล่ะก็ทั้งคู่มิพ้นต้องคิดแย่งชิงตราผนึกมารจากพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางแน่!!

 

เช่นนั้นผู้ที่ต้องลำบากใจที่สุดก็คือนาง!

 

อีกด้านหนึ่งก็ญาติสนิท อีกด้านก็เป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง

 

เพื่อป้องกันมิให้ญาติสนิทหมางใจกับมิตรสหายอย่างพี่ใหญ่หลิงเทียน นางจึงเลือกที่จะปิดข่าวนี้เอาไว้

 

“เช่นนั้นอีกไม่นานข่าวลือเรื่องตราผนึกมารในมือพี่ใหญ่หลิงเทียน ก็จะแพร่มาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีแล้วสิ…”

 

หานเฉวี่ยไน่เป็นกังวลไม่น้อย

 

ไม่ต้องกล่าวถึงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอื่นใดในโลกภายนอก ลำพังแค่ภายในคฤหาสน์คลื่นขจีของนาง หากยอดฝีมือบางคนรู้เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีตราผนึกมารอยู่ในครอบครอง น่ากลัวว่าจะทนแรงยั่วยวนของมันไม่ไหวเช่นกัน

 

“เฉวี่ยไน่เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป…ก่อนหน้าตอนที่ข้าเดินทางมาถึงคฤหาน์คลื่นขจี ข้ายังใช้ใบหน้าปลอม ทั้งแจ้งชื่อปลอมออกไป”

 

เมื่อเห็นความเป็นห่วงและความกังวลของเฉวี่ยไน่ต้วนหลิงเทียนพลันหัวเราะออกมาเบาๆ

 

ขณะเดียวกันเขาก็ใช้ทักษะลับปลอมแปลงโฉมที่ร่ำเรียนมาจากผู้เฒ่าหั่วทันที เพียงจ่ายปราณแท้เล็กน้อย กล้ามเนื้อใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปฉับไวอย่างอัศจรรย์ กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาแลดูต่างออกไปจากเดิมเป็นคนละคน!

 

“ตอนนี้ข้าเรียกว่า หลิงเทียน ไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเย็น

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน…นี่ท่าน…ทำได้อย่างไรกัน”

 

เห็นใบหน้าแววตาทั้งเสียงที่เย็นชาคล้ายคนแปลกหน้า หานเฉวี่ยไน่อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เรียกว่านางตกตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง

 

นางไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับทักษะปลอมแปลงโฉม หากแต่ทักษะปลอมแปลงโฉมทุกชนิดที่นางรู้จัก ถ้าไม่ต้องใช้พลังวิญญาณออกด้วยศาสตร์ลวงตา ก็ต้องใช้อุปกรณ์ไม่น้อยอาทิเช่นหน้ากากหนังมนุษย์…บ้างก็ใช้เครื่องสำอางค์หรือเครื่องประทินโฉม

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนทักษะปลอมแปลงโฉมของต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่ทักษะปลอมแปลงโฉมทั่วๆไป!

 

เรียกว่ากระทั่งนางเองยังไม่อาจจดจำต้วนหลิงเทียนได้เลย ตอนนี้คนเบื้องหน้าของนางไม่เหลือความรู้สึกดั่งที่พี่ใหญ่หลิงเทียนเคยมอบให้สักนิด สีหน้าแววตา กระทั่งน้ำเสียงล้วนห่างเหินเย็นชาจับใจ

 

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หานเฉวี่ยไน่จึงเอื้อมมือออกมาลูบๆจับๆใบหน้าของต้วนหลิงเทียน กระทั่งลองหยิกๆดึงๆดู

 

แต่สุดท้ายแม้กระทั่งจะพยายามแผ่พุ่งพลังวิญญาณไปตรวจสอบ นางก็ไม่อาจพบเห็นร่องรอยการปลอมแปลงอะไรเลย

 

“นิ…นี่มัน ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!”

 

หานเฉวี่ยไน่กล่าวอุทานออกมาด้วยความตะลึง