อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 507 การปะทะของยอดฝีมือ
โครม…

สืบเนื่องจากการเข้าร่วมของผู้อาวุโสหก ท้องนภาสะเทือนสองสามครั้ง

ศิษย์คนอื่นของเผ่าเทียนเฟิ่นก็อยากเข้าร่วมสมรภูมิด้วย ครั้นมือเรียวยาวของเวินเส้าหยียกขึ้น ก็เป็นการบอกให้พวกเขาอย่าได้ทำการพลการ

ด้านข้างมีคนวิพากษ์วิจารณ์ “หรือว่าเผ่าเทียนเฟิ่นกับเผ่าหยกจะมีความแค้นอะไรกัน? ทำไมเจอหน้าก็สู้กันแล้ว?”

“เออ…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

ครั้นได้ยินคำว่า ‘เผ่าเทียนเฟิ่น’ สามคำนี้ ผู้อาวุโสเจ็ดก็สร่างเมาทันที

“เผ่าเทียนเฟิ่น? เผ่าเทียนเฟิ่นอยู่ไหน?!”

ผู้อาวุโสเจ็ดเงยหน้าขึ้นพรึบ ที่ประทับเข้าม่านตาเป็นเวินเส้าหยีที่สุภาพอ่อนโยนดั่งหยกสวมหน้ากากผีเสื้ออยู่

“อา เป็นบุตรสำส่อนของเผ่าเทียนเฟิ่นจริงๆ ด้วย”

“ไอ้แก่เฮงซวยนี่ เจ้ากล้าเสียมารยาทกับหัวหน้าเผ่าน้อยพวกเรา”

“บุตรสำส่อน ไม่มีใครสอนเจ้าว่าต้องเคารพผู้ใหญ่รักเด็กหรือ?”

ผู้อาวุโสเจ็ดกวาดสายตามองสนามประลองรอบหนึ่ง หยุดอยู่กับตัวกู้ชูหน่วนและผู้อาวุโสหก ผู้อาวุโสไป๋เฉ่า รองหัวหน้าเผ่าซือคงที่กำลังห้ำหั่นกันเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวอย่างหยอกล้อสบายๆ

“เจ้าแก่ไม่รู้จักเคารพตัวเอง จะคู่ควรแก่การเคารพของพวกเราหรือ? น่าขัน!”

“เพียะๆๆ…”

ได้ยินเพียงเสียงตบชัดแจ๋วก้องอยู่ในสนามประลอง ศิษย์ที่วาจาสามหาวกับเผ่าเทียนเฟิ่น ใบหน้าถูกตบสิบกว่าหนแล้ว หากมิใช่เพราะเวินเส้าหยีทนดูไม่ได้ ห้ามได้ทันกาล เกรงว่าใบหน้าของศิษย์คงถูกตบเละแล้ว

แม้เช่นนี้ ฟันของเขาก็ถูกตบร่วงไปหลายซี่ แค่คิดก็รู้ได้ว่าผู้อาวุโสเจ็ดลงมือหนักเพียงใด

ผู้คนจำนวนมากตกตะลึง

พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ แต่พวกเขาถึงกับมองไม่เห็นว่าผู้อาวุโสเจ็ดลงมืออย่างไร

กลัวแต่วรยุทธ์ผู้อาวุโสเจ็ดจะสูงกว่าผู้อาวุโสหกมากกระมัง

ท่าทีผู้อาวุโสเจ็ดสง่าไม่ยึดติด ถึงกำลังก่นด่าศิษย์ผู้นั้นของเผ่าเทียนเฟิ่น ทว่าดวงตากลับจับจดกับเวินเส้าหยี

“บุตรสำส่อน ปกติทำเรื่องขาดคุณธรรมให้น้อยหน่อย ชีวิตน้อยๆ จะได้ไม่สิ้นเข้าในวันหนึ่ง อีกอย่าง อย่าลืมเคารพอาวุโสรักเด็กล่ะ มิเช่นนั้นครั้งต่อไปก็ไม่แน่ว่าจะแค่ฟัน”

ทั้งสนามเงียบกริบ

ผู้เฒ่านี่ ตีวัวกระทบคราดหรือ?

เวินเส้าหยีเป็นถึงหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง เทียบเคียงได้กับเย่จิ่งหานและจอมมาร

โดยรวมกล่าวได้ว่าทั้งแผ่นดินไร้คู่ต่อสู้

พวกเขาเช่นนี้จะหยามหน้าเวินเส้าหยีเกินไปแล้วกระมัง?

กู้ชูหน่วนหลอมยาพลางสังเกตทุกอย่างทางด้านนี้

สายตานางลุ่มลึกเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็งพันปี

ช้าเร็วนางต้องเปิดศึกกับเผ่าเทียนเฟิ่น แต่กลับไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ที่หนึ่ง เข้าแดนต้องห้าม ได้กุญแจรูปดาว และหามุกมังกรให้พบ

ทุกคนนึกว่าเวินเส้าหยีจะเดือดพลุ คิดไม่ถึงว่าเขากลับประสานหมัดอย่างถ่อมตนมีมารยาท ท่าทีกระทั่งว่าเคารพนอบน้อม “ผู้อาวุโสเจ็ดสั่งสอนได้ถูกต้อง ผู้น้อยจดจำแล้ว”

“หัวหน้าเผ่าน้อย…”

คนของเผ่าเทียนเฟิ่นมีความโกรธแค้นเต็มทรวง

เผ่าหยกทำให้พวกเขาอับอายเช่นนี้ ฆ่าพวกเขาเสียเลยก็จบ ไยต้องอ้อมค้อมกับพวกเขาเช่นนี้

แต่เป็นเวินเส้าหยีที่ผ่อนเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หมดสิ้น เพียงแต่นั่งที่ของเขาดื่มชาลิ้มรส มองการหลอมยาของเหล่านักหลอมยาทั้งหลายอย่างสงบ

ทีแรกผู้อาวุโสเจ็ดยังอยากหาเรื่องอีกสักหน่อย แต่เห็นท่าทางนอบน้อมเชื่อฟังของเวินเส้าหยีแล้ว และเห็นกู้ชูหน่วนหัวหน้าเผ่าของพวกเขาตั้งใจหลอมยา จึงไม่เอาความกับพวกเขาอีก

ผู้อาวุโสเจ็ดนึกถึงข้อมูลที่พวกเขาสืบได้ แดนต้องห้ามของหุบเขาตันหุยมีกุญแจรูปดาวที่อาจหามุกมังกรพบ

เขาระงับความขุ่นเคืองทั้งมวล แล้วหาตำแหน่งหนึ่งนั่งลง

เขารักสุรา ทว่ามีเผ่าเทียนเฟิ่นอยู่ สุราดีอย่างไรเขาก็กระเดือกไม่ลง

เจ้าหุบเขาใหญ่น่าหลันโล่งอก

ในที่สุดก็หยุดเสียที

งานชื่นชมยาชั้นเลิศครั้งนี้จัดได้ลำบากโดยแท้

“ปัง…”

จู่ๆ พื้นผิวก็ถูกทุบเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ ลึกหนึ่งเมตรกว่าเต็มๆ และไม่รู้ว่าเป็นเย่จิ่งหานกับจอมมารกระทำ หรือว่าเผ่าเทียนเฟิ่นกับเผ่าหยกกระทำ

“ปังๆๆ…”

พื้นผิวถูกทุบหลายหลุมลึก แต่ละหลุมยังคงลึกหนึ่งเมตรกว่าเต็มๆ

หลังคาขื่อสลักเสาวาดในที่ไกลๆ ถูกงัดออกอยู่เนืองๆ แม้แต่สิงโตใหญ่ตรงประตูตำหนักก็แหลกเป็นผุยผงด้วยฝ่ามือของพวกเขา

นี่เป็นการแลกเปลี่ยนศิลปะป้องกันตัวหรือ?

นี่เป็นการรบราถึงชีวิตต่างหากไหม?

ฮัวฉีหลัวกระตุกแขนเสื้อไป๋จิ่น เท้าคางถาม “พี่ไป๋จิ่น ท่านว่าพี่กู้กับเผ่าเทียนเฟิ่นดี หรือว่ากับเผ่าหยกดี?”

ไป๋จิ่นไม่พูด แต่สายตาที่มองเผ่าเทียนเฟิ่นกลับแวบความมาดร้ายเสี้ยวหนึ่ง

เพียงแต่ความมาดร้ายนี้หายไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนไม่อาจจับได้

น้ำเสียงนางเรียบราวกับไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด “อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น”

“นี่เป็นการยุ่งเรื่องคนอื่นอย่างไร พี่กู้สนิทกับทางไหน ฉีหลัวก็ช่วยทางนั้น”

“…”

ไป๋จิ่นเหลือกตาขาวใส่ฮัวฉีหลัวทีหนึ่ง

นางแทบอยากให้คนทั้งโลกรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางกับกู้ชูหน่วนใช่ไหม?

สีชิ่นหยิบคันฉ่องเล็กบานหนึ่งออกมาอย่างเกียจคร้าน ส่องประทินโฉมกับเครื่องหน้าวิจิตร ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนเป็นเสน่ห์แพรวพราวกลมกลืน นางยิ้มเอ่ย “เจ้าหุบเขาใหญ่น่าหลัน งานชื่นชมยาชั้นเลิศของหุบเขาตันหุยช่างคึกคักเสียจริง ไม่เพียงได้ชมว่านักหลอมยาหลอมยาอย่างไร ยังได้ชมการประมือขั้นสุดยอดของยอดฝีมือแห่งยุคด้วย”

เจ้าหุบเขาใหญ่น่าหลันยิ้มแหย กลับไร้ถ้อยคำโต้ตอบ

เขาหวังเพียงคนพวกนี้จะไว้ไมตรีสักหน่อย อย่าได้ทำลายหุบเขาตันหุยพวกเขาจึงจะดี

ทุกคนดูเหล่านักหลอมยาที่กำลังหลอมยา แล้วมองเย่จิ่งหานกับจอมมารที่กำลังห้ำหั่นกันตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วมองเผ่าเทียนเฟิ่นกับเผ่าหยก รู้สึกเพียงตาลายสับสนไปหมดแล้ว

ทั้งสามจุด ไม่ว่าจุดไหนล้วนน่าชมทั้งนั้น ปกติไม่มีทางได้เห็น พวกเขาแทบใช้จักษุทั้งหมด ไม่อยากพลาดแม้แต่น้อย

เพียงแต่การประมือระหว่างยอดฝีมือชั้นสูงเร็วเกินไป เร็วจนพวกเขามองไม่ชัดว่าใครออกกระบวนท่าอะไร

“โครม…”

ตามการพังพินาศของตำหนักหนึ่ง หัวใจของเจ้าหุบเขาใหญ่น่าหลันเจ็บปวดเหลือแสน

เขากลัวว่าการต่อสู้นี้จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังนั้นจึงได้แต่สั่งการ “เด็กๆ ตั้งค่ายกลคั่นโลกา”

ค่ายกลคั่นโลกาที่ว่าก็คือปราการหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางสนามประลอง

พลังยุทธ์ทั้งหมดนอกปราการจะไม่ส่งผลต่อผู้ที่อยู่ด้านใน

นี่ก็คือหนึ่งในค่ายกลป้องกันหุบค่ายกลหนึ่งของหุบเขาตันหุย ปกติหากไม่ถึงยามเป็นตายของหุบเขาตันหุย ก็แทบจะไม่ได้ใช้

หุบเขาตันหุยก็ไม่ได้ใช้มาหลายร้อยปีแล้วเหมือนกัน

ครั้งนี้ที่ใช้ กลับเป็นเพราะอาคันตุกะที่เชื้อเชิญมาต่อสู้ดุเดือดเกินไป จะเป็นอันตรายต่อคนที่นี่

จะว่าไปก็น่าขันโดยแท้

ศิษย์หุบเขาตันหุยทำตามคำสั่ง ตั้งค่ายกล จัดวางปราการโปร่งแสงอยู่ใจกลางสนามประลอง

เพิ่งตั้งค่ายกลก็มีลูกไฟขนาดมหึมาลูกหนึ่งตกลงมาอย่างหนัก

ลูกไฟใหญ่มาก ขนาดหนึ่งเมตรเต็มๆ ทั้งยังพกพาพลังสายฟ้าอัคนี

ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด

ลูกไฟมีจิตสังหารเต็มเปี่ยม อุกอาจฉกรรจ์ หากตกถูก ชีวิตน้อยๆ ต้องจบสิ้นแล้ว

มีคนขลาดจำนวนหนึ่งรีบลุกขึ้นหลบ

ทั้งงานบังเกิดความโกลาหล

แม้แต่ฮัวฉีหลัวก็ทึ่งด้วย

“ให้ตายเถอะ อานุภาพนี้จะมากไปแล้วกระมัง พี่ไป๋จิ่น วรยุทธ์คนผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าท่านเลย!”

ท่ามกลางความตกใจหวาดหวั่น ดีที่ค่ายกลสำเร็จแล้ว มิเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าลูกไฟจะตกใส่คนตายเท่าไร

“โครม…โครม…”

มีลูกไฟอีกหลายลูกตกลงมาอย่างรุนแรง

จิตใจทุกคนครั่นคร้าม

มีคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “เจ้าหุบเขาใหญ่น่าหลัน ค่ายกลนี้แข็งแรงไหม?”

“แน่นอน ทัดทานการโจมตีต่อเนื่องของยอดฝีมือระดับเจ็ดได้ วางใจเถอะ”

ครั้นสิ้นเสียง ค่ายกลก็สั่นสะเทือน ราวกับจะถูกฉีกออกอย่างนั้น