เทศกาลร้อยบุปผากำลังจะมาถึงแล้ว ทุกคนต่างทำตามแผนการที่วางไว้
กลุ่มที่หนึ่งมีซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนสงสัย พวกเขาจึงหาโรงเตี๊ยมนอกเมืองแห่งหนึ่งไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นก็แต่งตัวเหมือนคณะทูต และปะปนไปกับคณะทูตของแคว้นซีอวิ๋นที่เข้ามาในเมือง
ขุนนางสำคัญหลายคนของแคว้นหนานหลีให้การต้อนรับพวกเขาที่ประตูเมือง คนทั้งสองคณะต่างพูดคุยกันต่อหน้าชาวเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้แถวหยุดชะงักลงชั่วคราว
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มคน จึงมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ในระยะกว้าง
ในเวลานี้ มีรถม้าหรูหราประดับประดาด้วยผ้าสีเข้มงดงามตรงมาทางถนนสายหลักนอกเมืองเข้าสู่ใจกลางเมือง
รถม้าคันนั้นทำขึ้นจากอุปกรณ์ชั้นเยี่ยม เดิมทีรถม้าคันนั้นปรากฏขึ้นที่ประตูเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน ทำให้เป็นจุดสนใจ
ทว่าตอนที่รถม้าคันนั้นเข้ามาในเมืองและเจอกับกลุ่มคณะทูตของแคว้นซีอวิ๋นซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากกว่า ทำให้รถม้าที่เคลื่อนเข้าเมืองด้วยจังหวะเชื่องช้า ไม่เป็นจุดสนใจมากนัก
อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจหลบหนีจากสายตาของซูจิ่นซีที่อยู่ด้านหลังฝูงชนได้
ซูจิ่นซีจ้องมองรถม้า นางลอบถอนหายใจกับการตกแต่งอันหรูหราเป็นเอกลักษณ์ของรถม้าคันนั้น ทว่าตอนที่รถม้าวิ่งผ่าน ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรง พัดเอาผ้าม่านของรถม้าคันนั้นปลิวขึ้นไป ทำให้สายตาของซูจิ่นซีจับภาพที่อยู่ภายในรถม้าทันที
ซูจิ่นซีชะงักอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า การแสดงออกทางสีหน้าดูสับสนอย่างมาก ดวงตาของนางลุกโชนดั่งเปลวเพลิง สายตาเลื่อนตามทิศทางที่รถม้าวิ่งไป
กระทั่งรถม้าคันนั้นหายลับไปจากสายตา ซูจิ่นซีก็ยังไม่หันกลับมา
อวิ๋นจิ่นที่อยู่ข้างกายเห็นถึงความผิดปกติของนาง จึงพูดอย่างกังวลใจว่า “พระชายา พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายหรือ? ”
ซูจิ่นซีกลับมาได้สติ นางสูญเสียการควบคุมไปชั่วครู่ ร่างกายโซเซถอยหลังไปสองก้าว
อวิ๋นจิ่นมีสายตาและมือที่ว่องไว เขารีบพยุงซูจิ่นซี ขณะเดียวกันก็มองไปยังฝ่ามือของนางที่ถูกเล็บจิกจนเป็นแผล
เมื่ออวิ๋นจิ่นสบตากับซูจิ่นซี เขาก็ขมวดคิ้วเป็นครั้งแรก “เช่นนั้น พระชายา พระองค์กลับจวนฉีอ๋องก่อนเถิด ที่นี่มอบให้กระหม่อมจัดการเอง กระหม่อมจะไม่ทำให้พระชายาผิดหวัง”
ซูจิ่นซีทำราวกับไม่ได้ยิน “อวิ๋นจิ่น ท่านเห็นรถม้าเมื่อครู่หรือไม่? ”
“รถม้า? ”
“เป็นรถม้าที่เพิ่งขับเข้ามาจากทางนอกเมือง รถม้าที่ประดับด้วยผ้าสีเข้ม! ”
“เห็นพ่ะย่ะค่ะ ทว่ารถม้าคันนั้นมีสิ่งใดผิดปกติหรือ? แม้เชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหนานหลีจะมีไม่มากนัก ทว่าผู้ที่ใช้รถม้าระดับนั้นก็มีไม่น้อย ตามความเห็นของกระหม่อม นั่นคงเป็นรถม้าของตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปเท่านั้น หรืออาจเป็นเชื้อพระวงศ์คนใดคนหนึ่งที่อาศัยอยู่นอกเมือง และกลับมายังเมืองหลวงเพื่อร่วมอวยพรวันพระราชสมภพของท่านมหาอุปราช”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นพลางหลับตา พยายามกดอารมณ์ความรู้สึกที่ปั่นป่วนในใจ ขณะเดียวกันก็กล้ำกลืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“บางที… อาจเป็นข้าที่คิดมากไป ที่นี่เป็นแคว้นหนานหลี เขาจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้… ”
อวิ๋นจิ่นเข้าใจในทันที คำว่า ‘เขา’ ของซูจิ่นซี หมายถึงเยี่ยโยวเหยา
“พระชายา โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน พระองค์และท่านอ๋องต่างจริงใจต่อกัน สวรรค์ต้องเข้าข้างพวกท่านทั้งสอง ไม่ช้าก็เร็วพวกท่านต้องได้พบกันอีกครั้ง”
ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมาด้วยแววตาสดใส นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ใครๆ ก็พูดเช่นนั้น ทว่าตอนนี้ พบหรือไม่พบ ล้วนไม่ต่างกัน”
นางพูดพลางเดินตามคณะทูตไปด้านหน้า
อวิ๋นจิ่นรู้ว่าซูจิ่นซีเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง จึงไม่กล่าวโน้มน้าวอีกและเดินตามซูจิ่นซีไป ทว่าก่อนที่จะก้าวขึ้นไปข้างหน้า เขาก็หันกลับไปมองตามทางที่รถม้าจากไป
เหล่าคณะทูตเดินไปยังระเบียงด้านนอกวังหลวงเพื่อทำความเคารพมหาอุปราช จากนั้นจึงไปพักผ่อนที่เรือนพักรับรอง หลังเวลาเที่ยง พวกเขาได้รับการต้อนรับจากขุนนางชั้นพิเศษและองครักษ์ที่ติดตามเพื่อไปชมดอกไม้ในเมือง
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นยังไม่ได้แยกออกไป จึงเดินตามไปด้วย
เมืองเย่หลินจัดดอกไม้จำนวนมากเพื่อต้อนรับเทศกาลร้อยบุปผา อาทิ ดอกเยวี่ยจี้ ดอกกุหลาบ ดอกวิสทีเรีย ดอกฉงหวา ดอกจินเชวี่ย ดอกสาวเย่า ดอกหานเสี้ยว ดอกนุ่น
เดิมทีในเมืองมีการปลูกต้นไม้นานาชนิด ทั้งยังมีบอนไซประดับประดาอีกด้วย ดอกไม้ในเทศกาลจึงแข่งกันบานสะพรั่ง
แม้สายตาของซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นจะจับจ้องที่ดอกไม้เหล่านั้นตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อชมดอกไม้ ทว่ากำลังค้นหาดอกไม้ปีศาจท่ามกลางดอกไม้เหล่านี้
เพื่อความสะดวกในการค้นหา ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีได้บันทึกข้อมูลของดอกไม้ปีศาจไว้ในระบบถอนพิษ แม้ข้อมูลจะไม่ครบถ้วนเท่าใดนัก ทว่าขอเพียงดอกไม้ปีศาจปรากฏอยู่ใกล้ๆ ระบบถอนพิษของนางจะแจ้งเตือนทันที
อย่างไรก็ตาม พวกนางเดินตามถนนที่คดเคี้ยวไปมา สุดท้ายยังคงไร้ร่องรอยของดอกไม้ปีศาจ
เมื่อทุกคนเดินเข้าไปในซอยลึกแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีลมหนาวพัดผ่านพื้นดิน สายลมพัดเสื้อผ้าและเส้นผมของทุกคนให้ปลิวไสว ทั้งยังพัดเม็ดทรายเข้าตา จนต้องยกมือปิดบังดวงตาไว้
หลังจากลมแรงผัดผ่านไปแล้ว พวกเขาจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมองไปที่สุดปลายถนน บนชายคาของถนนทั้งสองฝั่งก็มีคนชุดดำจำนวนมากพร้อมคันธนูครบมือปรากฏกายขึ้น
รัศมีดำมืดดั่งเมฆครึ้มที่แผ่กระจายบนท้องฟ้าก่อนลมพายุจะพัดปกคลุม บดบังแสงสว่างทั้งหมด
บรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือก
“โจรชั่ว ช่างบังอาจยิ่งนัก พวกเจ้าเป็นใคร? รู้หรือไม่ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าคือผู้ใด? ”
ขุนนางผู้หนึ่งยืนขึ้นและตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญ
หลังจากสิ้นเสียงคำพูดของเขา ก็มีเสียง ‘เฟี้ยว’ ดังขึ้น ลูกศรเรียวยาวพุ่งเข้าใส่หน้าอกขุนนางผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ขุนนางผู้นั้นล้มลงทันทีและไม่อาจลุกขึ้นได้อีก ทั้งยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะหายใจ
ฝีมือธนูแม่นยำยิ่งนัก!!
ซูจิ่นซีลอบถอนหายใจ
ทันใดนั้น คณะทูตและขุนนางในราชสำนักต่างตื่นตระหนกและหันหลังวิ่งหนีเอาตัวรอด ทว่าถนนด้านหลังก็มีพลธนูในชุดดำขวางไว้เช่นกัน ไม่มีทางที่พวกเขาจะหลบหนีไปได้
เมื่อไม่มีโอกาสให้ทุกคนได้โต้ตอบ ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ราวกับถูกบดบังจนมืดครึ้ม และลูกธนูก็ตกลงจากท้องฟ้าดั่งห่าฝน
“พระชายา ทางนี้! ”
อวิ๋นจิ่นจับมือซูจิ่นซี พาหันไปหลบอยู่หลังกำแพงเตี้ยใต้ระเบียง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่า คนที่อยู่ภายนอกยังไม่ทันได้มีเวลาตื่นตระหนก ก็ถูกลูกธนูพุ่งตรงเข้าใส่แล้ว
ช่างเป็นการสังหารที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก!
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นต่างขมวดคิ้วด้วยความตกใจ
เป็นผู้ใดกัน? ถึงได้ลงมือสังหารคนเหล่านี้อย่างโหดเหี้ยม การส่งพลธนูมาจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ ตั้งใจหมายหัวพวกเขา
ทว่าไม่นานนัก ซูจิ่นซีก็พบว่าเหล่าพลธนูไม่ได้มุ่งสังหารคณะทูตหรือขุนนางในราชสำนัก แต่พุ่งเป้ามาที่นางและอวิ๋นจิ่น
เนื่องจากพลธนูที่อยู่บนหลังคาทั้งสองฝั่งของถนนล้วนหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังเป็นถนนที่อยู่ตรงข้ามซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น จากนั้นพวกเขาก็จัดแบ่งออกเป็นสองแถว และเล็งธนูในมือมาทางซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น