ตอนที่ 472 วั่นกวง / ตอนที่ 473 ความคิดของวั่นกวง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 472 วั่นกวง 

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้ออกจากกองคดี เพราะว่าพวกนางจะพาคนไปพบวั่นกวง 

 

 

ไม่สนใจว่าวั่นกวงจะเป็นเทพยดาชั้นไหนหรือมีใครคอยคุ้มครองอยู่เบื้องหลัง พวกนางอย่างไรก็ต้องไปเยือนสักครา 

 

 

ตั้งแต่ไทเฮาสวรรคต เขาก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ในวัง ส่วนจะอยู่อย่างสุขสบายจริงหรือไม่นั้น ไม่มีใครรู้ได้ 

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้ไปถึงตำหนักซีฉือ พวกนางสบตากันตรงหน้าประตู เมื่อส่งข่าวเข้าไปแล้วจึงรอคอยอยู่ ครั้งนี้พวกนางทั้งสองไม่ได้มาจับคน เพียงมาเพื่อทำความรู้จัก 

 

 

การใช้กำลังกับบุคคลเช่นวั่นกวงนั้นไม่เกิดประโยชน์ ทั้งคู่นิ่งเงียบกันมาตลอดทางก็เพราะไม่รู้จะรับมือกับวั่นกวงอย่างไร 

 

 

พวกนางรออยู่ไม่นานก็มีกงกงผู้น้อยวิ่งออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นเซียงฉือกับสวี่อี้จึงรีบประสานมือคารวะ ยิ้มอย่างนุ่มนวลพูดขึ้นว่า 

 

 

“เชิญใต้เท้าทั้งสองที่ด้านในก่อน กงกงของพวกเรากำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ขอเชิญใต้เท้าทั้งสองเข้าไปร่วมรับประทานมื้อเช้าด้วยกันเถิดขอรับ” 

 

 

กงกงน้อยอายุเพียงสิบสามสิบสี่ เวลายิ้มจะเห็นฟันเขี้ยวซี่หนึ่ง ดูน่ารัก 

 

 

เซียงฉือเห็นเขาแล้วไม่รู้สึกรังเกียจ แต่กลับยิ่งเพิ่มพูนความสนใจในตัววั่นกงกง วั่นกวงที่อยู่ด้านในคนนั้น 

 

 

เซียงฉือจูงสวี่อี้ก้าวข้ามธรณีประตูเดินเข้าไปด้านใน 

 

 

ข้างในนี้ต่างกับข้างนอกเหมือนเป็นคนละโลก ข้างนอกลมฤดูใบไม้ร่วงพัดหวิว ฝุ่นลมคละคลุ้ง แต่พอเข้าประตูตำหนักมาแล้วจะรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างยิ่งราวกับเป็นฤดูร้อน แม้แต่ลมในที่นี้ยังทำให้คนเคลิบเคลิ้ม 

 

 

เซียงฉือมองดูรอบตัวอย่างสนใจ สวี่อี้เข้าใจความคิดนางจึงพูดยิ้มๆ 

 

 

“สถานที่นี้เป็นชัยภูมิเลิศล้ำ ได้ยินมาว่าสมัยเมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงพระชนม์ชีพ ได้พระราชทานที่นี่ให้เป็นที่ประทับของอดีตไทเฮา เพราะที่นี่ฤดูหนาวจะอบอุ่นและจะเย็นสบายในฤดูร้อน ใต้พื้นดินนี้เป็นธารน้ำแร่” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ เช่นนี้ก็เป็นที่ที่ดีจริงๆ  สายตาที่นางมองดูรอบตัวจึงค่อยๆ สำรวมลง 

 

 

ก่อนนั้นเคยได้ยินมาว่าปฐมกษัตริย์เคยเลือกที่นี้เป็นสถานที่ตั้งพระราชวัง เพราะใต้พื้นที่แห่งนี้มีธารน้ำแร่สายหนึ่ง ฤดูหนาวทางด้านเหนือจะเป็นภูเขาหิมะ การได้แช่น้ำแร่ไปพร้อมกับชมภูเขาหิมะนั้นให้ความรู้สึกสุขสบาย 

 

 

เซียงฉือคิดไปพลางตามสวี่อี้ไปถึงโถงด้านหน้า 

 

 

ทุกต้นไม้ใบหญ้าในที่นี้ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของเจ้าของ เซียงฉือมองดูจนเคลิบเคลิ้ม นางชอบสถานที่นี้มาก แต่ว่าที่นี่เป็นของวั่นกงกง 

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใดสถานที่ที่ดีเช่นนี้จึงไม่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่กลับปล่อยให้เป็นตำหนักหลังของหอเก็บสมบัติ และยังให้ขันทีอาวุโสคนหนึ่งมาอยู่อาศัยอีกด้วย 

 

 

เซียงฉือมีข้อสงสัยมากมายแต่ไม่เหมาะที่จะสอบถามในเวลานี้ นางสูดจมูกเบาๆ เพราะได้กลิ่นแปลกประหลาดอบอวลอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่แปลกอย่างยิ่ง ทำให้คนที่ดมรู้สึกล่องลอย 

 

 

แล้วนางก็ได้เห็นวั่นกวงผู้เป็นที่โจษจันคนนั้น วั่นกงกง 

 

 

เขากำลังนั่งตักกินข้าวต้มในชามบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย ไม่มีหนวดเครา จอนด้านข้างขาวประปราย ดูแล้วเหมือนคนป่วย 

 

 

เซียงฉือไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา เพียงแต่เมื่อเห็นเขาเช่นนี้แล้วดูไม่ต่างกับผู้เฒ่าไม้ใกล้ฝั่งที่ดูหงอยเหงา ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจนางจึงบังเกิดความเมตตาสงสารขึ้นมา เขาในตอนนี้ช่างสวนทางกับชื่อของเขาอย่างไม่สัมพันธ์กันเลยแม้แต่น้อย 

 

 

เซียงฉือเห็นเขาแล้วไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร แต่ยังเป็นวั่นกวงที่เอ่ยปากก่อน เขาโงนเงนลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือให้เซียงฉือกับสวี่อี้ 

 

 

“ใต้เท้าทั้งสอง วั่นกวงขอคารวะ” 

 

 

สมัยก่อนวั่นกวงเคยเรียนหนังสือ ได้ยินมาว่าเป็นถึงบัณฑิตระดับท้องถิ่นอีกด้วย แต่เพราะผลกระทบจากครอบครัวทำให้จำเป็นต้องเข้าวัง ดังนั้นตลอดมาจึงยังมีกิริยาท่าทางของผู้มีการศึกษาอยู่ 

 

 

วั่นกวงมีหน้าตาคมสัน ก้มหน้าต่ำ ยามที่เซียงฉือมองเขาทำให้คิดถึงเหอเจี่ยนสุย ต่างก็หมดจดเช่นเดียวกัน ถึงแม้วั่นกวงในตอนนี้จะโรยราไปบ้าง แต่เขาก็ดูแลตัวเองอย่างใส่ใจถ้วนถี่ ตลอดทั้งร่างแม้ไม่ถึงกับเปล่งปลั่งเรืองรอง แต่มองแล้วสบายตาอย่างยิ่ง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 473 ความคิดของวั่นกวง 

 

 

เซียงฉือมองดูเขาโดยไม่พูดอะไร ส่วนสวี่อี้พบเขาแล้วก็คารวะกลับอย่างเดียวกัน 

 

 

“หากว่ากันตามขั้นชั้นทางราชการแล้ว วั่นกงกงเป็นขันทีขั้นที่สาม ทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์ของผู้อาวุโสสูงห่างจากพวกเราอย่างยิ่ง พวกเราทั้งสองไม่อาจรับคำเรียกว่าใต้เท้าจากวั่นกงกงได้” 

 

 

“หากวั่นกงกงไม่รังเกียจ เรียกสวี่อี้กับเซียงฉือก็ได้แล้ว” 

 

 

วั่นกงกงผงกศีรษะพูดยิ้มๆ 

 

 

“ข้าเป็นผู้รับใช้ไทเฮา เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ความจริงข้าควรจะตามเสด็จไปรับใช้พระองค์ยังข้างใต้นั่น แต่ว่าฮ่องเต้ทรงเมตตา เห็นแก่ที่ข้าเคยช่วยพระองค์ไว้แต่กาลก่อนจึงได้ให้ข้ามีชีวิตอยู่รอดถึงวันนี้” 

 

 

“แต่ในตอนนั้นข้าดื่มสุราพิษเข้าไปจอกหนึ่ง ถึงแม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ยามค่ำคืนจะยังคงเจ็บปวดจนนอนไม่หลับ โชคดีที่ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในที่ประทับเดิมของไทเฮา ที่นี่จะอบอุ่นในหน้าหนาวและเย็นสบายในหน้าร้อน ทำให้โรคเก่าไม่กำเริบง่าย ข้าเองสำนึกในพระมหากรุณาอย่างสุดซึ้ง” 

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้เมื่อได้ฟังแล้วจึงรู้ว่าที่วั่นกวงสามารถรักษาชีวิตมาได้ในตอนนั้นเพราะมีความจริงอื่นซ่อนเร้นอยู่ เขากับฮ่องเต้มีที่มาแห่งบุญคุณยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น 

 

 

วั่นกวงผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์เจนจัด เพียงมาถึงเขาก็พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เป็นการบอกเป็นนัยให้เซียงฉือกับสวี่อี้ถอนตัวและเกิดความหวั่นใจ 

 

 

เซียงฉือมองดูวั่นกวงเหมือนมองเห็นเขาในตอนนั้นที่ป้วนเปี้ยนไปทั่วในฝ่ายในด้วยวาทศิลป์เลิศกระทั่งได้อยู่อย่างสง่างามในที่สุด 

 

 

นางได้ยินคำพูดเช่นนั้นแล้วก็พูดขึ้นยิ้มๆ 

 

 

“วั่นกงกงกล่าวถูกต้องแล้ว ฝ่าบาททรงเป็นผู้สำนึกในไมตรีเก่าก่อน ย่อมทรงต้องดีต่อกงกงอย่างแน่แท้” 

 

 

“ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากถามกงกงสักหน่อย ถ้าหากกงกงทราบ ก็ขอโปรดชี้แนะด้วย” 

 

 

“ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่า การใช้ชีวิตอยู่ในวังควรต้องเรียนรู้จากวั่งกงกงให้มาก” 

 

 

วั่นกงกงมองเซียงฉือ ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่บ้างนั้นผุดรอยยิ้มขึ้น แลดูอ่อนโยนมีเมตตา 

 

 

เซียงฉือผงกศีรษะ พูดว่า 

 

 

“วั่นกงกงเข้าออกในวังมานานปี รับใช้ราชวงศ์เต็มสติกำลังด้วยความรอบคอบ อีกทั้งยังเสริมสร้างบุคคลไว้ไม่น้อย คบหาสมาคมมิตรสหายมากมาย ไม่ทราบว่าวั่นกงกงยังจำลูกศิษย์ที่ชื่อสวีหมิ่นได้หรือไม่ คนที่ทำงานอยู่ในสำนักอักษรซื่อคู่คนนั้น” 

 

 

เซียงฉือถามอย่างไม่อ้อมค้อม วั่นกงกงยังมีสีหน้าปกติ เขาคิดเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“เอ๊ะ เจ้าเด็กนั่นไปก่อเรื่องอะไรขึ้นหรือ ใต้เท้าทั้งสองนั่งลงก่อนเถิด พวกเรากินกันไปคุยกันไป ฝ่าบาททรงดีกับข้าไม่น้อย โปรดให้มีห้องเครื่องพิเศษเพื่อปรุงอาหารโอสถให้ข้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ดีขึ้นสักหน่อย” 

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้สบตากันแล้วปฏิเสธขึ้นว่า 

 

 

“กงกงไม่ต้องเกรงใจ พวกเราทั้งสองยังมีภารกิจอยู่ วันนี้ไม่อาจอยู่นานได้ เมื่อถามสักสองสามคำถามแล้วก็จะจากไป มิบังอาจรบกวนเวลาอาหารและพักผ่อนของกงกง” 

 

 

ช้อนของวั่นกงกงกระทบกับชามส่งเสียงติ๊งดังขึ้น เซียงฉือเริ่มขมวดคิ้ว 

 

 

สวี่อี้ก็มองดูวั่นกงกงอย่างสงสัยเช่นกัน 

 

 

วั่นกงกงเอ่ยขึ้นอย่างขอโทษขอโพยว่า 

 

 

“แก่แล้วๆ อะไรๆ ก็ทำได้ไม่ดี แม้จะกินข้าวก็ยังกินให้ดีไม่ได้ เอาเถอะ ในเมื่อคนเขาไม่ยอมจะกินข้าวเป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้า งั้นก็เก็บไป ไม่กินแล้ว” 

 

 

เซียงฉือไม่พูดอะไรมาก ดวงตาสุกใสคู่นั้นกราดมองนู่นนี่หากแต่ไม่มองวั่นกงกง ละเลยเขาไว้เช่นนั้น 

 

 

วั่นกงกงเช็ดมุมปาก ชี้นิ้วไปยังเก้าอี้สองตัวข้างหน้าพูดขึ้นว่า 

 

 

“ในเมื่อใต้เท้าทั้งสองเอ่ยขึ้นมาแสดงว่ารู้ดีอยู่แล้ว สวีหมิ่นคนนั้นติดตามข้าอยู่หลายวัน แต่คนที่ติดสอยห้อยตามข้ามีไม่น้อย ตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปรับหน้าที่ตามตำหนักต่างๆ ข้าอายุมากแล้วแยกแยะไม่ถูกเสียแล้ว”